ธิติ มีแต้ม, กานต์ธีรา ภูริวิกรัย เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
– 1 –
ขณะที่ไทยกำลังลองผิดลองถูกในการใช้กัญชาทางการแพทย์ หลังองค์การอาหารและยา (อย.) เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับผู้ป่วยที่แสดงความจำนงใช้กัญชา และมีการนิรโทษกรรมสำหรับผู้ครอบครองกัญชาไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่แคนาดานั้นใช้กัญชาทางการแพทย์มาตั้งแต่ปี 2001 แล้ว และ พ.ร.บ.กัญชา ฉบับใหม่ ก็เพิ่งผ่านไฟเขียวไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา
พูดง่ายๆ คือนอกจากใช้ทางการแพทย์ได้เป็นปกติอยู่แล้ว กฎหมายแคนาดาล่าสุดอนุญาตให้ประชาชนของเขาใช้เพื่อสันทนาการได้ด้วย แคนาดาเลยกลายเป็นประเทศที่ 2 ในโลกต่อจากอุรุกวัยที่ประชาชนเสพกัญชาได้อย่างสบายใจ (ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด)
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อกฎหมายกัญชาไฟเขียว การเพาะปลูกไปจนถึงการซื้อขายก็ทำให้ตลาดกัญชาแคนาดาโตวันโตคืน กระทั่งตลาดกัญชาในแคนาดากำลังใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก
ท่ามกลางการคลำทางในที่มืดของสังคมไทยว่าจะเอาอย่างไรกับนโยบายกัญชาดี ทรรศนะของ ดร.เจอร์เกน ไรห์ม นักวิทยาศาสตร์อาวุโส จาก ‘Institute for Mental Health Policy Research’ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่ทำการเก็บข้อมูลและวิจัยนโยบายกัญชาจนรัฐบาลแคนาดานำไปต่อยอด ก็นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง
อะไรคือเบื้องหลังของการเปิดไฟเขียวผ่านกฎหมายกัญชา และอะไรคือคำแนะนำที่เขาบอกกับชาวไทย
– 2 –
แคนาดาเป็นประเทศในกลุ่มรายได้สูงที่อนุญาตให้กัญชาอย่างถูกกฎหมาย เขาบอกว่าในสหรัฐฯ กัญชายังไม่ถูกกฎหมายทั้งหมด นี่เลยเป็นเหตุให้แคนาดาครอบครองตลาดอุตสาหกรรมกัญชาในระดับโลก ซึ่งมีผู้ใช้กัญชามากกว่า 30 ล้านคน
สัดส่วนผู้ใช้ที่มากขึ้นทำให้ตลาดธุรกิจกัญชาเติบโต และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ด็อกเตอร์ไรห์มชวนมองปรากฏการณ์ความนิยมกัญชาในตลาดว่าปัจจุบันที่เยอรมนีมีโรงปลูกกัญชาแล้ว แม้ไม่มีแสงอาทิตย์แต่พวกเขาก็ยังปลูก เพราะว่าพวกเขาต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด หรืออย่างที่อินเดียก็เพิ่งจะมีการใช้ทางการแพทย์มาได้ประมาณ 5 ปี ซึ่งคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า อินเดียก็จะสามารถเปิดเสรีกัญชาได้
“มีคนเป็นพันล้านคนที่พร้อมจะใช้กัญชา นี่เป็นโอกาสทอง ผมเพิ่งเช็คตลาดกัญชาในอินเทอร์เน็ต ทุกประเทศเริ่มมองหาช่องทางรวย หลายประเทศกำลังพยายามเข้าไปมีส่วนแบ่งทางการตลาดนี้” ด็อกเตอร์ไรห์ม ระบุ
– 3 –
“อะไรคือคำถามสำคัญสำหรับการใช้กัญชาทางการแพทย์”
“ใครเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายหรือไม่จ่ายกัญชาให้ประชาชนที่จำเป็นต้องใช้”
“กฎหมายของคุณคืออะไร”
โจทย์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำถามหลายร้อยคำถาม ที่นักวิทยาศาสตร์อาวุโสผู้นี้ได้ยกขึ้นมาแลกเปลี่ยนกับบุคลากรที่ต้องเกี่ยวข้องกับการออกนโยบายด้านกัญชา เขาบอกว่าสิ่งที่จำเป็นคือการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อการวิจัย และให้ความรู้กับสาธารณะ และเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง
เขาเปรียบเทียบการดีเบตเรื่องการเริ่มเปิดให้ใช้กัญชาทางการแพทย์กับกรณีแอลกอฮอล์อย่างติดตลกว่า “ตอนนี้เรารู้กันว่าแอลกอฮอล์ถูกกฎหมาย ถ้าคุณดื่มมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ทำไมพวกเราถึงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลองกัญชาล่ะ”
