กองบัญชาการทหารภาคย่างกุ้งของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติได้เปิดฉากโจมตีเป้าหมาย 24 จุด ทั่วกรุงย่างกุ้ง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2022 ในวันครบรอบปีของการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งของอองซาน ซูจี การปฏิบัติการภายใต้ชื่อ ‘ปันวาอ่อง’ (Pyan Hlwa Aung) นั้นเป็นการโจมตีด้วยอาวุธปืนและระเบิดใน 11 อำเภอในย่างกุ้งเมืองหลวงเก่ารวมทั้งซันจวง อินเส่ง ดารา หล่าย ทายา และเลกู พุ่งเป้าไปที่ป้อมทหาร-ตำรวจ สถานที่ทำการของรัฐ สถานีควบคุมกล้องวงจรปิด เพื่อก่อกวนและสร้างความเสียหายให้แก่รัฐบาลทหารเป็นหลัก
นักสู้ของกลุ่มรายหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาได้ระเบิดป้อมทหารของกองพันทหารราบ 532 ซึ่งอยู่บนถนนสายย่างกุ้ง-ปะเตง เมื่อตอนเช้าตรู่ 5 นาฬิกา[1] ใกล้เคียงกับเวลาที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพพม่าก่อการรัฐประหารเมื่อ 1 ปีก่อน
การรัฐประหารปลุกให้ประชาชนพม่า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จำนวนมากลุกขึ้นต่อต้านอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองพม่า ไม่ใช่แค่การออกมาเดินขบวนประท้วงแสดงความไม่พอใจเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่คนหลายหมู่เหล่าได้รวมตัวกันเป็นขบวนการ มีองค์กรจัดตั้งทางการเมืองและประการสำคัญประกาศว่า มีกองกำลังที่มีการจัดการแบบกองทหารและต้องการพัฒนาไปเป็นกองทัพแห่งสหพันธรัฐเพื่อทดแทนกองทัพแห่งชาติพม่าในปัจจุบันที่รู้จักกันดีในชื่อภาษาพม่าว่า ‘ตัดมาดอว์’ ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เพื่อต่อสู้ปลดปล่อยพม่าให้เป็นเอกราชจากอังกฤษและป้องกันประเทศนับแต่นั้นมา
ประชาชนชาวพม่าและสื่อมวลชนมักเรียกการลุกฮือเพื่อต่อต้านตัดมาดอว์หลายครั้งหลายคราในอดีตว่าเป็นการปฏิวัติ เช่น การปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์ (Saffron Revolution) คือการลุกฮือของพระสงฆ์เมื่อปี 2007-2008 แต่การลุกฮือทุกครั้งมักมีลักษณะแบบเป็นไปเอง (spontaneous) ตามธรรมชาติที่ประชาชนต้องการปลดปล่อยความคับข้องใจต่อการปกครองของกองทัพพม่า อาจจะมีการรวมกันเป็นกลุ่มก้อนบ้าง แต่ไม่ได้มีการจัดตั้งที่เข้มแข็งและมักจบลงหลังจากการปราบปรามที่รุนแรง
การลุกฮือของประชาชนพม่า เพื่อต่อต้านการรัฐประหารในขณะนี้ที่เรียกว่า ‘การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ’ (Spring Revolution) นั้นในช่วง 2-3 เดือนแรกก็มีลักษณะแบบเป็นไปเองตามธรรมชาติเหมือนที่เคยเป็น เมื่อประชาชนกลุ่มต่างๆ รวมกันเรียกตัวเองว่า ‘ขบวนการอารยะขัดขืน’ (Civil Disobedience Movement) ใช้แนวทางสันติอหิงสาในการต่อต้านการรัฐประหารด้วยเทคนิคใหม่ๆ เช่น การผละงานประท้วง การบอยคอตสินค้าและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ พากันแห่ไปถอนเงินเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้ระบบการเงินของประเทศ และใช้โชเซียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายพื้นที่ทางการเมือง แต่การประท้วงที่สงบสันติเกิดขึ้นได้ไม่กี่วัน ตัดมาดอว์ทำการปราบปรามอย่างรุนแรงและสังหารผู้ประท้วงคนแรกเป็นหญิงสาวอายุ 20 ปีชื่อ เมี๊ยะ ทวย ทวย คาย ระหว่างการประท้วงที่เมืองหลวงเนปิดอว์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์
จากนั้นความรุนแรงก็ลุกลามไปทั่วประเทศ ประชาชนผู้ประท้วงเริ่มหยิบฉวยอะไรได้หรือไม่ก็ประดิษฐ์ขึ้นเช่นปืนล่าสัตว์ ก็ใช้มันเป็นอาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจ แต่เหตุการณ์ที่ชักพาไปสู่การจับอาวุธขึ้นสู้จริงๆ เกิดขึ้นต้นเดือนเมษายนเมื่อประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหารกลุ่มหนึ่งใช้อาวุธโจมตีและสังหารตำรวจ 5 คน ในหมู่บ้านนันปาโลนเมืองตามูในเขตสกายทางตอนเหนือของประเทศ นับแต่นั้นเป็นต้นมาการต่อสู้ด้วยอาวุธก็ขยายตัวมากขึ้น ผู้ประท้วงรวมกันจัดตั้งกลุ่มติดอาวุธในชื่อต่างๆ หลากหลาย เปิดฉากโจมตีก่อกวนสร้างความปั่นป่วนให้กองทัพแห่งชาติได้มาก
การต่อสู้ด้วยอาวุธไม่ใช่สิ่งใหม่ในประวัติศาสตร์พม่า กลุ่มชาติพันธุ์จับอาวุธขึ้นสู้เพื่อสิทธิอัตวินิจฉัย (Self-determination) มาตั้งแต่พม่าได้เอกราชจากอังกฤษในปี 1948 มาจนถึงปัจจุบันก็ยังเอาชนะกันไม่ได้ และดูเหมือนว่าสงครามกับกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์นี่เองที่เป็นข้ออ้างสำคัญให้กองทัพควบคุมการเมืองการปกครองประเทศได้ตลอดมา แต่การต่อสู้ด้วยอาวุธที่จะพูดถึงต่อไปนี้มีลักษณะแตกต่างออกไป เพราะเกิดขึ้นในหมู่คนเชื้อสายพม่า มีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อยการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคมพม่าจากการครอบงำของทหาร แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมีการประสานสมทบกับกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยซึ่งบทความนี้ต้องการที่จะโต้แย้งว่า ลักษณะและเป้าหมายของการต่อสู้ของกลุ่มต่างๆ มีความแตกต่างกันจนอาจจะไม่สามารถหาเอกภาพในการต่อสู้ได้ จึงเป็นการยากที่จะบรรลุเป้าหมาย
กองกำลังพิทักษ์ประชาชน: กองทัพปลดแอก?
