fbpx

บัณฑิต อาร์ณีญาญ์ สามัญจริตในประเทศวิกล

‘กึ่งบ้ากึ่งอัจฉริยะ’ คือฉายาของเขา นักเขียนและนักแปลผู้พ้นจากคดี 112 ทั้งสิ้น 4 คดี

ในวัย 80 ปี บัณฑิต อาร์ณีญาญ์ ยังไปร่วมม็อบอย่างสม่ำเสมอพร้อมหอบหิ้วหนังสือของตัวเองและเสื้อ-กระเป๋าสกรีนคำว่า “ความเป็นธรรมย่อมอยู่เหนือทุกสถาบัน” ไปวางขาย นั่นคือข้อความที่เขาเคยเสนอว่าควรบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และเป็นหนึ่งในข้อความที่ถูกหยิบยกไปฟ้อง 112 ก่อนศาลจะยกฟ้องในที่สุด

เรานัดคุยกันที่ห้องพักของเขาย่านหนองแขม ในบ่ายวันหนึ่งที่แดดร้อนจัด แต่ก็ยังร้อนน้อยกว่าอุณหภูมิการเมืองที่สังคมพูดถึงการยกเลิกมาตรา 112 และการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อย่างอื้ออึง

หลังเดินมาต้อนรับผู้มาเยือน เขาขอพูดคุยในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเพราะโรคความดัน สุขภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยไม่อาจฉุดรั้งให้เขาหยุดร่วมกิจกรรมการเมืองได้ กระทั่งกับโรคมะเร็งที่เขารอดชีวิตมาด้วยการผ่าไตหนึ่งข้างและกระเพาะปัสสาวะออก พร้อมแขวนถุงปัสสาวะติดตัวตลอดเวลา

บัณฑิตมีผลงานแปลหลายเล่ม นักเขียนที่เขาหยิบมาแปลมากสุดคือนิยายของ บี. ทราเวน บัณฑิตมีผลงานเขียนของตัวเอง เช่น ความฝันภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่เขียนจากชีวิตของเขาเอง

จือเซง แซ่โค้ว คือชื่อแต่กำเนิดของเขา ก่อนจะเลือกนามปากกา สมอลล์ บัณฑิต อานียา ด้วยเห็นว่าเมืองไทยคับคั่งไปด้วย ‘บิ๊ก’ ที่มีเหรียญตราติดหน้าอกมากมาย เขาเลือกจึงติดยศตัวเองเป็น ‘สมอลล์’ และภายหลังเปลี่ยนวิธีสะกดชื่อเป็น บัณฑิต อาร์ณีญาญ์ เพราะเชื่อว่า ย.ยักษ์ มีความหมายถึงการสูบเลือดคนไทย

บัณฑิตเคยรอดพ้นจาก 112 ด้วยเหตุผลว่าป่วยเป็นโรคจิตเภท ครั้งหนึ่งสิ่งที่เขาพูดเคยถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ แต่ในวันนี้ที่สังคมการเมืองไทยขยับเพดาน หลายเรื่องที่เขาพูดกลายเป็นถ้อยคำทั่วไปที่คนจำนวนมากพร้อมสนับสนุน เช่น การพูดว่ามนุษย์มีความเท่าเทียมกัน, กระบวนการยุติธรรมไม่ควรเชิดชูบางบุคคลให้อยู่เหนือกฎหมาย, ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของคนไทยต้องอยู่สูงกว่าฝุ่นละออง

หากการพูดเรื่องเหล่านี้กลายเป็นความผิด ก็สมควรที่จะตั้งคำถามว่า ‘ความวิกล’ นั้นเกิดขึ้นกับผู้พูดหรือแท้จริงแล้วเป็นสังคมนั่นเองที่วิกล

 

คุณเริ่มต้นการเป็นนักเขียนได้ยังไง เริ่มสนใจการอ่านการเขียนตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมมาจากเมืองจีน มาอยู่โคราชตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ผมคิดหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 10 กว่าๆ แล้วหนีออกจากบ้านตอนอายุ 15 ปี เพราะเห็นความทารุณของชีวิต เตี่ยตีแม่ด้วยไม้ขัดหม้อข้าว เอาแม่ไปข่มขืน พอท้องก็ตีจนดิ้นแล้วไปปล่อยโรงพยาบาลโรคจิต แล้วก็ตายอย่างอนาถา

