อาร์ม ตั้งนิรันดร เรื่อง
“เผด็จการอยู่ไม่ได้หรอกในโลกยุคใหม่”
อาจารย์อาวุโสที่รักประชาธิปไตยท่านหนึ่งเคยบอกผม ด้วยข้อความข้างต้น
ท่านบอกว่าไม่ว่าจะเซ็นเซอร์อย่างไร ความจริงก็ย่อมปรากฏขึ้นได้อยู่ดีในโลกอินเทอร์เน็ตอันกว้างใหญ่ ไม่มีทางที่รัฐเผด็จการจะสามารถปิดเว็บไซต์หรือเซ็นเซอร์ความจริงที่ไม่อยากให้คนรู้ได้ทั้งหมดหรอก
ผมเสียใจที่ต้องทำให้ท่านผิดหวัง แต่ผมเกรงว่า เผลอๆ เผด็จการในโลกยุคใหม่อาจมีวิธีรักษาอำนาจได้ยั่งยืนยิ่งกว่าโลกโบราณเสียอีกครับ
รัฐบาลจีนเป็นเผด็จการ (อันนี้เขาเองก็ไม่เคยเถียงว่าเขาเป็นประชาธิปไตย 99.99% นะครับ เขาเรียกตัวเองว่าเป็นเผด็จการเพื่อประชาชน ประกาศชัดว่าเอาเศรษฐกิจระบบตลาดแบบฝรั่ง เอาเทคโนโลยี 4.0 แบบฝรั่ง ไม่เอาอย่างเดียวคือประชาธิปไตยแบบฝรั่ง) ในบทความนี้ ผมจะไม่ร่วมถกเถียงว่ารัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนประเสริฐหรือเลวร้ายอย่างไรนะครับ แต่ผมจะรายงานให้เพื่อนๆ ทราบว่า เขารักษาอำนาจอย่างไรในยุคโซเชียล
กองทัพนักโพสต์
เพื่อนๆ อาจคิดว่า “ไม่เห็นยากเลย พรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นชื่อเรื่องเซ็นเซอร์อยู่แล้ว” อืม ก็ถูกส่วนหนึ่งนะครับ แต่ไม่ถูกทั้งหมดเสียทีเดียว พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็รู้เหมือนกับอาจารย์ของผมว่า ไม่มีทางเซ็นเซอร์ได้หมดโลกอินเทอร์เน็ตหรอก
งานวิจัยของ ศาสตราจารย์ แกรี่ คิง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และคณะ พบว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนแทบไม่สนใจจะเซ็นเซอร์มากมายเลยด้วยซ้ำ แต่ใช้วิธีจัดตั้ง “กองทัพนักโพสต์” แฟนคลับรัฐบาลมาโพสต์แข่ง
ที่น่าสนใจกว่านั้น ก็คือ กองทัพนักโพสต์เหล่านี้ไม่ได้มาโพสต์เถียง โพสต์สู้ หรือโพสต์แก้ข้อความโจมตีรัฐบาลแต่อย่างใด หากแต่เน้นโพสต์ข้อมูลด้านบวกของรัฐบาลให้ท่วมโลกอินเทอร์เน็ต คือให้เสียงเชียร์ในเรื่องอื่นๆ กลบข่าวร้ายหรือเสียงต่อต้าน
เคล็ดลับ ก็คือ ให้โพสต์เปลี่ยนเรื่องใหม่ไปเลย จุดประเด็นใหม่ เชียร์ผลงานรัฐบาล ที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับเรื่องที่เขากำลังต่อต้านหรือโจมตี
เช่น พอถึงวันครบรอบเหตุการณ์สังหารโหดที่เทียนอันเหมิน พรรคคอมมิวนิสต์อาจเซ็นเซอร์การค้นคำ “เหตุการณ์เทียนอันเหมิน” ในเว็บไป่ตู้ (คล้ายๆ กูเกิ้ลเมืองจีน) แต่เรายังอาจพอเห็นข้อความเกี่ยวกับความโหดร้ายของเหตุการณ์เทียนอันเหมินได้บ้างในที่ต่างๆ เพียงแต่ว่าในวันนั้น ในโลกโซเชียลจีนจะเต็มไปด้วยโพสต์โปรโมตผลความสำเร็จในรอบ 20 ปี ของรัฐบาล โดยกองทัพนักโพสต์ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดตั้งขึ้น
ยุทธศาสตร์ไม่ด่า ไม่เถียง ไม่ชี้แจง
แต่ …..
