ก่อร่างสร้างรัฐสวัสดิการ

ก่อร่างสร้างรัฐสวัสดิการ

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เรื่อง

 

รัฐสวัสดิการ นับเป็น “นวัตกรรมทางสถาบัน” ที่สำคัญอย่างหนึ่งของศตวรรษที่ยี่สิบ และเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจกว้างขวางในวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง

หากมองแบบผิวเผิน รัฐสวัสดิการคือประเทศที่มีสวัสดิการดี + ภาษีแพง + ค่าแรงสูง

แต่ถ้ามีองค์ประกอบเพียงแค่นั้น เหตุใดความพยายาม “ปลูกถ่าย” รัฐสวัสดิการในประเทศอื่นๆ นอกยุโรปมักล้มเหลวหรือนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม แปลว่ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่างอยู่เบื้องหลังการสร้างรัฐสวัสดิการที่เราอาจมองไม่เห็นหากสนใจเพียงตัวเลขงบประมาณและภาษี

การสร้างรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกมีเบื้องหลังอันชุลมุนและมีความเป็นมายาวไกล

ประสบการณ์ระยะใกล้บอกเราว่า ชนชั้นกลาง มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อเส้นทางรัฐสวัสดิการในยุโรปหลังสงครามโลก

แต่กลไกของรัฐสวัสดิการจะไม่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพดังที่เป็นอยู่ หากปราศจากสงครามและการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่นำไปสู่กระบวนการก่อร่างสร้างรัฐที่กินเวลายาวนานหลายศตวรรษ

 

ยุโรปสองสูง

 

ภาพแรกที่ผู้คนนึกถึงเมื่อได้ยินคำว่า “รัฐสวัสดิการ” (welfare state) คือ สังคมที่จัดสรรงบประมาณจำนวนมาก (ราวร้อยละ 40–60 ของงบประมาณทั้งหมด) เพื่อดูแลประชาชนในด้านสาธารณสุข การศึกษา รวมถึงความช่วยเหลือสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ว่างงาน และผู้ประสบอุบัติเหตุ

เรียกว่าเป็นสังคมที่ “ทั้งชีวิตรัฐดูแล” อย่างแท้จริง

เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอสำหรับสวัสดิการหลากหลาย รัฐเหล่านี้จึงต้องเก็บภาษีสูงกว่าประเทศทั่วไป เช่น บางพื้นที่ในสแกนดิเนเวีย คนรวยต้องจ่ายภาษีเงินได้ถึงร้อยละ 55–60 แต่ผลที่ตามมาก็คือ การเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำ รายได้และคุณภาพชีวิตของคนรวยกับคนทั่วไปไม่ต่างกันมาก ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงบริการรัฐอย่างเท่าเทียม

อย่างไรก็ตาม หลายประเทศที่พยายามเอาแนวทาง สองสูง (ภาษี + สวัสดิการ) ไปใช้กลับไม่สามารถเดินตามรอยรัฐสวัสดิการยุโรปได้ เพราะยังมีกลไกอีกหลายอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ตัวเลขสองสูง การมองเห็นแต่เพียงภาพเบื้องหน้าไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจเพิ่มขึ้นเลยว่า

รัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกเป็นแบบเดียวกันหมดหรือเปล่า​ (หรือมีหลายแบบ แล้วทำไมจึงต่างกัน)?

ทำไมการบริการของรัฐจึงมีประสิทธิภาพและโปร่งใส (แทนที่ข้าราชการจะโกงกินหรือทำงานเช้าชามเย็นชาม)?

เหตุใดเศรษฐกิจของรัฐสวัสดิการยังคงเติบโตได้ แม้จะมีภาระทางการคลังระดับสูง (แทนที่จะถดถอยและล่มสลายไป)?

จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ เราต้องย้อนกลับไปดูว่ารัฐสวัสดิการก่อตัวขึ้นมาอย่างไรในโลกตะวันตก

 

จากสวัสดิกะ สู่สวัสดิการ

 

รัฐสวัสดิการไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางเทคนิคหรือความโอบอ้อมอารีของผู้นำ แต่เป็นผลจากกระบวนการต่อรองระหว่าง รัฐ–นายทุน–ผู้ใช้แรงงาน ภายใต้ความขัดแย้งที่เกิดจากทุนนิยมและการพัฒนาอุตสาหกรรม

การปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงแรกเต็มไปด้วยความโหดร้าย คนงานต้องทำงาน 80–100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อแลกกับค่าแรงประทังชีวิต อุบัติเหตุในโรงงานเป็นเรื่องปกติ ความเกลียดชังต่อทุนนิยมขยายวงกว้าง

