เผลอแว้บเดียว เราก็ใช้ชีวิตห่างจากศตวรรษใหม่มาเกือบ 20 ปีแล้ว
นอกเหนือไปจากความทันสมัย โลกที่เชื่อมถึงกันด้วยอินเทอร์เน็ต และข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลมาอยู่ที่ปลายนิ้ว (แม้กระทั่งตัวอักษรที่คุณกำลังอ่านอยู่ในตอนนี้) อีกหนึ่งสิ่งที่มาพร้อมกับโลกยุคใหม่ในหน้าจอที่เชื่อมถึงกัน คือชีวิตในโลกออฟไลน์ที่เราห่างเหินกันไปมากขึ้นทุกทีๆ
อันที่จริง คำว่า ‘ห่างเหิน’ ในที่นี้สามารถจัดกลุ่มได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ ‘Loneliness’ หรือ ‘ความเหงา’ ที่หมายถึงความรู้สึกอ้างว้างเหมือนอยู่คนเดียวแม้จะมีผู้คนอยู่รอบๆ ในขณะที่ ‘Social Isolation’ หรือ ‘การแยกตัวออกจากสังคม’ เป็นเหมือนด้านตรงข้าม คือความรู้สึกอยากออกไปอยู่คนเดียว แยกตัวออกจากสังคมที่รู้สึกทำให้ชีวิตวุ่นวาย
แม้แต่ในแง่ของการใช้ชีวิต ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนจากสำนักงานสถิติแห่งชาติก็เผยให้เห็นว่าคนไทยที่เลือกใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ จาก 2 ล้านคนในปี 2550 เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 3.8 ล้านคนในปี 2558 และแนวโน้มของสังคมโลกก็ดูจะเป็นไปในทิศทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นในสหราชอาณาจักรที่ประชากร 1 ใน 3 เลือกอาศัยอยู่ตัวคนเดียว หรือสหรัฐอเมริกาเอง ตัวเลขของผู้ชายที่อาศัยอยู่คนเดียวก็เพิ่มจากน้อยกว่า 6% ในปี 1970 เป็น 12% ในปี 2012 ในขณะที่สาวๆ ก็เลือกเป็น ‘หญิงเดี่ยว’ ถึง 15% จากข้อมูลในปี 2013
ยังไม่รวมความ ‘ป๊อป’ ของชีวิตเหงาๆ ที่กลายเป็นเทรนด์ของคนยุคใหม่ที่เราเห็นกันจนชินตา
โลกที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของผู้คน ชีวิตมนุษย์ที่ขาดปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริงอาจฟังดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็ใครกันจะมานั่งจ้อกับคนแปลกหน้าหรือคนในบ้านได้ทั้งวัน ในเมื่อสังคมทุกวันนี้ย้ายไปอยู่บนเลขฐานสองกันเกือบหมด
แม้แต่ในวงเหล้า แสงไฟบนหน้าจอที่ส่องหน้ายังเท่ากับจำนวนคนบนโต๊ะด้วยซ้ำไป
แต่ในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความเหงาแบบ Loneliness หรืออาการอยากอยู่คนเดียวแบบ Social Isolation มันต่างเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อายุขัยของเราสั้นลงทั้งคู่
งานวิจัยหัวข้อ Loneliness and Social Isolation as Risk Factors for Mortality จาก Brigham Young University ศึกษาถึงผลกระทบจากความรู้สึกโดดเดี่ยวที่มีผลต่อร่างกายของมนุษย์ และพบว่ามันเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตถึงเกือบ 30% ซึ่งใกล้เคียงกับความเสี่ยงจากโรคอ้วน ที่สำคัญ เมื่อแยกกลุ่มตัวอย่างเป็นคนอายุน้อยและคนแก่มากกว่า 65 ปี ความโดดเดี่ยวก็เพิ่มอัตราเสี่ยงมากขึ้นกับคนอายุน้อยในกลุ่มแรกด้วย
จากแค่ความเหงาแบบหว่องๆ ที่บนจอดูงดงาม กลับกลายมาเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อชีวิตไปซะอย่างนั้น
คำถามคือ เราจะปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ ‘เหงาน้อยลง’ จากตอนนี้ได้อย่างไรบ้าง
นอกจากปรับการใช้ชีวิตจากภายใน หนึ่งเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นไว้ต้านภัยเหงาคือคอนเซ็ปต์ของที่อยู่อาศัยที่เรียกกันว่า Co-Housing
หากยุคนี้กระแสออฟฟิศเพื่อชาวสตาร์ทอัปอย่าง Co-Working Spaces กำลังมาแรง Co-Housing เองก็น่าจะเป็นบรรพบุุรุษของรูปแบบคอมมูนิตี้แบบนี้ เพียงแค่เปลี่ยนจากการแชร์ที่ทำงาน มาเป็นการแชร์พื้นที่ ‘ใช้ชีวิต’ ที่สำคัญ เทรนด์นี้ยังเริ่มขึ้นมาแล้วเกือบครึ่งศตวรรษ!