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คุกรุ่น การปราบปรามประชาชนดำเนินไปอย่างรุนแรงและกว้างขวาง นักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2020 ได้รวมตัวกันในรูปของคณะกรรมการผู้แทนสภาปิดองซูลุทตอว์ (Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw) ได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government – NUG) เมื่อกลางเดือนเมษายน 2021 เพื่อให้เป็นหน่วยการเมืองในการนำการต่อสู้กับตัดมาดอว์และให้เป็นรัฐบาลคู่ขนานไปกับสภาทหารที่รู้จักกันในชื่อ ‘สภาบริหารแห่งรัฐ’ (State administration Council – SAC)
โครงสร้างของสภาเอกภาพแห่งชาตินั้นคล้ายๆ กับรัฐบาลทั่วไป มีอู วิน มินต์ (U Win Myint) อดีตประธานาธิบดีในรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไปเป็นประธานาธิบดี แต่เนื่องจากตัวเขาถูกคุมขัง จึงได้เลือกดูวา ลาชิ ลา (Duwa Lashi La) นักการเมืองและนักกฎหมายชาวคะฉิ่น ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี อองซาน ซูจี ผู้นำที่แท้จริงของรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไปมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาแห่งรัฐ (State Counsellor) ตำแหน่งลอยที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับบทบาทที่แท้จริงในรัฐบาล แต่ซูจีทำหน้าที่นี้ไม่ได้อีกเช่นกันเพราะยังถูกคุมขังและดำเนินคดีโดยคณะทหาร
รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติมีนายกรัฐมนตรีคือ มาน วิน คาย ตัน (Mahn Winn Khaing Thann) ชาวกะเหรี่ยง จากภาคอิรวดี แต่โลกภายนอกยังค่อยรู้จักเขาและไม่รู้ว่าเขาทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างไร นอกจากนี้องค์ประกอบในรัฐบาลมีทั้งหมด 9 กระทรวง คนทั่วไปอาจจะได้เห็นบทบาทของรัฐมนตรีบางคนออกให้สัมภาษณ์สื่อทั้งในภาษาพม่าและภาษาอื่นอยู่บ้าง เช่น นายแพทย์ ซา ซ่า นักกิจกรรมด้านมนุษยธรรม เชื้อสายชิน เป็นรัฐมนตรีกระทรวงความร่วมมือต่างประเทศ ที่ออกสื่อและปรากฏตัวในการรณรงค์หาการรับรองให้รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติบ่อยกว่าเพื่อน จนคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าเขาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่คนที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลนี้คือ ดอว์ ซาน มา อ่อง อดีตนักกิจกรรมนักศึกษารุ่นปี 1988 นั้นไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ทั้งยังไม่ค่อยแน่ชัดว่ากระทรวงต่างประเทศและกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศแบ่งงานกันอย่างไร
รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติประกาศจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People’s Defense Force – PDF) ขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2021 อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีอู เย มน นักการเมืองรุ่น 1988 เป็นรัฐมนตรี กองกำลังพิทักษ์ประชาชนมีเป้าประสงค์สำคัญในการพัฒนาไปสู่ความเป็นกองทัพสหพันธรัฐ คือเป็นกองทัพแห่งชาติเพื่อทดแทนตัดมาดอว์ แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้นคงจะอีกยาวนาน เฉพาะหน้านี้กองกำลังดังกล่าวมีภาระที่จะต้องก่อร่างสร้างตัว เสริมความเข้มแข็ง วางยุทธศาสตร์ตั้งรับที่เหมาะสมและแสวงหาพันธมิตรในการต่อสู้เสียก่อน
หลังจากมีคลิปวิดีโอเปิดตัวกองกำลังพิทักษ์ประชาชนเผยแพร่ตามสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2021 แล้ว รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติใช้เวลาอีกหลายเดือนในการระดมพลเข้าฝึกเพื่อเป็นทหารในกองกำลังพิทักษ์ประชาชน โดยคนที่สมัครเข้าเป็นทหารส่วนใหญ่คือประชาชนทั่วไปที่มีความคับแค้นใจจากการรัฐประหารและการปราบปรามของตัดมาดอว์ในช่วงเวลาก่อนหน้า อีกส่วนหนึ่งคือทหารและตำรวจที่แปรพักตร์ออกมาร่วมกับฝ่ายต่อต้าน ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยหรือมีแหล่งใดสามารถระบุได้ว่า กองกำลังพิทักษ์ประชาชนมีจำนวนเท่าใด ข้อมูลเท่าที่มีการเปิดเผยก็เพียงข่าวว่าเยาวชนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันเป็นกลุ่มติดอาวุธและไปขอรับการฝึกจากกลุ่มชาติพันธ์ุที่สำคัญที่คือกองพลที่ 5 และ 6 ของกองทัพกอทูเลของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง
ประธานาธิบดี ดูวา ลาซิ ลา ประกาศสงครามต่อต้านตัดมาดอว์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2021 เรียกร้องให้ประชาชนทั่วไปร่วมกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติจับอาวุธขึ้นสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารของกองกำลังพิทักษ์ประชาชนและกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่วันเสียงปืนแตกของพม่าไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับฝ่ายต่อต้านแต่อย่างใดเลย ตรงกันข้าม ตัดมาดอว์เปิดฉากถล่มโจมตีหมู่บ้านในเขตมะกวย (Magway) ทางตอนเหนือของประเทศ เมื่อกลางเดือนกันยายน ทำให้ฝ่ายต่อต้านซึ่งเป็นเยาวชนไร้ประสบการณ์ในการรบเสียชีวิตไปถึง 18 คน รวมทั้งพลเรือนไร้อาวุธที่ไม่ได้ตั้งใจจะต่อสู้ทหารตัดมาดอว์[2]
หลังจากนั้นอีกเกือบ 2 เดือน จึงมีข่าวว่ากองกำลังพิทักษ์ประชาชนทำการปรับโครงสร้างการบังคับบัญชาอยู่ในรูปของคณะกรรมการกลางเพื่อบัญชาการและประสานงาน (Central Command and Coordination Committee) โดยคณะกรรมการดังกล่าวซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยองค์ประกอบว่ามีใครบ้างและทำหน้าที่อะไร แต่จะทำหน้าที่ในการบังคับบัญชากองกำลังที่อยู่ตามภาคต่างๆ 5 ภาคคือ เหนือ กลาง ใต้ ตะวันออก และภาคตะวันตก[3] และภายใต้กองบัญชาการภาคมีกองบัญชาการเขตต่างๆ อยู่อีกจำนวนหนึ่ง เท่าที่พอสืบค้นได้จะมีกองบัญชาการในเขตมัณฑะเลย์ พะโค สกาย มะกวย ย่างกุ้ง ผสมกับกองกำลังในท้องถิ่นที่อยู่เขตอิทธิพลของกลุ่มชาติพันธุ์เช่น ชิน และ กะเหรี่ยง อีกจำนวนหนึ่ง
การปฏิบัติการทางทหารของกองกำลังพิทักษ์ประชาชนในเขตย่างกุ้งระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ สะท้อนสภาพการณ์ของกองกำลังที่จัดกันเป็นกลุ่มๆ ในชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น กองกำลังจรยุทธพลเมือง (Civil Guerrilla Force) กองทัพสหพันธ์ย่างกุ้ง (Yangon Federal Army) กองกำลังนกฟินิกซ์เมือง (Urban Phoenix Force) เปลวไฟปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ (Spring Revolution Flames) ทุกกลุ่มดูเหมือนจะมีความเป็นอิสระโดยสัมพัทธ์ บางครั้งแต่ละกลุ่มปฏิบัติการโดยลำพัง บางครั้งทำพร้อมกันโดยการประสานงานกัน บางครั้งบางกลุ่มก็ร่วมกันปฏิบัติการ โดยใช้ยุทธวิธีโจมตีก่อกวน สร้างความปั่นป่วนให้กับระบบการปกครองและการบริหารงานของสภาบริหารแห่งรัฐเป็นสำคัญ แต่ทั้งหมดก็ประกาศว่าการปฏิบัติการต่างๆ นั้นเชื่อมโยงกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติและกองกำลังพิทักษ์ประชาชน[4]
อย่างไรก็ตาม พัฒนาการในช่วงใกล้ขวบปีของการรัฐประหารและการต่อสู้นั้นแสดงให้เห็นว่าปฏิบัติการทางทหารของกองกำลังพิทักษ์ประชาชนของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ เริ่มมีเป้าหมายของการทำสงครามปลดปล่อยและยึดครองพื้นที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น กองกำลังพิทักษ์ประชาชนในเมืองปินเลบู ในเขตสกาย ประกาศเมื่อต้นเดือนมกราคมปีนี้ว่าสามารถปลดปล่อยพื้นที่บางส่วนในเมืองนั้นได้แล้ว และกำลังเริ่มจัดตั้งกลไกบริหารในเขตยึดครอง เรียกว่าคณะกรรมการบริหารงานประชาชน โดยจะเริ่มงานทางด้านความมั่นคงและสาธารณสุขซึ่งเป็นความจำเป็นเร่งด่วนก่อน อย่างไรก็ตามโฆษกของกองกำลังกล่าวว่า รัฐบาลทหารยังครอบครองพื้นที่ในเมืองและในรัศมีโดยรอบ 8 กิโลเมตร นอกนั้นถือว่าอยู่ในการยึดครองของกองกำลังพิทักษ์ประชาชน และยังได้ประกาศว่า การตัดไม้และทำเหมืองแร่ในเขตยึดครองจะต้องได้รับอนุญาตและจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ[5]
