fbpx

แดดร้อนเกินกว่าจะมีลูก

“ไม่มีผู้โดยสารในยานอวกาศที่ชื่อว่าโลก เราทุกคนต่างเป็นลูกเรือ”
มาร์แชล แมคลูฮาน (1911-1980)

นักเขียน

จำได้ว่าเมื่อตอนผมยังเด็ก ย้อนกลับไปสัก 40 ปีที่แล้ว บ้านเกิดผมที่จังหวัดลำปางอากาศตอนเช้าๆ ช่วงฤดูหนาว เรียกได้ว่าหนาวเข้ากระดูก ทั้งๆ ที่บ้านก็ไม่ได้อาศัยบนภูเขา

บ้านผมห่างจากตัวเมืองราว 7 กิโลเมตร แต่อุณหภูมิตอนเช้าช่วงกลางเดือนธันวาคมจะอยู่ที่ราว 8-12 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ บางปีจำได้ว่าอุณหภูมิกลางดึกลงไปได้ถึง 4 องศาเซลสเซียสก็มี ตื่นเช้ามาคาดหวังได้เลยว่าเราจะเห็นน้ำแข็งแม่คะนิ้งเกาะตามยอดหญ้า รายงานสภาพอากาศสมัยนั้นเราจะได้ยินอุณหภูมิติดลบบนยอดดอยอินทนนท์อยู่เนืองๆ ตอนนี้ความหนาวของฤดูหนาวของภาคเหนือเราเป็นแค่ urbun myth นะครับ เราแทบเรียกไม่ได้ว่ามี ‘หน้าหนาว’ จริงๆ

คุยให้ลูกหลานฟังคงไม่มีใครเชื่อ ความหนาวในยามนี้ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับประสบการณ์ยามเด็กได้เลย

สำหรับคนที่เกิดมารุ่นราวคราวเดียวกับผมน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา การพัฒนาของโลกที่ต้องเรียกว่ายิ่งกว่าก้าวกระโดด ความเจริญและเทคโนโลยีเหล่านี้แลกมาด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมและความร้อนของโลกที่เพิ่มมากขึ้นและถึงแม้โดนัลด์ ทรัมป์จะไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีจริง แต่ผมเชื่อว่าเป็นของจริง และโลกก็ร้อนเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คิดไว้เสียด้วย

ล่าสุดแถลงการณ์ของคณะกรรมการขององค์การสหประชาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) เตือนว่าวิกฤตสภาพอากาศโลกตอนนี้เข้าสู่ระดับสีแดงแล้ว ซึ่งหมายถึง ‘น่าเป็นกังวลอย่างมาก

จากงานวิจัยกว่า 14,000 ชิ้น การร่วมมือกันของนักวิทยาศาสตร์อีกกว่า 200 คนทั่วโลก พร้อมกับระบบประมวลผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดีขึ้น คาดว่าภายในปี 2030 อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยจะสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสแน่ๆ เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งยอดอุณหภูมินี้มาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้กว่า 10 ปี!

หลายคนคงคิดว่าการที่อุณหภูมิร้อนขึ้นหนึ่งหรือสององศาเซลเซียสจะส่งผลกระทบกับโลกขนาดนั้นเลยหรือ 

หากแค่ออกไปเดินกลางแดดชั่วประเดี๋ยวประด๋าวตอนกลางวันยามออกไปกินข้าวอาจรู้สึกว่าพอทนได้ แต่หากนึกถึงพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เช่น ในทะเลทรายลูตในอิหร่านที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลทรายที่ร้อนที่สุดในโลก (อุณหภูมิที่วัดได้ช่วงกลางวันอาจสูงได้ถึง 60 องศาเซลเซียส) หรือขั้วโลกเหนือที่จะมีฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้นอีกเป็นเดือน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ที่เปราะบางจะเปลี่ยนแปลงหรือหายไปมากมายและส่งกระทบกันเป็นลูกโซ่แบบที่เราคาดไม่ถึง

