การประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ในรอบที่ผ่านมา หน้าตาของคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองหรือโปลิตบูโร (Politburo) จะเป็นอย่างไร? สี จิ้นผิงจะต่อวาระการดำรงตำแหน่งของตนเองหรือไม่? ประเด็นดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงประเด็นภายในประเทศจีนเท่านั้น แต่ทั่วโลกต่างจับตามอง หลังจากที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
การขึ้นสู่ตำแหน่งมหาอำนาจของประเทศจีนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างไร้ตัวชี้วัด เพราะเมื่อสำรวจถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนจาก GDP (gross domestic product : ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ)ในช่วงปี 1980-2019 พบว่ามีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า 8% นับว่ามากกว่าประเทศตะวันตกเลยทีเดียว กลายเป็นปรากฎการณ์ที่สร้างข้อถกเถียงสำคัญว่าประเทศที่มีการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจสามารถสร้างผลการเติบโตทางเศรษฐกิจได้มากกว่าประเทศที่ยึดถือวิธีตลาดเสรีได้อย่างไร? [1]
ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้เห็นจีนเริ่มก่อร่างสร้างตัวลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจนมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนรวมถึงองคาพยพทางการเมืองของจีนมองว่าประเทศจีนสามารถโดดเด่นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) เพราะมีระบอบการเมืองที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งชุดข้อมูลจำนวนมาก โดยประเทศจีนมีทั้งจำนวนประชากรและระบบการปกป้องข้อมูลที่ต่ำ จึงสามารถแปรผลมาเป็นข้อมูลมหาศาลที่อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้ เมื่อหลายคนมองว่านี่เป็นโอกาสสำคัญของประเทศจีน เราจึงเห็นการลงทุนทางเทคโนโลยีในประเทศจีน รวมถึงการถือกำเนิดของบริษัทด้านเทคโนโลยีสัญชาติจีนอย่าง Alibaba, Tencent และ Huawei เป็นต้น
นอกจากนี้ เรายังเห็นถึงการลงทุนทางนวัตกรรมของจีนผ่านวงการวิชาการจากตัวเลขการลงทุนด้านงานวิชาการ ในรอบทศวรรษที่ผ่านมาจีนลงทุนมากถึง 25.8 พันล้านหยวนในปี 2557 และมากถึง 42.3 พันล้านหยวนในปี 2561 นับว่ามากกว่าประเทศอุตสาหกรรมอย่าง ญี่ปุ่น เยอรมัน หรือฝรั่งเศส เสียอีก
การลงทุนงบประมาณด้านงานวิชาการส่งผลให้มหาวิทยาลัยของประเทศจีนได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว และจำนวนงานวิชาการที่ตีพิมพ์ในประเทศจีนนั้นก็มากขึ้นตามไปด้วย แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อกังวลใหม่ว่าคุณภาพของงานวิชาการกลับไม่พัฒนาตาม เห็นได้จากอัตราการอ้างอิงภายในงานวิชาการของประเทศจีนนั้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ มีน้อยกว่าครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว และตำแหน่งแห่งที่ของมหาวิทยาลัยจีนบนเวทีสากลก็ไม่ได้มีอันดับที่โดดเด่นมากนัก แม้แต่ในหัวข้อที่รัฐบาลจีนให้ความสนใจอย่าง ‘ปัญญาประดิษฐ์’ ด้วย
Daron Acemoglu, Jie Zhou นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology: MIT) และ David Yang จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard university) ร่วมกันศึกษาวงการวิชาการในประเทศจีน ผ่านเครื่องมือ NLP หรือ Natural language processing เป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ให้ทำความเข้าใจ ตีความ และใช้งานภาษาของมนุษย์ได้ เพื่อลดช่องว่างระหว่างระบบคอมพิวเตอร์และมนุษย์