แม่เลี้ยงใช้ผมทำงานแบกโต๊ะตู้เตียง กินอยู่อดอยาก แกล้งให้แม่ผมไปไกวเปลให้ลูกมัน นี่คือความอาฆาตที่ฝังอยู่ ตอนอายุ 15 ผมคิดถึงแม่ จึงหนีออกไปเพื่อตามหาแม่ พอไปหางานทำ คนเขามาถามเลยจับผมบวชเณร ตอนบวชเณรทำให้ผมได้อ่านหนังสือ เรียนหนังสือบ้าง เรียนธรรมะบ้าง ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง ชีวิต เป็นนวนิยายของฝรั่งเศสแปลโดย ม.จ.จันทร์เจริญ รัชนี ทำให้ผมตั้งใจเป็นนักเขียน

ผมเป็นคนใฝ่ความรู้ หาหนังสืออ่านเองตอนเป็นสามเณร อยู่วัดไหนแล้วโดนเพ่งเล็งก็ย้ายวัด ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาอยู่ที่วัดมหาธาตุในปี 2503 เขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ บนท้องถนนแห่งชีวิต ได้ลงในนิตยสารแสนสุข ดีใจมากได้เงิน 80 บาท

ทักษะการแปลภาษาอังกฤษฝึกหัดจากไหน

สมัยก่อนมีการนำหนังสือนวนิยายชื่อเสียงโด่งดังมาทำเป็นเรื่องสั้นภาษาอังกฤษที่อ่านง่าย จะมีคำศัพท์ 1,000 – 1,500 – 2,500 – 5,000 คำ ผมเริ่มต้นแปลจากหนังสือเหล่านี้แล้วก็มาแปลนวนิยาย ผมไม่มีปัญญาหาเงินไปเรียน ก็เรียนด้วยตัวเองตลอด

ผมแปลงานของ บี. ทราเวน (บรูโน ทราเวน) เขาเป็นนักเขียนที่ผมชอบมาก เสียดสีลึก เรื่องก็โดดเด่นและเข้าใจง่าย เป็นเรื่องการต่อสู้ของคนลำบากยากไร้ ซึ่งมันกินใจ อ่านแล้วประทับใจ ใช้ภาษาง่าย แปลง่าย ผมแปลของเขาหลายเล่ม เช่น ดวงใจแม่ แปลจาก The Bridge in the Jungle แล้วก็มีนายพลนักล้วง ทหารนิรนาม และเรื่องสั้นเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง

ช่วงบวชส่งผลต่อชีวิตไหม

ทำให้ผมได้เรียนธรรมะ เข้าใจความเป็นไปของชีวิต เมื่อมีปัญหาผมก็ใช้คำสอนของพระพุทธองค์แก้ปัญหา ซึ่งช่วยลดความทุกข์ของมนุษย์ลงได้ในชีวิตจริง ถ้าไม่ได้เรียนธรรมะผมอาจจะฟุ้งซ่าน เป็นบ้า เป็นโรคจิต คลุ้มคลั่งไปแล้ว

ตอนบวชเณรผมไม่ได้เรียน ผมไปห้องสมุดอ่านหนังสือ อยากจะเป็นนักเขียนอย่างเดียว ในที่สุดก็สึก ผมอาศัยวัดมาตลอดจนกระทั่งมีครอบครัว เมียผมเป็นคนมอญ ทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวมาตลอด ผมอยู่กับเขา 20 ปี พอลูกกำลังจะเรียนจบผมจึงออกมาอยู่คนเดียว ตอนนี้ลูกอยู่กับเขาสองคน