แน่นอนว่ารัฐบาลทหารตอบโต้สถานการณ์อย่างรุนแรง การเผาทำลายหมู่บ้านที่เชื่อว่าให้การสนับสนุนกองกำลังฝ่ายต่อต้าน และสังหารประชาชนด้วยความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนเกิดขึ้นเป็นประจำนับแต่ปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา แต่อำนาจปกครองท้องถิ่นยอมรับว่า ตัดมาดอว์สูญเสียการควบคุมพื้นที่ 6 ใน 25 เมืองในเขตมะกวย อำนาจการปกครองถิ่นและที่ทำการของรัฐบาลหลายแห่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้แล้วนับแต่กองกำลังพิทักษ์ประชาชนบุกโจมตีและยึดครองเมืองหลายเมืองเอาไว้ได้[6] เจ้าหน้าที่ของรัฐในหลายเมืองในเขตตอนบนของประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งในมะกวยและสกาย พากันเริ่มทยอยละทิ้งหน้าที่หรือไม่ก็ลากลับภูมิลำเนาโดยไม่มีกำหนดกลับเข้าทำงาน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลมากพอจะสามารถระบุได้ชัดเจนนักว่ารัฐบาลเอกภาพแห่งชาติและกองกำลังพิทักษ์ประชาชนจะสามารถปกป้องเขตยึดครองหรือรุกคืบไปได้มากกว่านี้อีกหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญทางทหารที่คุ้นเคยกับการสู้รบในพม่ามานานปีเห็นว่า กองกำลังพิทักษ์ประชาชนเพิ่งจะเริ่มต้นขั้นพื้นฐานของสงครามจรยุทธ อีกทั้งยังขาดยุทธศาสตร์ที่ดีในการจัดทัพและการสู้รบ[7]
กองกำลังจรยุทธอาจจะมีความสามารถในการยึดครองพื้นที่ได้ แต่ต้องเป็นไปเพื่อการสร้างฐานที่มั่นมากกว่าจะเข้าปกครองหรือบริหาร เพราะถ้าจะบริหารและให้บริการทางด้านความมั่นคงแก่ประชาชนได้ กำลังทหารจะต้องเข้มแข็งพอ และต้องเป็นกองทหารในแบบที่มีทักษะในการป้องกัน (defense) ไม่เช่นนั้นก็อาจจะถูกยึดคืนได้โดยง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ตัดมาดอว์ยังควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเฉพาะอย่างยิ่งในภาคกลางและภาคใต้ได้อยู่ ในขณะที่กองกำลังพิทักษ์ประชาชนต้องการกำลังพล และอาวุธมากกว่าที่มีอยู่อีกหลายเท่าตัวจึงจะสามารถพัฒนากำลังทางทหารให้ทัดเทียมพอจะต่อสู้กับตัดมาดอว์ซึ่งกำลังอยู่ประมาณ 350,000-400,000 นาย กำลังสำรอง และอาสาสมัครติดอาวุธอีกนับแสน พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพมากกว่า เฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีทางอากาศซึ่งกำลังสร้างความหวั่นไหวให้กับกองกำลังพิทักษ์ประชาชนและพลเรือนอยู่ในขณะนี้
กลุ่มชาติพันธุ์: พันธมิตรที่ไร้เอกภาพ
สงครามจรยุทธไม่ใช่สิ่งใหม่ในพม่า ตัดมาดอว์ทำสงครามแบบนี้กับพรรคคอมมิวนิสต์พม่าและกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์มาหลายทศวรรษแล้วนับแต่ได้เอกราชในปี 1948 จนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถเอาชนะกันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แม้ว่ากลุ่มคอมมิวนิสต์จะสลายตัวไปแต่ก็เป็นเพียงในนาม กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนหนึ่งก็คืออดีตคอมมิวนิสต์ แต่หลายกลุ่มไม่ได้เลื่อมใสลัทธิมาร์กซ์-เลนิน ทั้งหมดนั้นมีองค์กรทางการเมืองและกองกำลังติดอาวุธอยู่ในเขตยึดครองของตัวเอง ทำการสู้รบ สงบศึกและสู้รบ สลับผลัดเปลี่ยนกันมานาน
สัญญาสงบศึกแห่งชาติฉบับล่าสุดริเริ่มในสมัยรัฐบาลพลเอกเต็ง เส่ง ต่อเนื่องถึงรัฐบาลอองซาน ซูจี มีกลุ่มชาติพันธุ์ 10 จาก 15 กลุ่มตัดสินใจร่วมลงนามและได้เริ่มเจรจรทางการเมืองกัน แต่ยังไม่ทันจะได้พัฒนาไปถึงไหน ก็เกิดรัฐประหารเสียก่อน หลายกลุ่มพากันประกาศว่าสัญญาสงบศึกฉบับนั้นคงจะถูกฉีกไปแล้วจึงต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับตัดมาดอว์อีกครั้งหนึ่ง การประกาศเช่นนั้นทำให้รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติและกองกำลังพิทักษ์ประชาชนมีความหวังอย่างมากว่าจะอาศัยความร่วมมือและโดยเฉพาะกองกำลังที่มีทักษะในทางยุทธวิธีในการต่อสู้ปลดปล่อยพม่าจากการครอบงำของตัดมาดอว์และสร้างกองทัพแห่งสหพันธรัฐที่แท้จริงขึ้นมา
ในประเทศพม่ามีกองกำลังติดอาวุธประมาณ 25 กลุ่ม ขนาดไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ 100 คนไปจนถึง 30,000 คน อาวุธส่วนใหญ่เป็นปืนเล็กยาวประเภท AK 47 หรือ M 16 บ้างแล้วแต่กลุ่มใดจะมีเส้นสายหาอาวุธได้จากตลาดมืดแหล่งใดที่อยู่รอบพม่า เช่น ไทย จีน อินเดีย และบังคลาเทศ นอกนั้นก็มีเครื่องยิงลูกระเบิด M 79 จรวดแบบประทับบ่า RPG ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า บางกลุ่มเช่น ว้า อาจจะมีขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่า (Man Portable Air Defense System—MANPADS) ใช้กันแล้ว[8]