ทั้งสามใช้เครื่องมือดังกล่าวศึกษางานวิจัยของประเทศจีนเทียบกับประเทศอื่น ภายใต้งานชื่อ “Power and the Direction of Research: Evidence from China’s Academia” [2] เพื่อให้เห็นทิศทางงานวิจัยของผู้มีอำนาจภายในมหาวิทยาลัยกับผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน นำมาสู่การตอบคำถามใหญ่ที่ว่าลักษณะการใช้อำนาจในประเทศจีนที่เป็นการควบคุมจากบนลงล่าง (a top-down autocracy) ส่งผลอย่างไรต่อทิศทางและคุณภาพของงานวิจัย
อนึ่ง ความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งระหว่างวงการวิชาการของประเทศจีนกับประเทศตะวันตก คือผู้บริหารในมหาวิทยาลัยของจีน อาทิ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย คณบดี หัวหน้าภาค บุคคลเหล่านี้มีอำนาจมากกว่าทางตะวันตก และมีความเกี่ยวข้องทั้งด้านการใช้ทรัพยากรภายในคณะ ไปจนถึงการแต่งตั้ง ดังนั้นคำถามสำคัญคือ ผู้บริหารคณะหรือตัวแทนของพรรคฯ ตามมหาวิทยาลัยที่มีอำนาจมากนั้นจะส่งผลต่อประเด็นความสนใจและคุณภาพของงานวิชาการในประเทศจีนอย่างไร
เมื่อผู้วิจัยเข้าไปสำรวจมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศจีนทั้งหมด 109 แห่ง เก็บข้อมูลจากผลงานตีพิมพ์ของทั้งผู้บริหารและสมาชิกในมหาวิทยาลัยมาประมวลผลผ่านเครื่องมือ NLP โดยวัดความคล้ายคลึงของประเด็นงานและผลลัพธ์ของงานวิชาการระหว่างบุคลากรในมหาวิทยาลัยกับผู้บริหารแล้ว พบว่าประเด็นความสนใจของงานวิชาการนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงให้คล้ายคลึงกันมากขึ้น โดยความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมักเกิดขึ้นเมื่อผู้บริหารคนใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ไม่มีเค้าลางมาก่อนหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผู้บริหารมหาวิทยาลัยมีผลต่อการเลือกประเด็นและผลลัพธ์ของงานวิจัยนั่นเอง
จากผลสำรวจดังกล่าวทำให้ผู้วิจัยตีความว่า ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากความกดดันในอำนาจผู้บริหารและความกังวลด้านอาชีพการงานของผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้งานวิชาการมีการเปลี่ยนแปลงความสนใจและผลลัพธ์ให้ตอบโจทย์กับผู้มีอำนาจ
นอกจากทิศทางของงานวิชาการแล้ว คำถามต่อมาคือ แล้วความกดดันจากอำนาจของผู้บริหารนั้นส่งผลต่อคุณภาพงานวิชาการในประเทศจีนด้วยหรือไม่? คำตอบที่ผู้วิจัยให้คือ ใช่ หากผู้บริหารคนเก่ามีผลงานทางวิชาการระดับต่ำกว่ามาตรฐาน (below-average leader) แล้วมหาวิทยาลัยเปลี่ยนผู้บริหารคนใหม่ที่มีผลงานทางวิชาการระดับสูงกว่ามาตรฐาน (above-average leader) พบว่างานวิชาการขององค์กรนั้นจะมีคุณภาพที่ดีขึ้นตามไปด้วย โดยวัดจากจำนวนการอ้างอิงในงานวิชาการ ในทางกลับกันเมื่อไปศึกษาในมหาวิทยาลัยที่สลับผู้นำจากที่มีผลงานสูงกว่ามาตราฐานไปสู่ระดับต่ำกว่ามาตรฐาน ก็ยิ่งเห็นว่าคุณภาพของงานวิชาการได้รับผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ
งานศึกษาชิ้นนี้ของ Daron Acemoglu, Jie Zhou และ David Yang ทำให้เห็นถึงมิติความสัมพันธ์ทางอำนาจภายในวงวิชาการประเทศจีนระหว่างผู้บริหารและบุคลากร การโยกย้ายผู้บริหารและอำนาจของผู้บริหาร ล้วนส่งผลต่อความกังวลทางอาชีพของบุคลากรจนนำไปสู่การตีพิมพ์งานวิชาการเพื่อตอบโจทย์ผู้บริหารมากขึ้น และส่งผลต่อภาพรวมคุณภาพของงานวิชาการของประเทศจีน
ดังนั้น แม้รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี เห็นได้จากการลงทุนผ่านงบประมาณจำนวนมาก แต่ด้วยลักษณะการใช้อำนาจรวมศูนย์ภายในประเทศ ทั้งในองค์กรระดับประเทศ ไปจนถึงองค์กรในวงวิชาการ อาจส่งผลให้คุณภาพของงานวิจัยที่ออกมาไม่คุ้มค่ากับเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ลงทุนไปก็เป็นได้
↑1 |
อ้างอิงข้อมูลจากบทความ China’s Economy Is Rotting from the Head |
---|---|
↑2 | อ่านงานศึกษาฉบับเต็มได้ที่ https://conference.nber.org/conf_papers/f173785.pdf |