จริงอยู่มนุษย์เรามีการปรับตัวกับสภาพอุณหภูมิขึ้นๆ ลงๆ มาตลอดวิวัฒนาการ แต่อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดในการปรับตัวนั้นมีอยู่ ที่อากาศร้อนชื้นอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์จะเรียกจุดนี้ว่า ‘อุณหภูมิกระเปาะเปียก’ (Wet Bulb Temperature) กล่าวคือเมื่อมนุษย์เราอยู่ในระดับอุณหภูมินั้นนานๆ เราจะเริ่มสูญเสียความสามารถในการดูดซับเหงื่อ การเดินทางไกล หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือการอยู่ในสภาพอากาศ ณ อุณหภูมินี้นานๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้

ซึ่งนั่นแค่ 35 องศาฯ นะครับ ลองคิดดูว่าหากมันขึ้นสูงไปกว่านั้นอีกล่ะ 

หากยังพอจำได้ถึงเหตุการณ์คลื่นความร้อนที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป เมื่อปี 2003 เกิดคลื่นความร้อนแผ่ขยายไปทั่วยุโรปตอนกลางและตะวันตก เหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนตายจากคลื่นความร้อนนี้กว่า 70,000 คน ถือเป็นฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดในรอบ 500 ปี หลังจากนั้นก็มีปรากฎการณ์คลื่นความร้อนสูงมาเป็นระยะๆ

ในปี 2019 อุณหภูมิฤดูร้อนในฝรั่งเศสก็พุ่งขึ้นสูงอีกครั้ง ครั้งนี้สูงถึง 46 องศาเซลเซียส อุณหภูมิในประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกันถึง 45 องศาเซลเซียส

ปี 2021 ก็มีคลื่นความร้อนในแคนาดาและยุโรป ส่งผลให้เกิดไฟป่า ผมเห็นภาพข่าวท้องฟ้าทั่วเกาะอีเวียของกรีซกลายเป็นสีแดงเพลิง ดูแล้วใจหาย ในอนาคตต่อจากนี้คาดกันว่า นี่อาจเป็นปรากฎการณ์ที่จะเกิดขึ้นทุกฤดูร้อนและเป็นสิ่งที่คนในซีกโลกเหนือต้องเจอ

ความร้อนเช่นนี้กระทบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากมาย เมื่ออากาศร้อนขึ้น ชั่วโมงการทำงานของบางคนหายไป รายได้ลดลง ธุรกิจการเกษตรได้รับผลกระทบโดยตรง บางประเทศที่ส่งออกอาหารแปรรูปและสินค้าการเกษตรอาจต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวให้ดี อย่างเช่น ไร่องุ่นในฝรั่งเศสเริ่มหาทางปรับปรุงพันธุ์องุ่นเพื่อให้ทนอากาศร้อนได้ดีขึ้น หรือคนงานเก็บมะเขือเทศในแคลิฟอร์เนียอาจต้องเริ่มออกทำงานตั้งเช้ามืดเพื่อเลี่ยงอากาศร้อน 

ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอันดับแรกคือแรงงานที่ทำงานในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้ค่าจ้างน้อยอยู่แล้ว องค์การแรงงานระหว่างประเทศนำเอาเรื่องปัญหาโลกร้อนมาวิเคราะห์ร่วมกับการจ้างงาน ได้คาดการณ์คร่าวๆ ว่าไม่เกิน 10 ปีจากนี้ ชั่วโมงการทำงานของคนงานที่ทำงานกล้างแจ้งจะลดลง กระบวนการผลิตและรูปแบบการทำงานกลางแจ้งจะค่อยๆ เปลี่ยนไปในศตวรรษนี้ เพื่อบรรเทาอันตรายที่เกิดจากอากาศร้อน ท้ายศตวรรษ ความร้อนของอากาศจะกลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่งที่ทุกคนต้องคิดถึง