แนวคิดนี้เกิดขึ้นมาในช่วงทศวรรษ 60s – 70s ที่ประเทศเดนมาร์ก ก่อนจะขยายตัวไปในกลุ่มประเทศแถบแสกนดิเนเวีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา จนถึงปัจจุบัน กว่า 8% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในเดนมาร์กเป็นชุมชนแบบ Co-Housing ในขณะที่ฝั่งยุโรปและสหรัฐก็กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
อธิบายอย่างง่าย ในยุคสมัยที่เราเห็นหน้าเพื่อนบ้านแค่ในลิฟต์ก่อนจะเดินแยกเข้าประตูห้องใครห้องมัน หรือแม้แต่ในบ้านที่หน้าจอโทรศัพท์ยังสำคัญกว่าบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร ชุมชนแบบ Co-Housing เป็นเหมือน ‘หมู่บ้าน’ ที่แต่ละคนยังมีบ้านหรือห้องส่วนตัวเป็นของใครของมัน แต่คล้ายกับโรงแรมแบบโฮสเทล ชุมชนแบบนี้จะมี ‘พื้นที่ส่วนกลาง’ ที่มีไว้สำหรับให้ทุกครอบครัวที่อยู่ในชุมชนได้เข้ามาทำกิจกรรม พบปะ พูดคุยกัน อาจจะเป็นกิจกรรมง่ายๆ อย่างการผลัดกันทำมื้อค่ำเลี้ยงครอบครัวอื่นๆ นั่งทานข้าวด้วยกันเป็นบางวัน
จากมื้อค่ำที่ทำด้วยกัน ทานด้วยกัน บทสนทนาบนโต๊ะอาหารก็ทำให้เกิดการแพลนกิจกรรมที่แต่ละครอบครัวมาใช้เวลาร่วมกัน ให้ลูกหลานของแต่ละบ้านได้ออกมาวิ่งเล่น ทำความรู้จัก และด้วยคอนเซ็ปต์ของการเป็นชุมชนที่ดำเนินการกันด้วยตนเอง ในพื้นที่ส่วนกลางของชุมชนอาจจะไม่ได้มีแค่ห้องอาหาร แต่อาจจะเป็นสระว่ายน้ำ ห้องสมุด ยิม ฯลฯ
Lilac หนึ่งในชุมชน Co-Housing ต้นแบบในเมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษ มีการบริหารจัดการชุมชน และการจัดการกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวในพื้นที่ชุมชนที่น่าสนใจ โดยสมาชิกทุกคนจะมีส่วนร่วมลงขันเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท (ที่พวกเขาเป็นเจ้าของร่วมกันแต่แรก) ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านแต่ละหลัง สมาชิกจ่ายเงินขั้นแรก 10% ของมูลค่าบ้าน จากนั้นให้สมทบเงิน 35% ของเงินเดือนเพื่อถือหุ้นในบริษัทเพิ่มขึ้น หากใครอยากย้ายออก ก็ให้ขายหุ้นที่ตัวเองมีคืนให้ชุมชน
สิ่งนี้จึงทำให้การจัดการชุมชนแบบ Co-Housing แตกต่างจากหมู่บ้านสุดหรู หรือคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง เพราะคนที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จริงๆ ไม่ใช่กลุ่มเดเวลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์ ที่จะมาจัดการพื้นที่ส่วนกลาง แต่เมื่อ ‘ทุกคน’ ในหมู่บ้านมาเป็นเจ้าของร่วมกัน การดูแล การจัดหากิจกรรมที่จะทำร่วมกันจึงขึ้นอยู่กับความสนใจร่วมของทุกคนจริงๆ
ที่น่าสนใจคือ การขยายตัวของที่อยู่อาศัยร่วมกันแบบ Co-Housing ยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากจำนวนรถยนต์ต่อครอบครัวที่น้อยลดมาก (เพราะเมื่อสนิทกัน แต่ละบ้านก็ยืมรถกันได้) ช่วยขยายกลุ่มอาชีพฟรีแลนซ์ให้เพิ่มมากขึ้น แถมยังตอบโจทย์ด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้เป็นที่ทำงาน ลดปัญหาพื้นที่ทำงานที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ และด้วยโมเดลการบริหารจัดการแบบกลุ่ม Co-Housing จึงช่วยให้ราคาที่อยู่อาศัยสามารถเอื้อมถึงได้สำหรับคนทั่วไป
อนาคตของ Co-Housing ดูเต็มไปด้วยข้อดีทั้งกับสภาพเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม แต่เหนือสิ่งอื่่นใด อย่าลืมว่า ‘ความโดดเดี่ยว’ ที่เรามีต่างหาก คือสาเหตุที่ทำให้มันถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา
ระหว่างที่เรารอสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นจริง มาทดลองกันก่อนหลังจากอ่านจบบรรทัดนี้ดูไหม
อ่านเพิ่มเติม
อินโฟกราฟิกเรื่อง COMMUNITY 2.0 : IS COHOUSING THE FUTURE OF URBAN DESIGN? จาก towergate insurance
งานวิจัยเรื่อง Loneliness ‘increases risk of premature death’ ของ NHS ตีพิมพ์เมื่อ 13 มีนาคม 2558
อินโฟกราฟิกเรื่อง คนไทยอยู่คนเดียวมากขึ้น จาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2558