ผลการวิจัยเรื่องนี้ มาจากการวิเคราะห์โพสต์ข้อความของกองทัพนักโพสต์จีนจำนวน 167,971 ข้อความ โดยทีมวิจัยได้รับข้อมูลชุดนี้มาจากเจ้าหน้าที่ภายในฝ่ายชี้นำมวลชนของรัฐบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ข้อความเหล่านี้รวบรวมมาจากอีเมลที่กองทัพนักโพสต์ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อรายงานว่าตนได้โพสต์อะไรในโลกอินเทอร์เน็ตไปบ้าง
โพสต์จำนวนมากเหล่านี้ แทบจะไม่มีข้อความโพสต์ด่า ถกเถียง หรือชี้แจงข้อเท็จจริงกับกลุ่มที่โพสต์ข้อมูลต่อต้านรัฐบาลเลย แต่เกือบทั้งหมดเป็นข้อความเชิงบวก เชียร์ผลงาน ความสำเร็จ ความจริงใจ ความมุ่งมั่น ทุ่มเททำงานของรัฐบาลมากกว่า
นักโพสต์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งรับงานมาช่วยโพสต์สนับสนุนรัฐบาลในเวลาว่าง ทีมวิจัยไม่พบหลักฐานว่ามีการจ่ายค่าตอบแทนให้นักโพสต์เหล่านี้แต่อย่างใด คิดว่าน่าจะถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน หรืออาจมีผลต่อการเลื่อนขั้น
ทีมนักวิจัยยังพบว่า โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลจีนไม่ได้เซ็นเซอร์ข้อความวิจารณ์รัฐบาลแต่อย่างใด แถมรัฐบาลกลางยังมีทีมคอยรวบรวมคำวิจารณ์ เพื่อประเมินความนิยมของประชาชน และนำไปปรับปรุงนโยบายด้วย
จะมีโพสต์อยู่เพียงประเภทเดียวที่พรรคคอมมิวนิสต์เซ็นเซอร์อย่างเด็ดขาด นั่นคือ โพสต์ที่อาจนำไปสู่การรวมตัวของมวลชน ไม่ว่าจะเป็นการล่ารายชื่อในโลกออนไลน์ หรือนัดชุมนุมบนท้องถนน
จากการคำนวณด้วยเทคนิคทางสถิติ พบว่า ในปีที่ผ่านมา กองทัพนักโพสต์ของรัฐบาลจีน (น่าจะมีราว 2 ล้านคน) ได้โพสต์ข้อความเชียร์รัฐบาล รวมประมาณ 448 ล้านข้อความท่วมโลกโซเชียลของจีน ทุกๆ 178 โพสต์ในโลกโซเชียลของจีน จะมี 1 โพสต์ ที่โพสต์โดยกองทัพนักโพสต์ที่จัดตั้งโดยรัฐบาล
เชื่อไหมครับ หลังจากงานวิจัยสนั่นโลกชิ้นนี้เผยแพร่ออกมา รัฐบาลจีนไม่ได้ปฎิเสธผลวิจัยแต่อย่างใด ตรงกันข้าม บทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้มีการกล่าวถึงงานวิจัยเรื่องนี้ พร้อมชื่นชมระบบจัดตั้งชี้นำมวลชนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผลงานการชี้นำมวลชนให้สนใจข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ รวมทั้งสรุปด้วยว่าประชาชนจีนส่วนใหญ่สนับสนุนการกระจายข่าวสารที่ถูกต้องและสร้างสรรค์!!