ผมเขียนเรื่องชีวิตตัวเองไว้ในหนังสือ ความฝันภายใต้ดวงอาทิตย์ เป็นนวนิยายที่เป็นเรื่องจริง ผมเคยไปกางมุ้งนอนหน้าสถานทูตรัสเซีย ตอนนั้นผมไม่อยากอยู่ไทย ผมบอกว่า “It is better to die in Moscow than to stay in Thailand.” ตำรวจบอกว่าผมเป็นบ้า เขียนข้อความที่คนอ่านไม่ได้ ผมบอกมึงอ่านไม่ออกเอง เขาจับผมส่งโรงพยาบาลโรคจิตแล้วจะช็อตไฟฟ้า การช็อตไฟฟ้าคือการล้างสมอง ทำให้สมองว่างเปล่า เขาจะเอาไม้พันผ้าก๊อซยัดปากเพื่อไม่ให้กัดลิ้น เขาบีบจมูกให้ผมอ้าปาก ผมไม่อ้า ผมเอาแก้วแทงขาตัวเองเพื่อไม่ให้เขาช็อต เลือดออกเยอะผมก็ดิ้นใหญ่เลยช็อตไม่ได้ 2-3 วันผ่านไปเขาจับผมมัดเตียงจะช็อตไฟฟ้าให้ได้ ยังดีที่เอาตัวรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

 

คิดว่าชีวิตวัยเด็กส่งผลต่อตัวเองแค่ไหน

ชีวิตที่อยู่กับเตี่ยและแม่เลี้ยงทำให้ได้เห็นความทารุณของชีวิตตั้งแต่วัยเด็กและได้เผชิญกับความทารุณของชีวิตด้วยตนเอง ตอนอยู่บ้านที่โคราช ผมได้กินอาหารไม่อิ่ม ทำงานหนักเกินกำลัง แม่เลี้ยงแกล้งผมทุกอย่างแล้วก็ตีแม่ผม ผมเห็นความอยุติธรรมในครอบครัว พอเห็นความอยุติธรรมนอกบ้านก็เลยมีความคิดอย่างที่เป็นอยู่

 

 

คิดอย่างไรเวลาคนหาว่าเป็นบ้า

เขาพูดไปเพราะมีอคติหรือประสงค์ร้าย คนที่มีสติสัมปชัญญะที่ดีและมีจิตใจงดงามจะเข้าใจว่าผมไม่ได้เป็นโรคจิต ผมเป็นคนมีสุขภาพจิตดีกว่าปกติด้วยซ้ำ เพราะสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ ซึ่งคนปกติทั้งหลายถ้ามาเจออย่างผมก็เชื่อว่าแก้ได้ยาก ถ้าคุณไม่ได้บ้าแต่ถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้าคุณจะทำยังไง คุณดูหนังเรื่อง บ้าก็บ้าวะ ไหม (One Flew Over the Cuckoo’s Nest) เรื่องนั้นคนไม่บ้าถูกส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า นั่นเป็นแบบของฝรั่ง แต่เหตุการณ์ของผมเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2508 หนังเรื่องนั้นมาทีหลังผม ชีวิตคนมันก็มีอะไรคล้ายๆ กัน อย่างคุณทิวากร วิถีตน เขาไม่บ้าแต่จับส่งโรงพยาบาลบ้า มันไม่ถูกต้อง

 

เคยถูกกล่าวหาคดี 112 ทั้งหมดกี่คดี

ทั้งหมดมี 4 คดี คดีที่ 1 ปี 2518 ผมพิมพ์หนังสือ ‘ดาวแดง’ หน้าปกมีข้อความว่า “จักรพรรดิปีศาจสามแสนล้าน เสวยเพชรพลอยและเมล็ดทองคำเป็นอาหาร ส่วนประชาชนต้องกินน้ำเลือดน้ำหนองของแผ่นดิน” ข้างในมีจดหมายเปิดผนึกถึงจักรพรรดิ ผมเปรียบเทียบว่ารองเท้าผมราคา 150 บาท มีค่ามากกว่ามงกุฎของพระเจ้าจักรพรรดิที่เขาหวงแหน แล้วเขาไปฟ้องว่าหนังสือหมิ่นกษัตริย์ทั้งเล่ม อธิบดีกรมตำรวจสั่งเก็บหนังสือ ตำรวจมาค้นแล้วยึดหนังสือไปหมด แต่ผมชี้แจงได้หมด ตำรวจไม่รู้จะทำยังไง จะปล่อยไปเฉยๆ ก็ไม่ได้ เลยส่งผมไปให้หมอลงความเห็นว่าเป็นโรคจิต หมอถามผมว่าจะให้หมอลงความเห็นว่าผมเป็นโรคจิตหรือไม่เป็นโรคจิต ผมตอบว่ามันเป็นหน้าที่ของคุณ ไม่ใช่หน้าที่ผม ในที่สุดหมอก็ลงความเห็นว่าผมเป็นโรคจิต แล้วตำรวจก็ปล่อย ตอนนั้นลูกสาวคนแรกของผมเพิ่งเกิด คนโดน 112 ยังไม่เยอะ