หน่ออ่อนของรัฐสวัสดิการเกิดขึ้นในทศวรรษ 1880 เมื่อ ออทโท ฟอน บิสมาร์ค (Otto von Bismarck) ผู้รวมประเทศเยอรมนีจัดให้มี ระบบการประกันอุบัติเหตุ สำหรับแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม

แน่นอนว่าบิสมาร์คไม่ได้มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ เท่ากับความพยายามลดแรงต่อต้านของแรงงานที่อาจนำไปสู่ขบวนการปฏิวัติ

บิสมาร์คต้องการ “ซื้อใจ” คนงาน จึงแบ่งงบประมาณรัฐมาช่วยเหลือเพื่อให้คนงานต้องพึ่งพิงกับตัวเขาและกลไกรัฐที่เขาควบคุม

ระบบสวัสดิการเริ่มแพร่หลายมากขึ้นหลัง มหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 1929 (Great Depression) พรรค Social Democratic Party มีอำนาจในสวีเดนและทำการปฏิรูปครั้งใหญ่ สร้างระบบประกันการว่างงาน เพิ่มเงินบำนาญผู้สูงอายุ และช่วยเหลือเกษตกรรายย่อย

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี 1945 รัฐสวัสดิการเริ่มกลายเป็นโมเดลหลักที่บรรดาประเทศยุโรปใช้เป็นแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจและบ้านเมือง

รัฐสวัสดิการเป็นทางเลือกที่ “สมเหตุสมผล” ที่สุดในห้วงเวลานั้น ห้วงเวลาที่ผลพวงจากสงครามอย่างความยากจนกลายเป็นปมเงื่อนหลักในสังคม กลไกตลาดที่ปราศจากรัฐถูกตั้งคำถามหนักหน่วง แรงบีบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและสงครามโลกทำให้โลกตะวันตกต้องปรับตัวครั้งใหญ่

แต่ก็เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่ทุนนิยมและประชาธิปไตยกลายเป็นกลไกหลักทางเศรษฐกิจและการเมืองในยุโรปแล้ว รัฐบาลยุโรปจึงสามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงด้านต่างๆ ของประชาชนอย่างเป็นระบบมากขึ้น โครงการช่วยเหลือที่เคยกระจายตัวและมีอยู่อย่างสะเปะสะปะได้รับการปฏิรูปขนานใหญ่

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเผชิญแรงกดดันเดียวกัน แต่รัฐสวัสดิการที่เกิดขึ้นในยุโรปก็ยังเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างน้อย 3 เส้นทาง

 

ชนชั้นกลางและรัฐสวัสดิการ 3 แบบ

 

ประเทศตะวันตกไม่ได้กลายเป็น รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ที่ประชาชนได้รับสิทธิต่างๆ ในฐานะที่เป็น “พลเมือง” ของสังคมแบบที่สแกนดิเนเวียเป็น (สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์) ไปทั้งหมด

ประเทศอย่างอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา มีลักษณะเป็น รัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม ที่ “กลไกตลาด” ยังคงมีบทบาทสำคัญ ประชาชนได้รับเพียงสวัสดิการพื้นฐานจากรัฐ หากผู้ใดต้องการมีประกันชีวิตและเงินบำนาญก็ต้องไปซื้อกับบริษัทเอกชนหรืออิงกับนายจ้างของตน

ส่วนเยอรมนี อิตาลี และสเปน เดินเข้าสู่เส้นทาง รัฐสวัสดิการแบบอนุรักษ์นิยม ที่ประชาชนต้องฝากชีวิตไว้กับ “ครอบครัว” หรือ “สมาคมวิชาชีพ” สิทธิของแต่ละคนขึ้นกับว่าเขาทำประโยชน์ให้กับสังคมมากน้อยเพียงใด (เช่น ผันแปรตามภาษีที่จ่าย) สตรีที่เป็นแม่บ้านจะไม่ได้รับสวัสดิการในฐานะ “พลเมือง” เหมือนในสแกนดิเนเวีย แต่ได้รับในฐานะที่เธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่สามีของเธอทำงานในระบบ

เหตุใดประเทศตะวันตกจึงตอบสนองต่อแรงกดดันเดียวกันด้วยรูปแบบรัฐสวัสดิการที่ต่างกัน?

