เป็นเวลาเกือบ 2 ปีเต็มแล้ว นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน ในห้วงเวลานี้รัฐบาลฏอลิบาน ซึ่งยึดอำนาจจากรัฐบาลเดิมได้นั้นทำหน้าที่เป็นรัฐบาลรักษาการในการบริหารประเทศ แน่นอนว่ารัฐบาลชุดนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ทั้งยังเผชิญกับแรงกดดันจากนานาชาติ จากการบังคับใช้นโยบายมากมายซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่งผลให้นับจนถึงเวลานี้ยังไม่มีรัฐบาลประเทศใดกล้ารับรองรัฐบาลฏอลิบานอย่างเป็นทางการ
อย่างไรตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศบนโลกจะเลิกติดต่อกับอัฟกานิสถาน หรืออัฟกานิสถานจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เพราะในความเป็นจริงแล้ว มีความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมมากมายผ่านองค์การระหว่างประเทศ และองค์การไม่แสวงหาผลกำไรข้ามชาติที่หลั่งไหลเข้าไปในอัฟกานิสถานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนชาวอัฟกานิสถาน ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลข่าวสารมากมายระบุชัดว่ามีรัฐบาลหลายชาติติดต่อกับรัฐบาลอัฟกานิสถานทั้งในทางลับ และเปิดเผย
ในจำนวนบรรดาประเทศเหล่านั้น ดูเหมือนจีนและปากีสถานจะเป็นชาติที่เดินหน้าพูดคุยและเจรจากับรัฐบาลฏอลิบานอย่างเปิดเผย แม้ทั้งสองประเทศจะไม่ได้ประกาศชัดว่ารับรองรัฐบาลฏอลิบานก็ตาม และเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ปากีสถานก็ได้เป็นเจ้าภาพจัดเวทีพูดคุยระดับรัฐมนตรีว่าการการต่างประเทศแบบสามฝ่ายระหว่างจีน ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน โดยการเจรจาครอบคลุมหลากหลายมิติตั้งแต่ความมั่นคง ไปจนถึงเศรษฐกิจ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า หรือนี่จะเป็นหมุดหมายสู่การรับรองรัฐบาลฏอลิบานในอนาคต
การก่อการร้าย: วาระสำคัญที่ต้องพูดคุยกับอัฟกานิสถาน
ปัญหาความไม่สงบและความวุ่นวายภายในอัฟกานิสถานนับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเริ่มสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของ นอกจากจะส่งผลให้อัฟกานิสถานขาดเสถียรภาพทางการเมืองแล้ว ในทางหนึ่งยังเปิดช่องให้บางพื้นที่ของอัฟกานิสถานกลายเป็นพื้นที่กบดานและรวบรวมกำลังของกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในประเทศอื่นด้วย ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ประเทศรอบข้างของอัฟกานิสถาน ซึ่งรวมถึงจีนและปากีสถานมีความกังวลอย่างยิ่งต่อความเป็นไปที่เกิดขึ้นภายในอัฟกานิสถาน
จีน ปากีสถาน และอัฟกานิสถานมีประวัติความร่วมมืออันยาวนานในการต่อสู้กับการก่อการร้าย โดยทั้งสามประเทศมีความสนใจร่วมกันในการป้องกันไม่ให้กลุ่มก่อการร้ายใช้ดินแดนของตนเพื่อโจมตีอีกฝ่ายหรือประเทศอื่นๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดจากขบวนการอิสลามแห่งเตอร์กิสถานตะวันออก (ETIM) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่พยายามจัดตั้งรัฐเอกราชในซินเจียง โดยจีนเชื่อว่า ETIM มีฐานอยู่ในอัฟกานิสถาน เช่นเดียวกับปากีสถานที่กังวลอย่างมากต่อการขยายอิทธิพลของกลุ่มก่อการร้ายในอัฟกานิสถานที่มีผลต่อเสถียรภาพภายในประเทศของตน
ดังนั้นในปี 2017 จีน ปากีสถาน และอัฟกานิสถานได้จัดตั้งกลไกการเจรจาไตรภาคีเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการต่อสู้กับการก่อการร้าย ทั้งสามประเทศได้จัดการเจรจาหลายรอบและได้ตกลงที่จะแบ่งปันข่าวกรอง ประสานงานด้านความมั่นคงชายแดน และปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินของผู้ก่อการร้ายร่วมกัน และในปี 2020 ทั้งสามประเทศได้จัดการฝึกซ้อมต่อต้านการก่อการร้ายไตรภาคีเป็นครั้งแรก การฝึกซ้อมได้รับการออกแบบมาเพื่อพัฒนาความสามารถของทั้งสามประเทศในการตอบสนองต่อการโจมตีของผู้ก่อการร้าย
ทั้งนี้ พัฒนาการความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายของทั้งสามประเทศมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อกลุ่มฏอลิบานสามารถยึดอำนาจและปกครองอัฟกานิสถานได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม ปี 2021 แม้กลุ่มตาลิบานได้ให้คำมั่นกับประชาคมระหว่างประเทศว่าจะไม่อนุญาตให้อัฟกานิสถานถูกใช้เป็นที่หลบภัยของกลุ่มก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลว่ากลุ่มฏอลิบานอาจไม่สามารถควบคุมพื้นที่ทั้งหมดในอัฟกานิสถานได้ อันจะกลายเป็นโอกาสให้กลุ่มก่อการร้ายใช้อัฟกานิสถานเป็นฐานในการเคลื่อนไหว