คดีที่ 2 ปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญกับ กกต. จัดงานเสวนาแล้วผมไปแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องศาล คดีนี้ผมถูกจับเข้าคุก 98 วัน รวมทั้งที่โรงพักด้วย 7 ผลัด ศาลชั้นต้นตัดสินให้จำคุกแต่ภาคทัณฑ์ไว้ เพราะเขาให้โรงพยาบาลลงความเห็นว่าเป็นโรคจิต ศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก ศาลฎีกาให้จำคุก แต่ให้รอลงอาญา คดีนี้ ดร.ปีเตอร์ โคเรทประกันตัวให้ผมในศาลชั้นต้นและศาลชั้นอุทธรณ์ เขาเป็นนักวิชาการที่เขียนเรื่องนรินทร์กลึงเป็นภาษาอังกฤษและกำลังจะเขียนเรื่องผมพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ แต่เสียชีวิตเสียก่อน

คดีที่ 3 ปี 2557 ผมไปแสดงความเห็นในงานเสวนาพรรคนวัตกรรม ผมบอกว่าปัจจุบันนี้สังคมไทย คนไทยแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนิยมระบอบกษัตริย์ ที่กษัตริย์มีอำนาจอยู่ในกฎหมายเป็นประมุขแห่งรัฐ พูดแค่นี้ตำรวจกับทหารก็มาจับผมเลย เอาไปขัง 2 คืนที่โรงพักสุทธิสารแล้วมาค้นห้องผม ก่อนเกิดเหตุการณ์นี้มีคนไม่รู้จักส่งหนังสือให้ผมเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่ผิดทั้งหมดเลย อ่านจบผมก็โยนทิ้งไป เขาคงหวังว่าจะค้นเจอหนังสือเล่มนั้น แต่ไม่เจอ คดีนี้ศาลยกฟ้อง

คดีที่ 4 ปี 2558 ขบวนการประชาธิปไตยใหม่จัดเสวนาเรื่องรัฐธรรมนูญที่ธรรมศาสตร์ ผมแสดงความคิดเห็นโดยนำข้อเสนอเรื่องรัฐธรรมนูญตอนทำประชาพิจารณ์ปี 2540 มาพูดซ้ำ หนึ่งข้อในนั้นที่เขาเอามาฟ้องคือ “ให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าคุณค่าแห่งความเป็นคนและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของคนไทยทั้งแผ่นดินจะต้องอยู่สูงกว่าฝุ่นละอองที่ติดอยู่ที่เท้าของคนบางคน” คดีนี้ศาลยกฟ้องไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินมัวหมองแล้ว

 

พอโดน 112 หลายคดี ทำให้ต้องระมัดระวังเวลาพูดมากขึ้นไหม

ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินไทยและคนไทย เป็นความถูกต้อง ผมจึงไม่ระวัง ผมพูดไปโดยธรรมชาติเหมือนที่คุณมาสัมภาษณ์ผมนี้

เรามีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พร้อม เราพูดสิ่งที่ถูกต้อง ต้องบอกไอ้พวกนั้นว่าอย่ามาแว้งกัดผม ผู้เป็นคนบริสุทธิ์ ต้องพูดอย่างนั้น ไม่ใช่มาบอกให้ผมระวัง สังคมมันไม่มีความเป็นธรรมเราก็ต่อสู้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ผมไม่ได้ผิด ผมสู้มาทั้งชีวิต

ตอนนี้ผมขอพักเหนื่อยก่อนเพราะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไปไหนก็เหนื่อย ขอดูรุ่นลูกรุ่นหลานสู้แล้วคอยแนะนำได้ ผมเป็นปู่ของนักต่อสู้ตอนนี้ได้เลยนะ ผมอายุ 80 ปีแล้วและจะอยู่ให้ถึง 121 ปีให้ได้

 