– 4 –
หนึ่งในประสบการณ์ที่ชาวแคนาเดียนจดจำและถือเป็นบทเรียนคลาสสิคเมื่อกัญชาถูกไฮไลท์ขึ้นมาเป็นสิ่งที่ควรถูกกฎหมายคือเรื่อง ‘สิทธิ’
‘สิทธิ’ สั้นๆ คำเดียวที่ด็อกเตอร์ไรห์มอธิบายเพิ่มต่อว่าแคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ของโลกที่มีการใช้กัญชาในทางการแพทย์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่ใช้เพราะมันถูกกฎหมาย ผู้ป่วยต้องการสิ่งนี้ แต่คนอื่นๆ ที่ต้องการใช้ก็จะไปที่ศาล เพื่อให้ศาลรับประกันสิทธิในการใช้กัญชาของพวกเขา และพวกเขาก็ชนะ
“แม้ก่อนหน้านี้รัฐบาลจะบอกว่าไม่ต้องการเปิดเสรีกัญชา แต่ศาลจะบอกว่าการปฏิเสธสิทธิของประชาชนเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลต้องเปิดเสรี นี่คือเหตุผลที่เราเริ่มจากการใช้กัญชาทางการแพทย์”
ด็อกเตอร์ไรห์มเล่าว่า ที่ผ่านมาในแคนาดามีการประท้วงหลายพันครั้ง ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมายของแต่ละรัฐ แต่สุดท้ายปัญหาดังกล่าวก็คลี่คลายลงไป เมื่อศาลสูงแคนาดาบอกว่าต่อจากนี้ไปต้องไม่มีปัญหาลักลั่น
– 5 –
ฟังดูเหมือนง่ายดาย แต่เอาเข้าจริงด็อกเตอร์ไรห์มบอกว่า ประเด็นสำคัญเมื่อเปิดให้มีการใช้กัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย ระบบตรวจสอบและติดตามต้องมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะกรณีการจราจรบนท้องถนนที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราต่างรู้ว่าถ้าใช้กัญชาเมื่อไหร่ ต้องห้ามไปเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องจักรหรือการขับรถในช่วงเวลา 6 ชั่วโมงหลังการใช้กัญชา จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ 6 ชั่วโมงคือระยะเวลาที่ปลอดภัย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมเรื่องพวกนี้ได้แบบเดียวกับที่ควบคุมเรื่องแอลกอฮอล์บนท้องถนน แต่ปัญหาที่เขาพบเจอคือ คนส่วนใหญ่ที่สูบกัญชายังไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถควบคุมเครื่องจักรได้
“เหมือนความเชื่อในการดื่มแอลกอฮอล์เมื่อก่อน คุณเชื่อว่าดื่มก็สามารถขับได้ แต่วันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่ามันทำให้ความสามารถในการขับขี่น้อยลง”
กัญชาก็เช่นเดียวกัน ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ช้าลงโดยเฉลี่ย ด็อกเตอร์ไรห์มบอกว่า ปฏิกิริยาตอบกลับทางร่างกายของผู้ใช้กัญชาจะช้าลงในกรณีที่เจอสถานการณ์ที่ไม่อาจจัดการได้
“จากการศึกษาวิจัย เราพบว่าคนใช้กัญชาและขับรถ จะเพิ่มอัตราการเกิดอุบัติเหตุเป็นสองเท่า ซึ่งมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการที่คุณใช้กัญชาตอนอยู่บนเตียงนอน ซึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างมากคุณอาจนอนตกเตียง (หัวเราะ) การวิจัยเราให้คนลองใช้โปรแกรมขับรถจำลอง เปรียบเทียบระหว่างคนที่สูบและไม่สูบกัญชา เราพบว่าเวลาคุณเห็นรถกำลังแล่นมาหาคุณแบบเร็วมากๆ ถ้าไม่ได้สูบกัญชาคุณจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเฉลี่ยภายใน 0.5 วินาที แต่ถ้าคุณสูบคุณจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเฉลี่ย 8 วินาที
ด็อกเตอร์ไรห์มย้ำว่า เราต้องแยกการใช้กัญชาจากการใช้เครื่องจักรทุกชนิด โดยเฉพาะถ้าคนๆ นั้นเป็นคนขับรถ ขับเครื่องบิน ขับเรือ เพราะเมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของการจราจร ก็ต้องระลึกไว้ว่าเรามีส่วนรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นด้วย
– 6 –