ความกังวลข้างต้นนี้ส่งผลให้ทั้งจีนและปากีสถานตัดสินใจที่จะมองข้ามประเด็นเกี่ยวกับสถานะของรัฐบาลฏอลิบาน และเลือกที่จะเดินหน้าประสานความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้ายกับอัฟกานิสถานต่อไป โดยในเดือนกันยายน 2021 ทั้งสามประเทศจัดประชุมไตรภาคีในกรุงอิสลามาบัดเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน และมีความตกลงที่จะร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้ายและทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคต่อไป
เพื่อที่จะให้การปราบปรามและต่อต้านการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานมีประสิทธิภาพนี้เอง เสถียรภาพของรัฐบาลฏอลิบานในการควบคุมอัฟกานิสถานก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน ฉะนั้นความช่วยเหลือมากมายทั้งจากจีน และปากีสถานจึงหลั่งไหลเข้าไปในอัฟกานิสถานในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งรวมไปถึงการขยายการค้าและการลงทุนในอัฟกานิสถานด้วย
ใครๆ ก็อยากครอบครองทรัพยากรหายากในอัฟกานิสถาน
จีนถือเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายสำคัญของอัฟกานิสถานนับตั้งแต่ก่อนฏอลิบานยึดครองอัฟกานิสถานได้ ที่สำคัญ จีนยังมีการลงทุนจำนวนมากในปากีสถาน โดยเฉพาะระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน ซึ่งจีนหมายมั่นปั้นมือว่าจะขยายกรอบความร่วมมือไปยังอัฟกานิสถานด้วย เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทั้งสามประเทศเข้าด้วยกัน อย่างไรตาม สถานการณ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีน ปากีสถาน และอัฟกานิสถานได้เปลี่ยนไปตั้งแต่กลุ่มฏอลิบานเข้าควบคุมอัฟกานิสถาน เพราะมันส่งผลให้การพูดคุยก่อนหน้านี้ต้องหยุดลงเป็นการชั่วคราว
แต่ดูเหมือนว่าความร่วมมือดังกล่าวจะหยุดชะงักอยู่ไม่นานนัก เพราะเมื่อความชัดเจนของอำนาจนำของรัฐบาลฏอลิบานเหนืออัฟกานิสถานมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งจีนและปากีสถานก็หันหน้ากลับมาเจราจากับฝ่ายรัฐบาลฏอลิบานอีกครั้ง ส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างความร่วมด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ในอีกด้านก็คือประเด็นทางเศรษฐกิจ เพราะอัฟกานิสถานถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมากทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ มีสินแร่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย และยังมีแหล่งพลังงานอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการสำรวจและขุดขึ้นมาใช้งาน
ในขณะเดียวกันอัฟกานิสถานยังเป็นสะพานเชื่อมภูมิภาคเอเชียอีกด้วย เพราะหากพิจารณาจากภูมิศาสตร์โลกแล้ว หากจีนต้องการเชื่อมโยงการค้าของตนเองไปยังภูมิภาคเอเชียกลางและเอเชียตะวันตก อัฟกานิสถานถือเป็นประตูบานสำคัญที่จะเปิดทางให้จีนเดินทางไปยังประเทศเหล่านั้นได้ เช่นเดียวกันกับการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างปากีสถานกับภูมิภาคเอเชียกลางและรัสเซีย อัฟกานิสถานก็ทำหน้าที่เป็นประตูสำคัญ ฉะนั้นด้วยภูมิศาสตร์ และความร่ำรวยทางทรัพยากรธรรมชาติ อัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของฏอลิบานยังคงถือเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจในการลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีน
เพราะในขณะที่หลายประเทศพยายามวางตัวนิ่งเฉยต่อการรับรองสถานะรัฐบาลฏอลิบาน รวมถึงเลือกไม่ยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาลชุดดังกล่าว ในทางตรงกันข้ามปรากฏข่าวสารมากมายเกี่ยวกับการขยายการลงทุนและให้ความช่วยเหลือจำนวนมากของรัฐบาลจีนต่อรัฐบาลอัฟกานิสถาน ยกตัวอย่างเช่นในช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมาอัฟกานิสถานและจีนลงนามข้อตกลงลงทุนสกัดน้ำมันจากแอ่ง Amu Darya ที่มีมูลค่ามากถึง 690 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาวกินเวลาร่วม 25 ปี นอกจากนี้ การประชุมร่วมกันสามฝ่ายระดับรัฐมนตรีต่างประเทศยังมีการพูดคุยเกี่ยวกับการขยายการลงทุนของระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถานมายังอัฟกานิสถานเพิ่มเติมอีกด้วย