ตั้งแต่โดน 112 มา สร้างผลกระทบอะไรต่อชีวิตยังไงบ้าง

ทำให้ผมหงุดหงิด เสียเงินค่ารถ เสียดายเงิน เสียความรู้สึก และครอบครัวผมก็ปวดร้าวใจ ต้องแยกกันอยู่ ลูกผมจบนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ตอนเกิดคดีที่ 2 ลูกกำลังจะจบเนติบัณฑิตและจะสอบผู้พิพากษา พอเกิดคดีเขาก็เลยไม่สอบ เขารู้ว่าไม่มีทางได้  เราตรอมใจกันทั้งบ้าน ผมเสียใจที่ทำให้ลูกพลาดโอกาสเป็นผู้พิพากษา ไม่งั้นจะมีผู้พิพากษาที่ดีคนหนึ่งในแผ่นดินนี้ ผมจะสอนเขาว่าอย่ารับสินบน อย่าตัดสินคดีอย่างอคติ

ในครอบครัวเคยคุยกันถึงเรื่องนี้ไหม

ไม่คุย ผมแยกออกมาจากบ้านแล้วก็ไม่ติดต่อเลย ผมไม่อยากให้ทางบ้านเดือดร้อนก็ไม่ยุ่งกัน ผมอยู่คนเดียวมา 20 ปี เขากลัวที่จะติดต่อกับผม ลูกผมโทรคุยแค่คำสองคำทางโทรศัพท์แล้วก็วาง

 

ขึ้นศาลครั้งไหนรู้สึกกังวลที่สุด

ครั้งล่าสุด เหตุผลที่กังวลเพราะก่อนหน้านี้เขาตัดสินคุณอัญชัญ ปรีเลิศติดคุกตั้ง 87 ปี ผมก็รู้สึกว่าผมอาจจะเจอสัก 20-30 ปี กรณีคุณอัญชัญผมรู้สึกสะเทือนใจ คดีฆาตกรรมยังลงโทษน้อยกว่านี้ แล้วคุณบรรพตที่เป็นต้นเหตุยังออกมาจากคุกแล้วเลย แล้วอันนี้เป็นปลายเหตุ มันไม่มีความยุติธรรม

ตอนนี้สังคมมีการหยิบยกเรื่องมาตรา 112 ขึ้นมา บ้างก็ว่าให้ลดโทษเหลือเท่าคดีหมิ่นประมาท บ้างก็ว่าให้ยกเลิกไปเลย คุณคิดเห็นอย่างไร

ถ้าไม่ยกเลิกก็เอาให้เท่าคดีหมิ่นประมาททั่วไป ความจริงผมต้องการให้ยกเลิก จะพูดมากกว่านี้ก็ไม่ได้เดี๋ยวก็เจออีก (หัวเราะ)

มาตรา 112 โทษมันโหดร้ายเกินไป ผิดวิสัยมนุษย์ที่จะลงโทษคนที่พูดไม่ถูกใจแล้วจะเอาเข้าคุกตั้ง 3 ปี 15 ปี หลายสิบปี ผู้ปกครองเขามองเมืองไทยเป็นเหมือนเหยื่อ เป็นเหมือนทาสที่จะทำอย่างไรก็ได้ ซึ่งมันไม่ถูก

เราไม่มีอำนาจที่จะต่อรอง เราพูดในสิ่งที่ถูก แต่เขาเห็นว่าผิด มีอำนาจเหนือเรา ก็เอาเราเข้าคุกได้ คนบริสุทธิ์ถูกเอาเข้าคุกเยอะแยะไป ถูกตัดสินจำคุก ถูกฆ่าตายก็เยอะแยะไป อย่างคดี ร.8 กรณีมหาดเล็กสามคนซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ถูกฆ่าไป

คุณชอบพูดถึงการสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม ตอนนี้อะไรเป็นอุปสรรคที่ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้

ผู้ปกครองมองเห็นว่าประชาชนต่ำต้อย เป็นเหมือนทาส เหมือนสัตว์เลี้ยง เขาจะทำยังไงก็ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสร้างความเท่าเทียมให้มีความเป็นมนุษย์เท่ากัน คุณค่าแห่งความเป็นคนและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของคนไทยทั้งแผ่นดินจะต้องอยู่สูงกว่าฝุ่นละอองที่ติดอยู่ที่เท้าของคนบางคน ถ้าเท่าเทียมกันไม่ได้ อย่างน้อยก็อย่าให้ต่ำต้อยถึงขนาดนั้น

 