แม้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์จะต่อสู้กับตัดมาดอว์ เหมือนกับกองกำลังพิทักษ์ประชาชน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกกลุ่มมีเป้าหมายทางการเมืองแบบเดียวกัน ในขณะที่รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติมีเป้าหมายสูงสุดไปสู่การเป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตย แต่กลุ่มชาติพันธุ์อาจจะต้องการแค่อำนาจปกครองตนเองในเขตยึดครองเล็กๆ ของพวกเขาเท่านั้น
หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์แล้ว สถานการณ์ของกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธ์ุมีความซับซ้อนและลื่นไหลมาก บางกลุ่มประกาศเข้าร่วมกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติและต้องการช่วยกองกำลังพิทักษ์ประชาชนสู้รบกับตัดมาดอว์ บางกลุ่มก็เพียงแค่ต้องการป้องกันอาณาเขตของตนเอง ในขณะที่บางกลุ่มก็คิดขยายอาณาเขตและหลายกลุ่มก็ยังสงวนท่าที โดยจุดยืนและท่าทีของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายเหล่านั้นสามารถแยกแยะเป็นกลุ่มได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มที่อยู่แนวหน้า คือสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (National Karen Union – KNU) และองค์คะฉิ่นอิสระ (Kachin Independent Organization) ที่ประกาศสนับสนุนรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติและให้การสนับสนุน พร้อมทั้งช่วยฝึกยุทธวิธีให้กองกำลังพิทักษ์ประชาชนตั้งแต่ต้น เพราะประชาชนในเขตยึดครองคือในรัฐกะเหรี่ยงและรัฐคะฉิ่น ซึ่งเคยอยู่กันโดยสันติมาระยะหนึ่งในช่วงรัฐบาลเต็ง เส่งถึงรัฐบาลซูจีในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องการเห็นตัดมาดอว์ควบคุมประเทศอีกต่อไป จึงพากันเรียกร้องให้ต่อสู้กับกองทัพพม่าอีกครั้ง แต่ทั้งสองกลุ่มก็ยังไม่ได้เข้าร่วมสงครามเต็มตัว ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการตั้งรับอยู่ในที่ตั้งเมื่อตัดมาดอว์เป็นฝ่ายที่รุกเข้าไปในเขตยึดครอง เช่น การปะทะที่เลเกก่อในรัฐกะเหรี่ยงเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา[9]
2.กลุ่มที่ถูกบีบให้ต้องหวนคืนสู่การสู้รบอีกครั้ง คือคะยาและชิน ในกรณีของคะยาในรัฐคะยาทางตะวันออกของประเทศตรงกันข้ามกับแม่ฮ่องสอนของไทยนั้น ต้องพากันจับอาวุธต่อสู้อีกครั้ง เพราะโดนตัดมาดอว์เปิดฉากโจมตีทางอากาศในเดือนมิถุนายน[10] จึงรวมตัวกันใช้ชื่อว่า ‘กองกำลังป้องกันตนเองชนชาติคะยา’ (Karenni Nationalities Defense Force) ความจริงชาวคะยาก็เคยได้ต่อสู้กับตัดมาดอว์มาก่อนภายใต้การนำของพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะยา (Karenni National Progressive Party – KNPP) และกองกำลังของกลุ่มนี้คือกองทัพคะยา (Karenni Army) แต่ก็ว่างเว้นจากการต่อสู้มานานมากแล้ว และชาวคะยาที่รวมตัวกันขึ้นมาใหม่เป็นกองกำลังป้องกันตนเองนั้นไม่มีอาวุธที่ทันสมัยจะต่อสู้กับตัดมาดอว์เลยด้วยซ้ำไป ส่วนใหญ่ก็หยิบฉวยปืนและเครื่องมือล่าสัตว์มาเป็นอาวุธ[11] และปฏิบัติการแยกเป็นอิสระจากกองทัพคะยา ไม่ได้อยู่ภายใต้การนำของพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะยา โอกาสที่กองกำลังพิทักษ์ประชาชนของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติจะพึ่งพิงกำลังจากกลุ่มนี้คงจะลำบาก
แต่กลุ่มชินอาจจะต่างออกไป แนวร่วมแห่งชาติชิน (Chin National Front – CNF) กลุ่มติดอาวุธกลุ่มเล็กๆ ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในรัฐชินทางตอนเหนือของประเทศ เป็นกลุ่มแรกที่ประกาศร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองกำลังพิทักษ์ประชาชน มีบทบาทสำคัญในการช่วยฝึกทหารของกองกำลังที่ตั้งขึ้นใหม่หลังการรัฐประหารคือ กองกำลังป้องกันตนเองของดินแดนชิน (Chin Land Defense Force) เนื่องจากทั้งสองกลุ่มมีขนาดเล็กและอาวุธไม่ดีนัก ส่วนหนึ่งจึงต้องกลายเป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ กองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ชินแบ่งพื้นที่กันดูแล โดย CNF ดูแลพื้นที่ด้านเหนือ ส่วนกลุ่มหลังดูแลทางด้านใต้ และพวกเขาอาศัยความจัดเจนในพื้นที่ในการต่อสู้ตัดมาดอว์[12] ถ้าตัดมาดอว์ไม่โหมโจมตีอาจจะพอรักษาฐานที่มั่นของตัวเองไว้ได้ แต่คงจะไม่ไปไกลถึงขั้นเป็นฝ่ายรุก