แม้จะมีความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว ทั้งยุโรปและสหรัฐฯ ภายใต้การนำของไบเดนต่างก็ตื่นตัวกับประเด็นนี้อย่างมาก แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ต่อให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง นักวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่าอุณหภูมิของโลกจะไม่ลดลงได้ในทันที มันยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าอุณหภูมิของโลกะจปรับลงสู่ระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม (ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าอีกกี่ปี) ที่สำคัญกว่านั้นมันเกิดขึ้นได้ยากมาก เมื่อคิดว่าทุกประเทศยังต้องขับเคลื่อนด้วยตัวเลขภาคการผลิต เราต้องเดินทาง เรายังต้องใช้พลังงานจากฟอสซิล และเรายังมีทั้ง GDP, KPI และตัวย่ออื่นๆ อีกมากค้ำคอเราอยู่   

เราต้องใช้กำลังขับเคลื่อนมหาศาล ยิ่งกว่ามหกรรมโอลิมปิกถึงจะหยุกการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างรดเร็ว

ความย้อนแย้งอีกอย่างหนึ่งของการรับมือกับโลกที่ร้อนขึ้นนั้นไม่ใช่การปลูกต้นไม้ แต่เป็นเครื่องปรับอากาศ

ใช่แล้วครับ ต้นไม้เป็นแค่ส่วนเสริม แต่จริงๆ แล้ว เราไม่สามารถนอนร้อนอยู่ในบ้านได้ โดยเฉพาะเด็กๆ คนป่วยและผู้สูงอายุ ยังมีอีกหลายประเทศในโลกนะครับที่ผู้คนยังเข้าไม่ถึงเครื่องปรับอากาศ อย่างในอินเดีย มีเพียง 8% ของครัวเรือนเท่านั้นที่มีเครื่องปรับอากาศ ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตอากาศที่ร้อนขึ้นเครื่องปรับอากาศจำเป็นมากขึ้นแต่เครื่องปรับอากาศที่เราใช้กันอยู่ มีไม่น้อยที่ยังมีส่วนประกอบของก๊าซเรือนกระจกอย่างสารไฮโดรฟลูโอโรคาร์บอน

โดยหลักการทำงานของเครื่องปรับอากาศทุกเรื่องบนโลก มันแค่ย้ายเอาอากาศร้อนไปทิ้งไว้ข้างนอก แต่จะทำอย่างไรหากว่าเครื่องปรับอากาศเหล่านี้ก็อาจทำให้อุณหภูมิกลางแจ้งร้อนขึ้นอยู่ดี มีความพยายามในการผลิตเครื่องปรับอากาศรูปแบบใหม่ๆ ออกมาเช่นกัน แต่เท่าที่ผมหาข้อมูล ยังไม่มีแบรนด์ไหนที่ทำแล้วสามารถเอามาใช้ได้จริงและในราคาที่เข้าถึงได้ ฉะนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากของโลกเรา 

ในมิติทางเศรษฐกิจ อากาศดีจะเป็นต้นทุนของประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะความร้อนจะส่งผลถึงทุกหน่วยของสังคม ทั้งการกระจายตัวของประชากร ค่าใช้จ่ายของพลเมืองในการปรับตัว พื้นดินที่อาจหายไปจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ฯลฯ ประเทศที่มีต้นทุนเรื่องอากาศที่เย็นกว่าและรวยกว่าอาจมีทางรอดมากกว่า ส่วนประเทศที่ร้อนกว่ารายได้น้อยกว่า หากไม่มีการวางแผนในการปรับตัวก็อาจแข่งขันยากขึ้น

