ธิติ มีแต้ม เรื่อง
เมธิชัย เตียวนะ ภาพ
ต้นแตงกวาดอยกำลังเลื้อยดกเต็มระแนงไม้หลังบ้าน ถ้าไม่เจอเพลี้ยกับหนอนชอนใบถล่มเสียก่อน อีกไม่นานคงได้กิน
เห็นอนาคตของผลผลิตแล้วหวนนึกถึงวันที่ขึ้นไปที่บ้านกะเบอดิน ต.อมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ แตงกวาดอยออร์แกนิกลูกเท่าฝ่ามือ พร้อมน้ำพริกหนุ่มรสจัดแกล้มข้าวเหนียวร้อนๆ กลางสายลมเย็นพัดผ่านคือความบาลานซ์ของวินาทีนั้น
ผมได้เมล็ดพันธุ์แตงกวามาจาก ดวงใจ วงศธร สาวปกาเกอะญอแห่งบ้านกะเบอดิน จากชีวิตที่คุ้นชินกับไร่นาป่าเขา ทราบว่าเธอกำลังลุกขึ้นปกป้องสิทธิบนผืนดินบ้านเกิดตัวเองด้วย
สถานการณ์โควิด-19 เอื้อให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วประเทศ ชีวิตคนถูกล็อกดาวน์ แต่เหมือนว่าความต้องการสร้างเหมืองแร่ในอมก๋อยไม่ได้ถูกล็อกดาวน์ไปด้วย ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีรายงานข่าวว่าหน่วยงานรัฐและเอกชนยังพยายามเดินหน้าผลักดันโครงการเหมืองแร่อมก๋อยให้สำเร็จ
อาจไม่ใช่แค่ดวงใจ แต่คนหนุ่มสาวถึงผู้แก่แม่เฒ่าก็ไม่ต่างกัน เมื่ออนาคตของพวกเขายังไม่ชัวร์ว่าจะออกหัวหรือก้อย เพราะผืนดินบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นถูกลิสต์ไว้ในสมุดของแผนสร้างเหมืองแร่ถ่านหิน–ที่โลกกำลังหันหลังให้เพราะมันได้โทษมากกว่าคุณ


ใต้ถุนบ้านของดวงใจเป็นที่เลี้ยงไก่เนื้อ แต่มีหมาพันธุ์ทาง 3-4 ตัวเข้าไปร่วมอาศัยหลบแดดบ่ายด้วย ด้านบนนอกจากชานบ้าน ห้องนอน ครัว และห้องน้ำ เธอแบ่งพื้นที่บ้านไว้อีกห้องเป็นโรงเรือนสำหรับเก็บเมล็ดพันธุ์
นอกจากเมล็ดแตงกวา ยังมีพริก ฟักทอง กะหล่ำ ถั่วลิสง ข้าวโพดข้าวเหนียว
บนฝาผนังหน้าบ้านของดวงใจขึงป้ายไวนิลขนาดกว้างราวๆ หนึ่งเมตร มีข้อความใหญ่ๆ ว่า “คนอมก๋อยไม่เอาถ่านหิน”
ใช่หรือไม่ว่านี่เป็นรูปธรรมอย่างสุภาพที่สุดของการประกาศไม่เห็นด้วยกับการยกบ้านเกิดตัวเองให้ใครเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ
ห่างจากชุมชนไม่ถึง 10 นาที ดวงใจพาเดินลัดเลาะผ่านไร่กะหล่ำ นาข้าว เราได้ยินเสียงน้ำไหลรินแผ่วๆ ตั้งแต่ยังไม่ถึงต้นเสียง เธอนำเราแหวกดงเฟิร์นพันธุ์สไบนางเข้าไปถึงลำธาร และลึกเข้าไปคือห้วยผาขาวตามที่ชาวกะเบอดินเรียกขาน
จากไอแดดชวนร้อนแล้ง กลับกลายเป็นความเย็นฉ่ำสดชื่น ระดับน้ำลึกเพียงหน้าแข้งแต่ไหลทั้งปีแห่งนี้คือตาน้ำจากขุนเขาที่หล่อเลี้ยงชาวอมก๋อมทั้งอำเภอ ปลายทางของมันไปบรรจบกับแม่น้ำยวมก่อนจะออกสู่สาละวิน

เธอหยิบก้อนหินสีดำเข้มขึ้นมาจากลำธารให้ดูว่ามันคือแร่ ‘ซับบิทูมินัส’ ที่ว่ากันว่ามีคุณภาพในการผลิตเป็นเชื้อเพลงมากกว่าแร่จำพวกลิกไนต์
ก้อนแร่น้อยใหญ่จำนวนมากที่นอนอยู่ก้นลำธารนั่นเองทำให้เธอปะติดปะต่อเรื่องราวกลับไปยังอดีตว่าทำไมบ้านกะเบอดินถึงเนื้อหอมก่อนจะกลายเป็นเป้าของอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน
สมัยราวๆ ทศวรรษที่ 2530 ดวงใจยังเป็นเด็กวัยรุ่น เธอจำได้เลือนรางว่ามีนายทุนนอกพื้นที่เข้ามากว้านซื้อที่ดินไปหลายแปลง บางคนยอมขายให้ในราคาที่ใช้แบงก์พันไม่กี่ใบ ส่วนคนที่ไม่เต็มใจกลับถูกขู่ด้วยกฎหมายบุกรุกป่า ทั้งที่เป็นผืนดินอยู่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น เมื่อไม่อยากไปนอนตบยุงในคุกตะรางก็จำยอมกัดฟันขายให้ไป
จากข้อมูลที่เครือข่ายยุติเหมืองแร่อมก๋อย สืบสาวกลับไปไม่นานทำให้พบว่าต่อมาอีกสิบปีกว่าหลังจากชาวบ้านยอมขายที่ไป กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ก็ได้รับการยื่นขอประทานบัตรทำเหมืองถ่านหินจากบริษัท 99 ธุวานนท์ จำกัด เป็นระยะเวลา 10 ปี
ในรายละเอียดโครงการระบุว่าจากการสำรวจพื้นที่ในเขตตำบลอมก๋อย โดยเฉพาะชุมชนบ้านกะเบอดินและบ้านขุน เนื้อที่ราว 284 ไร่ 30 ตารางวา พบว่ามีถ่านหินประมาณ 720,000 ตัน
จากนั้นอีกราวสิบปีต่อมารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ที่ดำเนินการโดย บริษัท ทอพ-คลาส คอนซัลแทนท์ จำกัด ก็สำเร็จออกมา ทำให้เราทราบว่าแท่นขุดเจาะน่าจะอยู่ในรัศมีชุมชนไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร และถ่านหินที่ขุดได้ก็จะถูกส่งไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงสำหรับใช้ในโรงงานปูนซีเมนต์ที่ลำปาง
ขั้นตอนทั้งหมดเหลือเพียงจัดเวทีประชาพิจารณ์ให้สำเร็จและรออนุมัติจากกรมอุตสาหกรรมฯ

จากที่เคยหลับใหล ไม่รู้หนังสือ ดวงใจและชาวบ้านหลายคนค่อยๆ ตื่นและตั้งคำถามหาความชอบธรรม
พูดให้ง่าย – คนที่ช่วยพ่อแม่ปู่ย่าตายายปลูกข้าวปลูกผักขายมาตั้งแต่เด็ก และไม่ได้เรียนสูงอย่างเธอ แทบไม่เคยเจออุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่อย่างเหมืองแร่ถ่านหิน ก็พออนุมานได้ว่าอากาศที่ดี ลำธารที่บริสุทธิ์นั้น เกินกว่าจะประเมินค่าเป็นเงินเป็นทอง และยิ่งเป็นคนละโลกกับการประเมินค่าจีดีพี
“ไม่เอาหรอกความเจริญที่ชาวบ้านเดือดร้อน เราอยู่ของเราแบบนี้ดีแล้ว” ดวงใจอธิบายความในใจเมื่อเธอถูกถามถึงความเจริญในอนาคตที่อาจมาพร้อมกับอุตสาหกรรมเหมืองแร่
“คุณช่วยบอกเราที ถ้าครอบครัวของคุณเกิดที่นี่ ทำมาหากินอยู่ที่นี่ คุณจะยอมให้ใครก็ไม่รู้มาทำลายชีวิตครอบครัวคุณไหม” คำถามของดวงเรียบง่ายแต่อึกทึกอยู่ภายใน
โดยไม่ต้องอาศัยความดุดันจาก เกรตา ธันเบิร์ก มาอธิบายเรื่องโลกร้อน แค่ประเมินจากสายตาของเทรนด์พลังงานหมุนเวียนก็พอทราบได้เชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นสิ่งตกค้างของยุคสมัย
หลายประเทศที่เจริญแล้วล้มเลิกอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินและหันไปสร้างนวัตกรรมพลังงานทางเลือกให้สมกับโลกยุค Gen Alpha