ดังนั้นภายใต้สถานะที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากนานาชาติของรัฐบาลฏอลิบาน ดูเหมือนว่าทั้งจีนและปากีสถานต่างไม่ได้ใส่ใจต่อความเป็นไปดังกล่าว ในทางตรงกันข้าม ทั้งสองประเทศเลือกที่จะเปิดการเจรจาทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจอย่างเปิดเผยกับรัฐบาลฏอลิบาน เพราะทั้งสองชาติต่างก็รู้ดีว่าอัฟกานิสถานมีความสำคัญอย่างมากต่อความมั่นคงของตนเอง ในขณะเดียวกันทั้งสองประเทศก็รู้ดีว่าอัฟกานิสถานมีทรัพยากรธรรมชาติและภูมิศาสตร์เศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างมากต่อประเทศของตน
สัมพันธไมตรีสามฝ่าย กับโอกาสในการรับรองรัฐบาลฏอลิบาน
สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งเกี่ยวกับอัฟกานิสถานคือนับจนถึงเวลานี้ เป็นเวลาเกือบ 2 ปีเต็มที่ฏอลิบานสามารถยึดครองอัฟกานิสถานได้สำเร็จ แต่กลับยังไม่มีรัฐบาลของประเทศใดเลยรับรองสถานะของรัฐบาลฏอลิบานอย่างเป็นทางการ แม้กระทั่งจีนและปากีสถาน ทั้งที่สองประเทศนี้มีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลฏอลิบานอย่างต่อเนื่อง ดังปรากฏความร่วมมือมากมายทั้งทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจดังที่กล่าวไว้ข้างต้น และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสามฝ่ายมีการพบปะกันบ่อยครั้ง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของปากีสถานรับเป็นเจ้าภาพในการประชุมร่วมกันสามฝ่ายที่รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งจีน ปากีสถาน และอัฟกานิสถานเข้าร่วม ที่น่าสนใจคือ รักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศอัฟกานิสถาน อาเมียร์ คาน มุตตากี (Amir Khan Muttaqi) ผู้ซึ่งถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) สั่งห้ามเดินทาง กลับได้รับการยกเว้นให้ไปเยือนกรุงอิสลามาบัดในครั้งนี้ และยังได้พบปะพูดคุยกกับฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศจีนอีกด้วย ทั้งที่จีนก็เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ในการพูดคุยหารือ ทั้งสามประเทศเห็นพ้องกันที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดี กระชับความไว้วางใจทางการเมืองซึ่งกันและกัน เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน และจัดการกับความแตกต่างและข้อพิพาทอย่างเหมาะสมผ่านการปรึกษาหารือที่เท่าเทียมกัน ที่สำคัญ ในการประชุมครั้งนี้จีนและปากีสถานแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าต่อต้านการแทรกแซงกิจการภายในของอัฟกานิสถาน การคว่ำบาตรฝ่ายเดียวอย่างผิดกฎหมายต่ออัฟกานิสถาน และการกระทำที่บั่นทอนสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
โดยแถลงการณ์กระทรวงต่างประเทศของปากีสถานกล่าวว่า จีนและปากีสถานได้ “เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ประชาคมระหว่างประเทศจะต้องให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างต่อเนื่องแก่อัฟกานิสถาน ซึ่งรวมถึงการยกเลิกการระงับสินทรัพย์ทางการเงินในต่างประเทศของอัฟกานิสถาน”
เห็นได้ชัดว่าท่าทีของทั้งจีนและปากีสถานที่มีต่อรัฐบาลฏอลิบานมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และมีแนวโน้มปกป้องอัฟกานิสถานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการต่อต้านการคว่ำบาตรอัฟกานิสถานของสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินการผ่านการระงับการเข้าถึงทรัพย์สินของรัฐบาลอัฟกานิสถานในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้อัฟกานิสถานต้องเผชิญกับวิกฤตทางด้านมนุษยนธรรม
ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้นำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า หรือในอีกไม่นานนี้เราอาจได้เห็นการรับรองรัฐบาลฏอลิบานอย่างเป็นทางการจากบางชาติ ซึ่งจะยังผลให้สถานะของรัฐบาลฏอลิบานมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นในการปกครองอัฟกานิสถาน แน่นอนว่าในมุมหนึ่งคือความมีเสถียรภาพที่มากขึ้นในระดับภูมิภาค ในทางกลับกันความเป็นไปได้ดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียไปตลอดกาล และอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในภูมิภาคได้เช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นหากรัฐบาลฏอลิบานยังไม่สามารถยืนยันการรักษาสัญญาต่อการปฏิบัติใช้ประเด็นสิทธิมนุษยนชนได้ก่อนการรับรองสถานะดังกล่าว บางประเทศที่รับรองสถานะของรัฐบาลฏอลิบานอาจกลายเป็นประเทศที่มีส่วนร่วมต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอัฟกานิสถานด้วยเช่นกัน