เป้าหมายในการเป็นนักเขียนและนักแปลของคุณคืออะไร

ผมไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อเงิน ไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อชื่อเสียง ไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อให้คนมายกย่องผม แต่ผมเขียนหนังสือเพื่อบอกความจริงอีกด้านหนึ่งของสังคมมนุษย์ว่ามันมืดดำโหดร้าย มันต้องแก้ไขภายในครอบครัวก่อนแล้วก็สังคม

งานเขียนเป็นแนวรบด้านหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม ในหลายประเทศก็มีนักเขียนนักคิดเป็นต้นความคิด สมัยก่อนเขาบอกว่าปากกาคมกว่าดาบ เพราะนักเขียนเสนอความคิดออกมา อย่างคาร์ล มาร์กซ์ เขียน Das Kapital ออกมาก็ทำโลกสะเทือนได้ แต่ตอนนี้เฟซบุ๊กคมกว่าดาบแล้ว (หัวเราะ)

ถึงตอนนี้ยังมีความหวังกับการเปลี่ยนแปลงไหม

มี ตราบใดที่ผมยังอยู่ ถ้าผมตายแล้วผมอาจจะหมดหวังก็ได้ ผมยังสู้เป็น พูดเป็น คิดเป็น ถ้าอธิบายให้เป็นและแสดงออกให้เป็น ระบอบการปกครองที่เลวก็อยู่ไม่ได้

มันเป็นไปได้ยากแต่ก็เป็นไปได้ เพราะสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะใช้ความโหดร้ายปกครองอยู่ได้ไม่นาน ความถูกต้องเท่านั้นที่ต้องชนะทุกสิ่ง ความเป็นธรรมต้องชนะทุกบุคคลทุกสถาบัน

คนอีกฝั่งอาจตั้งคำถามได้ว่า คุณรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่คิดและเชื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ผมเชื่อว่าความเป็นธรรมย่อมอยู่เหนือทุกสถาบัน นั่นเป็นความถูกต้อง ถ้าเขาจะเอาบุคคลหนึ่งบุคคลใด สถาบันใดมาอยู่เหนือความเป็นธรรม บ้านเมืองก็จะไม่มีสันติสุข ความเป็นธรรมก็ไม่มี เหมือนนายทาสปกครองทาสตามอำเภอใจ ซึ่งมันไม่ถูก นี่ไม่ใช่ยุคทาส ถ้าเป็นยุคก่อนผมพูดคำนี้ก็ติดคุกตายในคุกแล้ว แต่ในยุคนี้ต้องพูดได้ เพราะบางอย่างกาลเวลาจะคลี่คลาย

ถ้าคุณเห็นว่าไม่ถูกต้อง มีบุคคลใด มีสถาบันใดที่ควรจะอยู่เหนือความเป็นธรรม คุณก็พูดมาสิ ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็ชี้แจงมา แม้กระทั่งพระเจ้าก็ต้องอยู่ใต้ความเป็นธรรม ถ้าพระเจ้าอยู่เหนือความเป็นธรรมก็สร้างความฉิบหาย ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์คนหนึ่งถามพระพุทธองค์ว่า ตั้งแต่คนขอทาน คนรวย คนยากจน หรือพระเจ้าแผ่นดินก็กราบไหว้พระพุทธองค์ แล้วพระพุทธองค์กราบไหว้ใคร แล้วพระพุทธองค์ตอบว่าพระองค์กราบไหว้ธรรมะ

โดนคนมาต่อว่าในเฟซบุ๊กบ้างไหม

มีคนมาด่าคำหยาบ 3-4 คน ผมไม่โต้ตอบไม่สนใจ เราพูดในสิ่งที่มีสาระมีประโยชน์ คนจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่เป็นไร

แล้วถ้าเขาบอกว่าสิ่งที่คุณพูดมันไปทำร้ายจิตใจเขา เพราะเขามีความเชื่อความศรัทธาในสิ่งนั้นล่ะ

คุณมีสิทธิ์เชื่อได้ แต่ผมมีสิทธิ์บอกว่าความเชื่อของคุณนั้นผิด แล้วผมก็สามารถแสดงเหตุผลให้คุณรู้ว่าความเชื่อของคุณนั้นผิด คุณจะโกรธผมก็เรื่องของคุณ ผมมีเหตุผลจำเป็นต้องแสดงว่าผมเชื่ออย่างนี้และพูดเหตุผลของผม คุณก็มาโต้แย้งกัน พูดกันด้วยเหตุผล ยกตัวอย่างว่าเราขับรถมาดีแล้ว แต่คนอื่นมาเบียดซ้ายแซงขวา เราขับถูกต้องแล้วจะไปว่าใคร มันต้องดูเหตุผล