3.กลุ่มที่สงบชั่วคราวรอดูสถานการณ์ ได้แก่กองทัพอาระกัน แต่เดิมกลุ่มนี้เคยต่อสู้กับตัดมาดอว์ร่วมกับกองทัพคะฉิ่นอิสระในพื้นที่รัฐคะฉิ่นทางตอนเหนือของประเทศเมื่อปี 2012 ต่อมาก็ร่วมมือกับกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า (Myanmar National Democratic Alliance Army) ของกลุ่มโกกั้งต่อสู้กับตัดมาดอว์ในเขตรัฐฉาน ก่อนที่จะเปิดศึกด้วยตัวเองในรัฐยะไข่
กลุ่มนี้ไม่ได้เข้าร่วมสัญญาสงบศึกแห่งชาติสมัยเต็ง เส่ง แต่มีข่าวว่าแอบตกลงหยุดยิงกับตัดมาดอว์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020 ก่อนที่ทางตัดมาดอว์จะปลดกลุ่มนี้ออกจากบัญชีกลุ่มก่อการร้ายเป็นการแลกเปลี่ยน[13]
หลังการรัฐประหารกองทัพอาระกันดูเหมือนจะตั้งอยู่ในความสงบ ในขณะที่ชาวพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เคลื่อนไหวหรือไม่ก็โดนโจมตีจากตัดมาดอว์อย่างหนักหน่วง อย่างไรก็ตาม กองทัพอาระกันยังคงรักษามิตรภาพกับกลุ่มพันธมิตรชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ต่อสู้กับตัดมาดอว์มาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Brotherhood Alliance และพันธมิตรฝ่ายเหนือ (Northern Alliance) เป็นสมาชิกกรรมาธิการเจรจาและหารือสหพันธการเมือง (Federal Political Negotiation and Consultative Committee) อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มอื่นๆ ในภาคตะวันออกของประเทศไม่ว่าจะเป็นสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะยา สภาฟื้นฟูรัฐฉาน กองทัพอาระกันซึ่งอ้างว่าสะสมกำลังพลมาตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2009 ได้มากถึง 30,000 คน ถ้าหากต้องเปิดศึกกับตัดมาดอว์อีกครั้งก็นับว่าน่าเกรงขามไม่น้อย แต่ถึงตอนนี้ยังไม่มีความร่วมมือที่มีนัยสำคัญใดๆ กับกองกำลังพิทักษ์ประชาชนของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ[14]
4.กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลายกลุ่มมีท่าทีค่อนข้างคลุมเครือ ต่อกองกำลังพิทักษ์ประชาชนและรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ในขณะที่ถือโอกาสช่วงสถานการณ์ชุลมุน ต่อสู้กันเองเพื่อปกป้องหรือขยายอาณาเขต กองกำลังชาติพันธุ์ที่เข้มแข็งที่สุดกลุ่มหนึ่งคือ กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army—UWSA) ที่เลื่องชื่อ และกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตาอั้ง (Ta’ang National Liberation Army) ของชาวปะหล่องกำลังร่วมมือกับพรรครัฐฉานก้าวหน้า (Shan State Progress Party) ของชาวไทใหญ่ต่อสู้กับสภาฟื้นฟูรัฐฉาน (Restoration Council of Shan State) ซึ่งก็เป็นไทใหญ่ เพื่อขยายอาณาเขตของพวกตน
สถานะล่าสุดกลุ่มตาอั้งสามารถประกาศชัยชนะยึดครองพื้นที่บางส่วนในรัฐฉานตอนเหนือและขับไล่สภาฟื้นฟูรัฐฉานให้ลงไปตั้งมั่นอยู่ทางตอนใต้ของรัฐฉาน[15] สภาฟื้นฟูรัฐฉานของเจ้ายอดศึกดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่อย่างมาก เพราะถูกโจมตีจากหลายด้าน รายงานข่าวอีกแหล่งหนึ่งว่าเจ้ายอดศึกได้สูญเสียพื้นที่ยึดครองทางภาคเหนือของรัฐฉานไปหมดแล้ว[16]
5.กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์โกกั้ง ภายใต้การนำของกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติพม่านั้นต่อสู้กับตัดมาดอว์อย่างรุนแรงในช่วงขวบปีที่ผ่านมา จนถึงสิ้นปีที่แล้วมีการปะทะกันมากถึง 126 ครั้งในพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐฉาน[17] แต่ไม่ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์หรือแสดงความสนใจจะร่วมมือกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติซึ่งมีศัตรูร่วมกันแต่อย่างใด
สรุป
มีเหตุผลหลายอย่างที่จะสนับสนุนว่าการต่อสู้ด้วยอาวุธของประชาชนชาวพม่าในคราวนี้อาจจะไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลเท่าใดนัก
ประการแรก รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติและกองกำลังพิทักษ์ประชาชนยังไม่มีทิศทางและยุทธศาสตร์ที่แจ่มชัดในการต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อปลดปล่อยพม่าจากการครอบงำของตัดมาดอว์ แม้จะได้ประกาศเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการพัฒนากองกำลังแบบจรยุทธให้เป็นกองทัพในแบบ แต่ยังไม่มีสัญญาณที่บ่งบอกชัดเจนว่าจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร
การสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกองทัพหลัก (Conventional army) จากภายนอกนั้นจะมาจากไหนและอย่างไร เท่าที่ตรวจสอบข้อมูล แม้ว่าประเทศตะวันตกหลายประเทศเช่นสหรัฐฯ จะแสดงความสนับสนุนรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติอยู่บ้าง แต่กองทัพจากประเทศเหล่านั้นคงไม่เลือกที่จะสนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธหรือทุ่มเทงบประมาณเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับกองกำลังพิทักษ์ประชาชน ตรงกันข้าม จีนและรัสเซียหรือแม้แต่อินเดีย ยังให้การสนับสนุนทางอาวุธกับตัดมาดอว์อยู่ไม่ขาด
ประการที่สอง ในทางทฤษฎีแล้ว ยุทธศาสตร์การแสวงหาการสนับสนุนจากมวลชนและบ่อนเซาะความมั่นคงของตัดมาดอว์ ซึ่งแน่นอนว่าถูกเกลียดชังจากประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทำให้ระบบของตัดมาดอว์พังจากข้างในนั้นอาจจะถูกต้อง แต่มันจะได้ผลก็ต่อเมื่อประสานสมทบกับการรุกคืบอย่างมีนัยสำคัญของกองกำลังจรยุทธ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังเร็วเกินไปที่กองกำลังพิทักษ์ประชาชนจะดำเนินยุทธศาสตร์ในเชิงรุก การยึดครองพื้นที่เช่นในเขตสกายดังที่ได้กล่าวมาแล้วอาจจะเสี่ยงต่อการถูกตีโต้และทำลายได้ง่ายๆ เพราะกองกำลังพิทักษ์ประชาชนอาจจะป้องกันเมืองนั้นไม่ได้นานนัก
ประการที่สาม การแสวงหาความร่วมมือกับกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์และสร้างเอกภาพในการต่อสู้ด้วยอาวุธกับพวกเขาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่า แม้จะมีศัตรูร่วมกันแต่เป้าหมายในการต่อสู้นั้นแตกต่างกันมาก กองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ไม่มีแนวคิดที่จะปลดปล่อยพม่าจากตัดมาดอว์ พวกเขาเพียงต้องการอำนาจในการปกครองตนเองในพื้นที่ยึดครองของพวกเขา หรือเป้าหมายสูงสุดของบางกลุ่มอาจจะต้องการหนีไปจากการปกครองของชาวพม่า (ไม่ว่าในรูปแบบใด) เพราะประวัติศาสตร์ได้บอกให้พวกเขารู้แล้วว่า พม่าก็คือพม่า ไม่ว่าจะสวมเครื่องแบบอะไร อองซาน ซูจี และพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ในสมัยเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้เห็นอกเห็นใจกลุ่มชาติพันธุ์สักเท่าใด จึงดูเป็นการเสแสร้งมากที่รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติจะแสดงการเอาอกเอาใจกลุ่มชาติพันธุ์ในเวลาที่ยากลำบากและต้องการความช่วยเหลือ
ตารางแสดงกำลังทหารของฝ่ายต่อต้านตัดมาดอว์กลุ่มสำคัญ
กองกำลัง | ฐานที่มั่น | จำนวน |
กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People’s Defense Force) | ย่างกุ้ง, มัณฑะเลย์, พะโค, สกาย, มะกวย | ไม่มีข้อมูล |
พรรคปลดปล่อยอาระกัน (The Arakan Liberation Party) | รัฐยะไข่ตอนเหนือ | 100 |
แนวร่วมแห่งชาติชิน (The Chin National Front) | ตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐชิน | 2,000 |
กองกำลังป้องกันตนเองของดินแดนชิน (Chin Land Defense Force) | ทางใต้ของรัฐชิน | 1,000 |
สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (The Karen National Union) | รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ และ เขตตะนาวศรี | 5,000 |
สภาฟื้นฟูรัฐฉาน (The Restoration Council of Shan State) | ตอนใต้ของรัฐฉาน | 8,000 |
กองทัพอาระกัน (Arakan Army) | รัฐยะไข่ | 2,000 (อ้างว่ามี 30,000) |
กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอั้ง (Ta’ang National Liberation Army) | ตอนเหนือของรัฐฉาน | 4,500 |
กองทัพพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า (Myanmar National Democracy Alliance Army) | เขตโกกั้งและตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐฉาน | 3,000 |
กองทัพแห่งสหรัฐว้า (United Wa State Army) | เขตปกครองพิเศษว้า และตะวันออกของรัฐฉาน | 30,000 |
พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะยา (Karenni National Progressive Party) | รัฐคะยา | 600 |