แต่เมื่อสังคมไทยยังไปไม่พ้นยุคถ่านหิน ข้ออ้างจากฝ่ายที่อยากเห็นเหมืองถ่านหินถูกสร้างขึ้นก็ไม่ควรมองข้าม
ผมเปิดสมุดบันทึกไล่ดูเสียงของสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ที่พูดไว้บนเวที ‘วิกฤตโลกร้อน ฝุ่น PM2.5 และถ่านหินอมก๋อย’ เมื่อปลายปี 2562 ที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ชัยยุทธ สุขเสริม หัวหน้ากลุ่มกำกับดูแลผู้ประกอบการ สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 3 เชียงใหม่ อธิบายชัดถ้อยชัดคำว่าแร่ถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนราคาถูกและมีความสำคัญกับเศรษฐกิจของไทย เพราะมันช่วยสร้างงานให้คนในพื้นที่ได้ ที่สำคัญคือช่วยลดการนำเข้าถ่านหินจากต่างประเทศได้ด้วย–ประเด็นเหล่านี้พูดอีกก็ถูกอีก
แต่ประเด็นต่อมาที่ว่าจะไม่สร้างมลพิษให้กับชุมชนนั้น ไม่ส่งผลต่อปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 เขาอธิบายว่าถ่านหินที่จะขุดได้ในพื้นที่อมก๋อยเป็นประเภทซับบิทูมินัส มีความสะอาดและได้คุณภาพมากกว่าถ่านหินประเภทลิกไนต์ซึ่งใช้ผลิตไฟฟ้าอยู่ที่อำเภอแม่เมาะ การขุดแร่ถ่านหินขึ้นมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงนั้นจะไม่มีการเผาไหม้ให้เกิดเป็นฝุ่นควันในเชียงใหม่ เพราะถ่านหินจะถูกส่งไปผลิตที่ลำปาง!
ฝ่ายอุตสาหกรรมแร่มองว่า ในบรรดาความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าของเมืองไทย สัดส่วนของความต้องการใช้ถ่านหินอยู่ที่ราวๆ 40 ล้านตันต่อปี แต่เรามีถ่านหินที่ขุดได้จากแม่เมาะประมาณ 2 ล้านตันต่อปี แปลว่าที่เหลือต้องซื้อจากต่างประเทศ หากอมก๋อยมีศักยภาพส่งถ่านหินให้อีก 720,000 ตัน ก็จะลดการนำเข้าถ่านหินได้
“ถ้าคุยกันดีๆ โปร่งใสไม่อำพราง เราก็ไม่ต้องเหนื่อย แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น” ภานุวัฒน์ ฝนเมฆ จากกลุ่มอาสาคืนถิ่น หนึ่งในเครือข่ายยุติเหมืองแร่อมก๋อย บอกผมระหว่างเติมน้ำตาลใส่กาแฟดำรับรุ่งเช้า
หลังจากคนอมก๋อยตื่นตัว เขาเป็นหนึ่งในคนที่เดินสายร้องเรียนเพื่อให้ภาครัฐหันมาฟังเสียงจากผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงบ้าง
หนุ่มจากอมก๋อยบอกว่า เราเริ่มรวมตัวกันช่วงปี 2561 เนื่องจากไม่เห็นด้วยที่จู่ๆ ชุมชนก็จะมีเหมืองแร่เข้ามาสร้าง และสิ่งที่เราร้องเรียนไปโดยที่ภาครัฐยังไม่ตอบกลับคือ
ประเด็นแรก กระบวนการทำอีไอเอไม่น่าเชื่อถือ ชาวบ้านยังมีความคลางแคลงในขั้นตอนการรวบรวมเอกสารสำเนาบัตรประชาชนของคนในพื้นที่ เพราะชาวบ้านไม่รู้มาก่อนว่าเอกสารทั้งหมดถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานรับรองการทำอีไอเอ และหลายคนแปลกใจว่าทำไมมีลายเซ็นตัวเองในเอกสารทั้งที่เขียนหนังสือไม่เป็น
