คนจีนมักบอกว่า อย่าดูถูกภูมิปัญญาจีน คนจีนมีทางแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์แบบที่คนชาติอื่นอาจคิดไม่ถึง
งั้นลองเอาปัญหาที่ยากและหนักหนาสาหัสที่สุดอย่างปัญหาจีน-ไต้หวัน อะไรคือความคิดที่สร้างสรรค์ที่สุดเกี่ยวกับแนวทางการรวมชาติจากทั้งฝั่งเหมาเจ๋อตงกับเติ้งเสี่ยวผิงในฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ และเจียงไคเช็กกับเจียงจิงกั๋ว (ลูกชาย) แห่งพรรคก๊กมินตั๋งที่แพ้สงครามกลางเมืองหนีไปเกาะไต้หวัน พร้อมกับคนจีนแผ่นดินใหญ่อีกหลายล้านคนในช่วงสงครามกลางเมือง
ความคิด ‘รวมชาติอย่างสันติ’ ของเหมาเจ๋อตงและเติ้งเสี่ยวผิง จริงๆ แล้ว ความหมายแท้จริงคือ บีบให้ไต้หวันยอมแพ้เอง โดยไม่ต้องรบเสียเลือดเนื้อ
เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ไต้หวันยอมแพ้โดยไม่ต้องรบก็คือ สหรัฐฯ เลิกขายอาวุธให้ไต้หวันและเลิกทำให้ไต้หวันรู้สึกถึงความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะมาร่วมรบด้วย หากจีนบุกไต้หวันจริง
ความคิดของผู้นำจีนคือ ถ้าไต้หวันไม่มีอาวุธ (ที่สหรัฐฯ ขายให้) และไต้หวันรู้ชัดเจนว่า สหรัฐฯ ไม่มาช่วยไต้หวันแน่ ไต้หวันย่อมไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก นอกจากจะต้องเจรจารวมชาติกับจีน เพราะไต้หวันไม่มีทางจะรบชนะจีนได้เลย หากจีนบุกไต้หวัน
ดังนั้นหากมองตามตรรกะของจีน สหรัฐฯ นั่นแหละที่เป็นผู้ขัดขวางการรวมชาติอย่างสันติ
ในระยะยาว แรงจูงใจพื้นฐานของจีนในการทำลายความมั่นคงแข็งแรงของสหรัฐฯ อาจไม่ใช่ความต้องการจะเป็นเจ้าโลก แต่เท่ากับความต้องการให้สหรัฐฯ อ่อนแอลง หรือวุ่นวายภายในบ้านจนช่วยเหลือไต้หวันไม่ไหว
สำหรับจีนแล้ว สัญลักษณ์สำคัญของการกลับมารุ่งเรือง (The Great Rejuvenation of the Chinese Nation) คือการที่ชาติจีนเป็นปึกแผ่นอย่างสมบูรณ์ ยิ่งเสียกว่าการที่จีนเป็นเจ้าโลกเสียอีก
ส่วนความคิดสร้างสรรค์ในการรวมชาติของเติ้งเสี่ยวผิงก็คือ แนวคิด ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จีนวางแผนจะใช้ในการเจรจารวมชาติ โดยจีนพร้อมให้คำมั่นว่าไต้หวันจะยังคงรักษาวิถีชีวิต ระบบเศรษฐกิจ และระบบการเมืองของไต้หวันไว้ได้ ขออย่างเดียวคือ ยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน
แน่นอนว่าในมุมเจียงไคเช็กและเจียงจิงกั๋ว (ลูกชาย) ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนานในเกาะไต้หวันหลังสงครามกลางเมืองก็ยืนยันเช่นกันว่า สุดท้ายสองฝั่งต้องเดินไปสู่การรวมชาติ เพียงแต่จะไม่รวมกับโจรคอมมิวนิสต์ ซึ่งก็คือสาธารณรัฐประชาชนจีน
เจียงไคเช็กฝันจะนำกองทัพบุกกลับไปยึดแผ่นดินใหญ่ แต่พอถึงยุคของเจียงจิงกั๋วก็เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ในการรวมชาติขึ้น นั่นคือ จะเจรจารวมชาติก็ต่อเมื่อวัฒนธรรมทางการเมืองและความเจริญทางเศรษฐกิจของจีนเทียบเท่ากับไต้หวัน แปลรหัสก็คือ ก็ต่อเมื่อจีนแผ่นดินใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์จีนล่มสลาย และจีนเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย
ลองจินตนาการดูครับว่า ถ้าจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยและพรรคกั๋วหมินตั๋งสามารถกลับไปแผ่นดินใหญ่ลงชิงตำแหน่งผู้นำจีนได้ ก็เป็นเงื่อนไขนำไปสู่การรวมชาติอย่างสันติได้
ยิ่งถ้าจีนเป็นสหพันธรัฐแบบสหรัฐอเมริกาที่แต่ละมณฑลเลือกตั้งผู้นำและปกครองเป็นเอกเทศ เหลือเพียงบางเรื่องเท่านั้นที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของรัฐบาลกลาง ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่การรวมชาติจะไม่กระทบกับวิถีชีวิตปัจจุบันของคนไต้หวัน และคนไต้หวันจะไม่รู้สึกว่าวัฒนธรรมเสรีและอัตลักษณ์ของตนจะถูกคุกคาม
สโลแกนของพรรคก๊กมินตั๋งในยุคหนึ่งที่ยังครองอำนาจในไต้หวันอยู่มีอยู่ว่า “ลัทธิไตรราษฎร์จะรวมแผ่นดินจีน” ลัทธิไตรราษฎร์เป็นแนวคิดของซุนยัดเซ็น ผู้ล้มราชวงศ์ชิง ซึ่งวางอยู่บนแนวคิดประชาสิทธิ์ (ชาตินิยม) ประชาธิปไตย (รัฐเสรี) และประชาชีพ (อยู่ดีกินดี)