กองกำลังป้องกันตนเองชนชาติคะยา (Karenni Nationalities Defense Force) | รัฐคะยา | ไม่มีข้อมูล |
ที่มา: รวบรวมโดยผู้เขียน
[1] “NUG forces carry out bomb attacks across Yangon on coup anniversary” Myanmar Now 2 February 2022 (https://www.myanmar-now.org/en/news/nugs-forces-carry-out-bomb-attacks-across-yangon-on-coup-anniversary)
[2] “At least 18 locals, including unarmed civilians, killed in Magway Region” Myanmar Now 13 September 2021 (https://www.myanmar-now.org/en/news/at-least-18-locals-including-unarmed-civilians-killed-in-magway-region)
[3] “NUG establishes ‘chain of command’ in fight against regime” Myanmar Now 28 October 2021 (https://www.myanmar-now.org/en/news/nug-establishes-chain-of-command-in-fight-against-regime)
[4] “Yangon resistance forces lead lethal attack on Dagon Seikkan police station” DVB 22 December 2021 (http://english.dvb.no/dagon-seikkan-pdf-attack/) และ “Yangon resistance fighters set up attacks on Myanmar junta” Irrawaddy 7 January 2022 (https://www.irrawaddy.com/news/burma/yangon-resistance-fighters-step-up-attacks-on-myanmar-junta.html)
[5] “PDF forms civilian administration in Sagaing Region” BNI 7 January 2022 (https://www.bnionline.net/en/news/pdf-forms-civilian-administration-sagaing-region)
[6] “Myanmar Junta security minister admits defeat across region” The Irrawaddy 25 January 2022 (https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmar-junta-security-minister-admits-defeat-across-region.html)
[7] Tin Htet Paing “Myanmar’s PDF in phase one of revolutionary war” Myanmar Now 29 January 2022 (https://www.myanmar-now.org/en/news/myanmars-pdfs-in-phase-one-of-revolutionary-war)
[8] Anthony Davis “China mobile missile on the loose in Myanmar” Asia Times 28 November 2019 (https://asiatimes.com/2019/11/chinas-mobile-missiles-on-the-loose-in-myanmar/)
[9] International Crisis Group “Myanmar’s coup shakes up its ethnic conflict” Asia Report no. 319 12 January 2022
[10] Emily Fishbien, Nu Nu Lusan and Zau Myet Awng “Village empty, civilian armed group rise in eastern Myanmar” Al Jazeera 7 June 2121 (https://www.aljazeera.com/news/2021/6/7/civilians-have-become-hostages-myanmars-kayah-state-faces-gro)
[11] Bertil Lintner “Military coup renews rebellions in Kayah and Chin States” The Irrawaddy 28 June 2021 (https://www.irrawaddy.com/opinion/guest-column/military-coup-renews-rebellions-in-myanmars-kayah-and-chin-states.html)
[12] Khin Ye Ye Zaw “Chin resistance forces brace for a major escalation of conflict” Myanmar Now 18 January 2022 (https://www.myanmar-now.org/en/news/chin-resistance-forces-brace-for-a-major-escalation-of-conflict)
[13] Myanmar military removes rebel Arakan Army from terrorist list 11 March 2021 (https://www.aljazeera.com/news/2021/3/11/myanmar-junta-removes-rakhine-rebels-from-terrorist-list)
[14] Bertil Lintner “Rebel yell: Arakan leader (Maj. General Twan Mrat Naing) speaks to Asia Times” Asia Times 18 January 2022 (https://asiatimes.com/2022/01/rebel-yell-arakan-army-leader-speaks-to-asia-times/)
[15] “Rising dragon: TNLA declares victory in northern Shan” Frontier 4 February 2022 (https://www.frontiermyanmar.net/en/rising-dragon-tnla-declares-victory-in-northern-shan/?fbclid=IwAR02Ou77CIZGRhbgsKv7O5ElQvGOJW3pWFtJe56bZajomTy1Zt-2xr4RfxQ)
[16] “Myanmar’s most powerful ethnic armed group ready to fight rival” Irrawaddy 24 January 2022
[17] “Kokang armed group reports escalating fighting with Myanmar junta” Irrawaddy 2 December 2021 (https://www.irrawaddy.com/news/burma/kokang-armed-group-reports-escalating-fighting-with-myanmar-junta.html)