ประเด็นที่สอง เหมืองแร่จะรักษาระบบนิเวศของป่าที่ชุมชนใช้ประโยชน์มาหลายชั่วอายุคนอย่างไร โดยเฉพาะห้วยผาขาวและห้วยอ่างขางที่เป็นต้นน้ำหล่อเลี้ยงคนทั้งอำเภออมก๋อยและอาจรวมไปถึงคนอีกหลายจังหวัดด้วยเพราะลำห้วยนี้ไปบรรจบที่แม่น้ำปิง
ประเด็นสุดท้าย แม้ว่าทางเหมืองแร่จะอ้างว่าถ่านหินที่ขุดที่อมก๋อยจะถูกนำไปใช้ที่ลำปาง แต่การขนย้าย ถ่านหินจะไม่เกิดมลภาวะทั้งฝุ่นและเสียงได้อย่างไร เมื่อต้องใช้ทางสาธารณะสัญจรร่วมกัน และที่สำคัญโดยที่ตั้งของเมืองอมก๋อยมีสภาพเป็นหุบเขาแอ่งกระทะ ทำให้สภาพอากาศมีลักษณะหมุนวนภายใน หากเกิดฝุ่นละอองและมลพิษจะยิ่งทำให้ชาวบ้านได้รับอันตราย
ภานุวัฒน์บอกว่าประเด็นที่พวกเราสงสัยกลับไม่มีคำตอบ แล้วอีไอเอผ่านออกมาได้อย่างไร พอชาวบ้านรวมตัวคัดค้านสุดกำลังเมื่อเดือนกันยายน 2562 เพื่อขอให้มีการทำอีไอเอใหม่ กลับมีชาวบ้านในพื้นที่ 2 คนถูกออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา เพราะถูกบริษัทที่จะสร้างเหมืองฟ้องหมิ่นประมาท เมื่อเราสอบถามไปยังศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่นก็เพิ่งรู้ว่ามีคนถูกฟ้องทั้งหมด 7 คน ซึ่งมีนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้อีก 4 คนที่มาร่วมชุมนุมกับพวกเราถูกฟ้องด้วย
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่ชาวอมก๋อยกำลังเผชิญไม่ใช่แค่มลพิษจากเหมืองแร่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่พวกเขายังเจอการใช้กฎหมายปิดปากไม่ต่างไปจากนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในพื้นที่อื่นๆ ที่เคยเจอมาด้วย
ประเทศไทยในปี 2563 ต่างไปจากทศวรรษก่อนๆ อย่างไร หลายครั้งเราก็ตอบไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่ชาวบ้านกำลังเผชิญ
มีหลายคนพูดว่า ‘กะเบอดิน’ หมายถึงภาชนะดินหรือหม้อดินในความหมายของปกาเกอะญอ นั่นแปลว่าพวกเขาต้องปั้นมันขึ้นมา–พูดอีกแบบก็คือทั้งบ้านของพวกเขา ทั้งชีวิตของพวกเขานั่นเองที่สร้างขึ้นมาจากผืนดิน
บนลานดินโล่งหน้าบ้านของดวงใจ เด็กๆ แห่งบ้านกะเบอดินกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เด็กอีกหลายคนที่ยังไม่ทันตั้งไข่ซุกอยู่ในอกอุ่นของแม่
คนหนุ่มสาวออกไปทำนา บ้างเข้าป่าหาหยูกยาสมุนไพร กลางวันของหมู่บ้านจึงหลงเหลือเพียงเด็ก แม่ลูกอ่อนและหญิงชรา
บางคนนั่งอัดยาเส้นเข้าปล้องยาสูบ ก่อนจะจุดไฟปล่อยควันลอยอ้อยอิ่ง
ดูเหมือนทุกอย่างที่นี่จะเคลื่อนไปอย่างช้าๆ แต่ผมกลับแอบหวังว่าทารกน้อยจะโตทันได้มีโอกาสเลือกอนาคตเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนบังคับหยิบยื่นให้
แน่นอน, มันต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมล็ดแตงกวาที่ดวงใจหยิบยื่นให้