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในเหล่าบรรดาประเทศซีกโลกใต้ที่มีการปรับตัวได้ดีและถูกพูดถึงใน Climate Impact Lab องค์กรที่ทำวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของโลกร้อนในมุมต่างๆ พบว่าประเทศอย่างสิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการปรับตัว ทั้งการวางแผนเรื่องการปลูกต้นไม้ ทำให้ประเทศเป็นเมืองในสวน (City in the garden) การลงทุนของรัฐในการจัดการกับสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ควบคู่กับการให้ประชาชนเข้าถึงเครื่องปรับอากาศอย่างแพร่หลาย นั่นทำให้สิงโปร์ไม่ใช่แค่อยู่รอดอย่างเดียว แต่จะรวยขึ้นด้วย ผิดกับปากีสถานที่เหมือนอยู่คนละโลกกับสิงคโปร์ ทั้งยากจน ไม่มีการรับมือที่ดี รัฐขาดความเข้าใจในการจัดการเนื่องจากยังมีปัญหาการเมืองภายในประเทศอยู่มาก ทำให้อีกร้อยปีข้างหน้าปากีสถานจะตกอยู่ในห้วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด

พูดให้เห็นในภาพใกล้ตัวเข้าอีกนิดก็คือ อาจไม่ใช่แค่ปากีสถานเท่านั้น ไทยเราเองหากยังไม่คิดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมให้มากกว่านี้ สถานการณ์ก็จะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่ดีแบบนี้อัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตก็จะมากขึ้น มนุษย์ก็เช่นกัน โลกที่ร้อนขึ้นอาจทำให้มนุษย์สนใจที่จะที่ขยายเผ่าพันธุ์น้อยลง 

ทีมนักวิจัยในสหรัฐอเมริกาศึกษาความเชื่อมโยงอัตราการตั้งครรภ์กับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป พบว่าสภาวะโลกร้อนทำให้อัตราการคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย หรือเสียชีวิตขณะคลอดสูงขึ้น

ไม่นานมานี้ New York Times เพิ่งจะตีพิมพ์รายงานของ Journal of the American Medical Association ซึ่งทำการศึกษาเรื่องสภาวะโลกร้อนกับการตั้งครรภ์ไว้ตั้งแต่ปี 2007-2019 พบว่าเด็กแรกเกิดมีน้ำหนักตัวลดลงแปรผันตามสภาพอากาศที่แย่ลง อัตราการคลอดก่อนกำหนดก็เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.6 มาเป็นร้อยละ 21 ในช่วงเวลา 12 ปี โดยเฉพาะทารกที่มาจากแม่ที่ยากจน เนื่องจากสภาพสังคมที่บีบบังคับให้พวกเธอยังต้องเจอกับสภาพอากาศที่แย่ตลอดอายุครรภ์ การศึกษายังพบด้วยว่าคุณแม่ที่มีรายได้ต่ำมากกว่าครึ่งหนึ่งต้องเผชิญกับมลภาวะทางอากาศในระดับสูง

ต้นทุนของการมีชีวิตของพวกเธอก็เพิ่มสูงขึ้นหากคุณต้องการให้ลูกของคุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต

โลกที่เราอาศัยอยู่จะต้องเจอกับความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงอีกมาก มีการคาดการณ์กันว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นกว่า 2 เมตรภายในปลายศตวรรษที่ 21 ส่งผลกระทบต่อประชากรหลายล้านคนที่อาศัยตามชายฝั่งทะเล พื้นที่ในบริเวณขั้วโลกเหนืออาจจะเผชิญกับฤดูร้อนที่ไม่มีน้ำแข็งเลยอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในเวลา 29 ปีข้างหน้า และปลายศตวรรษนี้เราอาจได้เห็นเมฆน้อยลงและอาจหายไปเลยเมื่อถึงช่วงกลางศตวรรษหน้า

ผมยังจินตนาการไม่ออกว่า โลกไม่มีเมฆจะเป็นอย่างไรและเราจะอยู่อย่างไร แต่ยอมรับตรงๆ ว่ากลัวและรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ไม่มีลูก

ไม่งั้นคงเครียดกว่านี้ 

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save