อีกประเด็นที่เราชวนด็อกเตอร์ไรห์มกลับไปครุ่นคิดและให้ช่วยอธิบายคือ ในกรณีการใช้กัญชาในประเทศไทย ก่อนหน้าที่จะมีการปรับแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติด พ.ศ.2522 ให้คนใช้ในทางการแพทย์และการวิจัยได้นั้น ผู้ป่วยที่เป็นเด็กจำนวนมากโดยเฉพาะการป่วยไข้จากโรคสมองพิการ โรคลมชัก ได้รับการใช้น้ำมันกัญชาจากผู้ปกครองที่รับมาจากการผลิตแบบผิดกฎหมาย เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้หมดหวังในการใช้ยาแผนปัจจุบัน และน้ำมันกัญชาเป็นความหวังสุดท้ายที่พวกเขาเชื่อ เพราะว่ามันได้ผลทันตาเห็น ลูกๆ ของพวกเขาอาการดีขึ้น
ขณะเดียวกัน พ่อแม่ของพวกเขากลับได้รับถ้อยคำดูหมิ่นจากสังคมทำนองว่า “ทำไมทำแบบนี้กับลูก ทำไมถึงใช้ยาเสพติดกับลูก คุณเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง”
คำถามคือเมื่อกัญชาถูกพิสูจน์ว่าใช้ในทางการแพทย์ได้ผล คำดูหมิ่นเหล่านั้นก็อันตรธานไป แต่ภาวะที่สังคมส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ และในทางกฎหมายก็ยังก้ำกึ่งไม่ชัดเจน เราควรรับผิดชอบกับสิ่งที่ครอบครัวผู้ป่วยต้องแบกรับความไม่เข้าใจนี้อย่างไร
“เรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น” ด็อกเตอร์ไรห์มตอบทันที
เขาบอกว่าเรื่องการตีตราบาปเป็นปัญหาเสมอ พฤติกรรมเช่นนี้ควรถูกยับยั้ง
“ในแคนาดา ปัจจุบันพวกเราไม่มีปัญหาเรื่องการตีตราบาปอีกต่อไป ก่อนหน้านี้ช่วงที่เราอยู่ในขั้นเริ่มต้นการใช้ทางการแพทย์ เราก็พบปัญหาการตีตราบาปเช่นเดียวกัน นี่เป็นปัญหาในการสร้างวาทกรรมของสื่อ”
สิ่งที่ถูกต้องสำหรับด็อกเตอร์ไรห์มที่เขาอธิบาย คือการรักษาคนด้วยกัญชานั้นไม่ใช่เพียงเรื่องของสาธารณสุข แต่เป็นเรื่องทางสังคม เราต้องเลี่ยงทั้งการตีตราและการทำให้กัญชากลายเป็นสิ่งชั่วร้าย เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเหมือนภาพยนตร์
“ผมคิดว่าสื่อมีบทบาทสำคัญมากที่จะสู้กับการตีตรานี้ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่กัญชาถูกเยินยอว่าเป็นยาวิเศษที่ใช้ทำอะไรกับใครก็ได้ เราเจอการสร้างวาทกรรมจากสื่อตั้งแต่กัญชาเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดและกัญชาเป็นยาวิเศษ”
– 7 –
เมื่อประเทศไทยกำลังจะมีรัฐบาลใหม่ ด็อกเตอร์ไรห์มให้คำแนะนำเมื่อเขารู้ว่านโยบายเกี่ยวกับกัญชาของไทยกำลังได้รับความสำคัญอย่างสูงว่ารัฐบาลจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 9 เดือน เพื่อเก็บรวบรวมงานวิจัยที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ในแคนาดาใช้เวลาราว 1 ปี ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่จะทำให้มันถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ด็อกเตอร์ไรห์มบอกว่ามันเป็นเพียงการเริ่มต้น เหมือนการเดินทางร้อยเมตร และตอนนี้เราก็เดินไปได้สิบเมตรแล้ว
“ผมมีเรื่องที่อยากให้คำนึง คือ ข้อแรก การจะผลิตกัญชาทางการแพทย์สำหรับตลาดการแพทย์ ควรผลิตจำนวนน้อยก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหา และข้อสุดท้าย ถ้าคุณอยากจะเป็นผู้เล่นในระดับนานาชาติ คุณต้องคิดถึงการเป็นผู้ประกอบการด้วย ผมคิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันในไทยตอนนี้ คือการหารูปแบบการใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อที่จะแก้กฎหมายปัจจุบันที่ยังเป็นปัญหา นี่เป็นอย่างแรกที่คุณต้องทำ ไม่ใช่คาดหวังว่าจะเป็นผู้เล่นระดับนานาชาติ” ด็อกเตอร์ไรห์ม ทิ้งท้าย
หมายเหตุ – เก็บความจากการบรรยาย หัวข้อ ‘บทเรียนการจัดการนโยบายจากประเทศแคนาดา และข้อเสนอเพื่อป้องกันผลกระทบประเทศไทย’ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2562 จัดโดยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