ชนชั้นนำในไต้หวันจะชี้ว่า วันนี้มีเพียงเกาะไต้หวันเท่านั้นที่เข้าใกล้อุดมคติของซุนยัดเซ็น ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ยังขาดอย่างชัดเจนอยู่หนึ่งข้อคือ เสรีนิยมประชาธิปไตย
ในคำกล่าวของประธานาธิบดีช่ายอิงเหวินของไต้หวันในวันชาติเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก็ยังย้ำเน้นว่า จะไม่ยอมให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนมาทำลายและกลืนวิถีชีวิตของชาวไต้หวัน นี่เป็นจุดที่ทั้งพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคหมินจิ้นตั๋งของช่ายอิงเหวินต่างก็มีจุดยืนร่วมกัน
ดังนั้น แนวทางสร้างสรรค์ที่สุดของการรวมชาติของชนชั้นนำในเกาะไต้หวันก็คือ การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และจีนเปลี่ยนเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยให้เหมือนกับไต้หวัน
ฝันที่ว่าจีนแผ่นดินใหญ่จะเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง อย่าเพิ่งถามเพียงว่าจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ แต่ลองถามต่อไปด้วยว่าถ้าเกิดขึ้นจริง จะดีหรือเลวร้ายก็ไม่มีใครรู้แน่
มีนักวิชาการการด้านความมั่นคงกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่า เผลอๆ ถ้าจีนเป็นประชาธิปไตย โอกาสที่จีนจะทำสงครามกับไต้หวันอาจจะสูงขึ้นด้วยซ้ำ เพราะนโยบายการรวมชาติน่าจะเป็นนโยบายชาตินิยมที่ชาวจีนอาจนิยมชมชอบมาก คล้ายกับที่นโยบายไม่รวมชาติทำให้พรรคหมินจิ้นตั๋งชนะในการเลือกตั้งของไต้หวันมาตลอด
บางคนถึงกับบอกว่า จีนที่มีการเลือกตั้งอาจวุ่นวายและควบคุมไม่ได้ ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจการเมืองโลกยิ่งกว่าจีนภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งอย่างน้อยถ้าคุยกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนรู้เรื่องก็จบ โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังสามารถคุมกระแสสังคมได้ ไม่ให้มีใครมาปลุกความรุนแรงหรือชาตินิยมสุดขั้วจนเกินไป
สรุปก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ในการรวมชาติอย่างสันติของทั้งสองฝ่าย ดูจะเป็นไปไม่ได้ และดูไม่ใช่ทางออก
เพราะสหรัฐฯ ไม่มีทางจะหยุดยุ่งและหยุดสนับสนุนไต้หวัน และยิ่งเมื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกง ก็ไม่มีคนไต้หวันที่ไหนด้วยที่จะสนับสนุนแนวคิด ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ ของจีน
ส่วนในจีนแผ่นดินใหญ่เองก็ไม่เห็นเค้าลางใดๆ ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะล่มสลายได้ ดูเหมือนพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะยังคงได้รับความนิยมสูง คนจีนทั่วไปดูจะกลัวประชาธิปไตยที่อาจวุ่นวายและจีนที่อาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งกว่ากลัวพรรคคอมมิวนิสต์จีน
พื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ในการรวมชาติของทั้งสองฝ่าย มองจากมุมของจีนยังหมายถึงการทำลายความแข็งแกร่งของสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ เองจะยอมได้อย่างไร ส่วนในมุมของไต้หวันก็หมายถึงการทำลายระบบการเมืองจีน ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะยอมได้อย่างไร
ทั้งหมดนี้จึงวกกลับมาที่ทางตันเช่นเดิม
และนี่เองจึงเป็นความจำเป็นที่ทั้งสองฝั่งของคาบสมุทรต้องมีปัญญาเพียงพอที่จะรักษาความกำกวมเช่นในปัจจุบันต่อไป คือ ไต้หวันก็ไม่ประกาศแยกประเทศ ส่วนจีนก็ไม่ประกาศรวมประเทศ
เพราะถ้าไต้หวันประกาศแยกประเทศเมื่อไหร่ จีนก็รบแน่นอน ส่วนถ้าจีนเร่งทำสงครามรวมชาติตอนนี้ ก็หายนะกันหมดแน่
จริงๆ แล้ว ผลึกภูมิปัญญาจีนมีอยู่ข้อหนึ่งคือ อะไรที่เป็นทางตันก็อย่าไปดันทุรังแก้ไขตอนนี้ ปล่อยทิ้งไว้ให้คนในอนาคตเขาจัดการ