หลายคนไม่รู้ว่า เคล็ดลับของรัฐบาลจีนนี่ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์ว่าได้ผลมาก มีผลวิจัยมากมายชี้ว่า “การเถียงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น สู้เปลี่ยนเรื่องไปเลยไม่ได้” เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายไม่ได้เป็นคนมีเหตุผลมากนักหรอกครับ เมื่อใดก็ตามที่มีใครมาเถียงความเชื่อเดิมของเรา เราจะรีบคิดหาเหตุผลมายืนยันหรือปกป้องสิ่งที่เราเชื่อทันที กลายเป็นว่ายิ่งพยายามหาข้อมูลมาเถียงมาหักล้าง กลับยิ่งทำให้คนที่เราเถียงด้วยยิ่งกอดความเชื่อเดิมไม่ปล่อย
แถมยิ่งเถียง ยิ่งชี้แจง ยิ่งจะทำให้เรื่องร้ายๆ ของรัฐบาลได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีก
งานวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์ยังชี้ว่า “ปริมาณสำคัญกว่าคุณภาพของข้อมูล” ถ้าเราได้รับข้อมูลปริมาณมากๆ จากหลายๆ แหล่ง ท่องไปโลกโซเชียลที่ใดก็ตาม เว็บใดก็ตาม เปิดทีวีเมื่อใดก็ตาม ก็เห็นข้อมูลนี้ สมองเราก็มักจะคิดว่าข้อมูลนี้ต้องน่าเชื่อถือมากๆ แน่นอน แม้ว่าเราจะเห็นข้อความนำเสนอ “ความจริง” อีกด้านอยู่นิดหน่อย เราก็มักจะคิดว่าไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลจีนจัดตั้งทีมโพสต์ข้อความเชิงบวกเกี่ยวกับรัฐบาลให้ท่วมโลกโซเชียล จึงได้ผลนัก
รู้ทันเผด็จการยุคโซเชียล
สำหรับผู้ที่ต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรมไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก อย่าคิดเข้าข้างตัวเองครับว่า การนำเสนอความจริงอีกด้านผ่านโลกออนไลน์นั้นเพียงพอแล้ว (เผลอๆ กลับจะได้ผลตรงกันข้ามด้วย) ท่านเองน่าจะต้องคิดเรื่องกลยุทธ์บ้าง เช่น ท่านจะกดดันอย่างไรให้รัฐบาลต้องให้ความสนใจประเด็นของท่านและเปลี่ยนเรื่องไม่ได้? ท่านจะขยายวงเผยแพร่ข้อมูลของท่านอย่างไรให้ไปถึงสื่อหลายสำนักและหลายช่องทางมากขึ้น?
เผด็จการยุคใหม่ อาจไม่เหมือนเผด็จการ (หน้าตาโหดร้าย) แบบในอดีต เพราะเขาปรับตัวเปิดพื้นที่ให้คนด่าได้ มุ่งปราบจริงจังเฉพาะคนที่เขาเห็นว่าเป็นภัยคุกคาม แคร์เสียงตอบรับของประชาชนพอควร
ไม่กลัวโลกโซเชียล แถมมีวิธีปั่นหัวคนในโลกโซเชียลเสียอีกครับ
อ่านเพิ่มเติม
- งานวิจัยเรื่อง How the Chinese Government Fabricates Social Media Posts for Strategic Distraction, not Engaged Argument ของ Gary King และคณะ ใน American Political Science Review (อยู่ระหว่างตีพิมพ์)
- ตัวอย่างงานวิจัยที่ชี้ว่าการให้ข้อเท็จจริงอีกด้านไม่มีประโยชน์ และเผลอๆ จะได้ผลตรงกันข้าม โปรดดู บทความเรื่อง The Backfire Effect: Why Facts Don’t Win Arguments ใน Big Think
- ตัวอย่างงานวิจัยที่ชี้ว่าปริมาณสำคัญกว่าคุณภาพของข้อมูล โปรดดู บทความเรื่อง The Russian “Firehose of Falsehood” Propaganda Model ใน The Rand Corporation