เราอาจจะขับรถมาอย่างถูกต้องแล้ว แต่ถ้าโดนคนอื่นชนบ่อยๆ จะเหนื่อยไหม

ก็เหนื่อย อันนี้เป็นชะตากรรมของเรา เพราะเราจำเป็นต้องไปถึงที่หมายให้ปลอดภัย เมื่อมันยังไม่ถึงแล้วมีรถมาชน เราจะจอดแค่นั้นไม่เดินทางต่อหรือ ในเมื่อเรายังมีน้ำมันมีรถขับไปได้ ถูกไหม หรือเราอยากไปดาวอังคาร แล้วอุกกาบาตพุ่งเฉียดชนเราจะยอมแพ้ไหม เราก็ยังต้องเดินทาง

สังคมแบบไหนที่คุณฝันอยากจะเห็น

อย่างน้อยสุดก็สังคมอเมริกัน อยากมีสิทธิเสรีภาพแสดงออกได้เต็มที่ เวลามีความวุ่นวายเขาก็เอาเหตุผลมาแก้กัน ไม่ได้ใช้กำลัง ประเทศไทยสร้างเรื่องวุ่นวายแล้วก็เอาทหารมา หรืออย่างพม่าที่บอกว่าเขาโกงเลือกตั้ง ถ้าโกงคุณก็ต้องยื่นฟ้องต่อศาลสิ นี่ประกาศยึดอำนาจเลย มันไม่ถูกต้อง เราต้องเคารพกติกา ถ้ากติกาไม่ยุติธรรมก็ต้องแก้ อย่างรัฐธรรมนูญไม่ยุติธรรมก็ต้องแก้ไข

อย่างน้อยที่สุดสังคมต้องให้มนุษย์มีเสรีภาพที่จะพูดความคิดออกมาได้ ฟังเหตุผลกัน แล้วให้เขาดำเนินอาชีพอิสระตามความสามารถของเขา คุณค่าความเป็นคนก็ควรต้องมีอยู่บ้าง ไม่ใช่ไปอยู่ใต้ฝุ่นละอองอะไร แค่นั้น คุณจะเอาอะไรนักหนา ตอนนี้พวกผู้มีอำนาจกอบโกยเหลือเกิน กอบโกยแล้วกอบโกยอีกไม่มีความละอายแก่ใจ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ลำบาก

ถ้าให้นิยามคำว่า ‘คนบ้า’ สำหรับคุณคืออะไร

คนบ้าคือคนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เครียดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอารมณ์ขัน อย่างผมนี่มีอารมณ์ขัน ทั้งๆ ที่ความกดดันชีวิตมีมากแต่เรามีทางออก เราเข้าใจธรรมะ เข้าใจชีวิต ผมจะเป็นหมอโรคจิตแห่งหมอโรคจิตด้วยซ้ำไป (หัวเราะ)

ไม่โกรธคนอื่นใช่ไหมหากเขามายัดเยียดคำพวกนี้ให้

ผมไม่โกรธ จะว่าอะไรก็ว่าไป แต่อย่ามาแว้งกัด ที่เขามาฟ้องผมเท่ากับการแว้งกัด จะว่าผมเป็นบ้าอะไรก็ว่าไปผมไม่สน คนที่มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวดีมันมองง่าย ตั้งคำถามดูก็รู้แล้ว ยกตัวอย่างว่ามีคนสองคนขึ้นไปนั่งบนต้นไม้ แล้วถามว่าคุณขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ทำไม คนที่หนึ่งตอบว่านึกอยากจะขึ้นก็เลยขึ้นมา ส่วนคนที่สองตอบว่าแผ่นดินไทยสกปรกฉิบหายเลย ผมไม่อยากให้เท้าผมสัมผัสความสกปรกของแผ่นดินจึงมาอยู่บนต้นไม้ สองคำตอบนี้ใครเป็นโรคจิต ถ้าเข้าใจแสดงว่าคุณไม่ได้เป็นโรคจิต (หัวเราะ)

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save