ชนชั้นกลาง เป็นตัวแปรสำคัญ

ชนชั้นกลางเลือกเป็น “พันธมิตร” กับใครนับเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดเส้นทางรัฐสวัสดิการของประเทศตะวันตก

หากชนชั้นกลางจับมือกับแรงงานและเกษตรกรได้เมื่อใด ระบบสวัสดิการในสังคมนั้นมักจะมีลักษณะครอบคลุมถ้วนหน้าดังที่เกิดในสแกนดิเนเวีย

อย่างไรก็ดี ชนชั้นกลางจะเป็นอยู่ข้างคนรวยหรือคนจนขึ้นกับ “รูปแบบการเมือง” เป็นสำคัญ (ย้ำอีกทีว่าเป็นรูปแบบการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย)

ในประเทศที่เป็นระบบ สองพรรคใหญ่ (two-party system) ความขัดแย้งระหว่าง “นายทุนกับแรงงาน” มักเป็นปมเงื่อนใหญ่ของสังคม ทำให้พรรคใหญ่พรรคหนึ่งมักเลือกข้างทุน (พรรคอนุรักษ์นิยม) ส่วนอีกพรรคเลือกข้างผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร (พรรคแรงงาน) ไปโดยปริยาย ในระบบการเมืองเช่นนี้ ชนชั้นกลางตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เพราะไม่มีพรรคที่เป็นตัวแทนของตนเองอย่างชัดเจน สุดท้ายจึงมักเลือกอยู่ข้างพรรคนายทุน เพราะแม้ตัวเองอาจไม่ได้รับสวัสดิการเพิ่มหากพรรคนายทุนเป็นรัฐบาล แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม เรียกว่าเสมอตัว ไม่ขาดทุน ในทางกลับกัน หากชนชั้นกลางปล่อยให้พรรคแรงงานเป็นรัฐบาล ตัวเองอาจได้รับสวัสดิการเพิ่มเล็กน้อย (เมื่อเทียบกับแรงงาน) แต่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มสูงมาก ชนชั้นกลางในระบบการเมืองสองพรรคจึงยอมลงคะแนนให้พรรคนายทุน ทำให้พรรคฝ่ายขวามีแนวโน้มจะครองอำนาจ และสร้าง “รัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม” ในระบบการเมืองสองพรรคใหญ่

ประเทศที่มีระบบ รัฐบาลผสม (multi-party system) ประเด็นต่อสู้ทางการเมืองจะหลากหลายกว้างไกลกว่าการเลือกข้างทุนหรือแรงงาน เพราะแต่ละพรรคพยายามหาคะแนนเสียงกับกลุ่มเฉพาะต่างๆ (เช่น สิ่งแวดล้อม ชาตินิยมหลายเฉด แม้แต่พรรคแรงงานกับพรรคเกษตรกรก็แยกกัน) พรรคฝ่ายซ้ายจึงไม่ได้ดูน่ากลัวหรือสุดโต่งมากนักในสายตาของชนชั้นกลาง พวกเขาส่วนใหญ่จึงทำใจยอมเลือกพรรคฝ่ายซ้ายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสมได้ ทำให้พวกเขาเป็นพันธมิตรกลายๆ กับชนชั้นแรงงานและเกษตรกร ท้ายที่สุด รัฐบาลผสมที่มีฝ่ายซ้ายร่วมทีมมักเลือกเก็บภาษีคนรวยมากขึ้น เพื่อมาสนับสนุนชนชั้นกลางและล่าง เดินเข้าสู่เส้นทาง “รัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า”

นอกจากชนชั้นกลางกับระบบการเมืองแล้ว ยุโรปภาคพื้นทวีป (Continental Europe) ยังได้รับอิทธิพลจากศาสนจักร การต่อสู้ระหว่างรัฐกับโบสถ์เป็นปมสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังคลี่คลายไม่สุด เมื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย กลุ่มผู้สนับสนุนคาทอลิกก็ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อรักษาอิทธิพลของตนเอง “รัฐสวัสดิการแบบอนุรักษ์นิยม” ที่มอง “ครอบครัว” (ไม่ใช่ปัจเจกชน) เป็นหน่วยย่อยสุดของสังคม มักเกิดจากการจับมือร่วมรัฐบาลกันระหว่างพรรคสังคมประชาธิปไตยกับพรรคคาทอลิก

ชนชั้นกลางจะอยู่ข้างใคร ระบบการเมืองเป็นสองพรรคหรือพรรคผสม พรรคคาทอลิกมีบทบาทแค่ไหน จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เส้นทางรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกแตกต่างกันออกไป

 

สงครามสร้างรัฐ รัฐสร้างสงคราม

 

ชนชั้นกลางและระบบการเมืองอาจตอบคำถามเรื่องเส้นทางรัฐสวัสดิการที่ต่างกัน 3 รูปแบบได้ แต่อีกคำถามที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้นก็คือ เหตุใดรัฐในโลกตะวันตกจึงมีประสิทธิภาพในการจัดระบบสวัสดิการดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ

เพราะต่อให้รัฐ “ประกาศ” ว่าจะมีสวัสดิการดีเพียงใด หาก “มือไม้” ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างรัฐกับประชาชนไร้ประสิทธิภาพแล้ว สวัสดิการก็คงกลายสภาพเป็น “ส่วย” ที่ตกอยู่กับข้าราชการเสียมากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐที่มีแต่ความเข้มแข็งอย่างเดียวก็ยังไม่พอ เพราะหากอำนาจไม่กระจายตัวและไม่ยึดกฎหมายเป็นหลักก็มักจะกลายเป็นรัฐเผด็จการไปในที่สุด

รากฐานที่ทำให้รัฐสวัสดิการในตะวันตกต่างจากรัฐอื่นคือการเป็นทั้ง รัฐเข้มแข็ง + ยึดกฎหมาย + กระจายอำนาจ ไปพร้อมกัน

รากฐานแต่ละด้านไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่ายหรือเกิดเพราะผู้นำประเทศเป็นคนดี แต่เป็นเพราะประเทศตะวันตกผ่านการก่อร่างสร้างรัฐมายาวนาน ทั้งยังเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความสูญเสีย

ดังที่ ชาร์ลส์ ทิลลี (Charles Tilly) เคยสรุปไว้อย่างกระชับว่า

สงครามสร้างรัฐ…รัฐสร้างสงคราม

“War Made the State and the State Made War.”

การก่อสงครามทำให้แต่ละสังคมต้องระดมทรัพยากรทั้งไพร่พล เสบียง เงินทอง อาวุธยุทโธปกรณ์ อย่างกว้างขวางภายในเวลาจำกัด สังคมที่เอาชนะหรืออยู่รอดผ่านการสู้รบต่อเนื่องจึงกลายเป็นรัฐรวมศูนย์ที่มีประสิทธิภาพในที่สุด

ภาวะสงครามสร้างรัฐเกิดขึ้นเข้มข้นที่สุดในยุโรป ในประวัติศาสตร์จีนบางราชวงศ์ แต่เบาบางกว่านั้นมากในเอเชียและลาตินอเมริกา นักประวัติศาสตร์การเมืองเชื่อว่านี่เป็นปัจจัยสำคัญที่อธิบายระดับความเข้มแข็งที่แตกต่างกันของรัฐต่างๆ ได้ดี

ประวัติศาสตร์ยุโรปยังมีเงื่อนไขเฉพาะที่เอื้อให้ rule of law ฝังแน่นอยู่ในสังคมได้

ในบางรัฐเช่นอังกฤษก่อนศตวรรษที่ 11 กษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจเท่าขุนนางท้องถิ่น เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 1 ต้องการเพิ่มอำนาจของสถาบันกษัตริย์ จึงต้องเดินทางไปทั่วอาณาจักรเพื่อขยายบทบาทของ “ศาลจากส่วนกลาง” (royal justice system) แข่งกับระบบพิพากษาในแต่ละท้องถิ่นที่จัดการโดยเจ้าเมือง

ชาวบ้านที่ถูกลงโทษในศาลท้องถิ่นสามารถร้องเรียนให้ศาลของกษัตริย์เข้ามาตัดสินคดีใหม่ได้ เพราะเจ้าเมืองมักเอียงข้างพวกพ้องหรือเครือญาติของตน คาราวานศาลของกษัตริย์จึงได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ สร้างรายได้จากค่าบริการและความชอบธรรมให้กับสถาบันกษัตริย์ไปพร้อมกัน

นานวันเข้า การช่วงชิงอำนาจนำระหว่างท้องถิ่น–ส่วนกลางจึงก่อให้เกิด rule of law ในอังกฤษไปโดยปริยาย เพราะศาลของกษัตริย์ต้องจัดระบบและวางหลักการให้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่แพร่ขยายไปทั่วประเทศ

การเข้าใจประวัติศาสตร์เหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของรัฐสวัสดิการได้ดีขึ้น

เพราะถึงอย่างไร คำว่า “สวัสดิการ” ก็เป็นคำคุณศัพท์ที่ขยายว่าคำว่า “รัฐ” หากไม่มีรัฐที่มีประสิทธิภาพเสียก่อน สวัสดิการใดๆ ย่อมไร้ประสิทธิผล

 

ถอดบทเรียนตะวันตก

 

แน่นอนว่าการถอดบทเรียนเชิงนโยบายไม่ได้หมายความว่าประเทศอื่นต้องมีประวัติศาสตร์เหมือนกับยุโรปเป๊ะๆ จึงจะสามารถสร้างรัฐสวัสดิการได้

ผมย้ำกับนักศึกษาในคลาสอยู่เสมอว่า เวลาเราพูดถึงนัยเชิงนโยบาย เราต้องคิดถึง การเทียบเคียง ด้านนโยบายและกลไกทางสถาบัน (policy and institutional equivalence)

การรู้ว่ายุโรปสร้างรัฐเข้มแข็งผ่านสงคราม ไม่ได้แปลว่า ต้องก่อสงครามเพื่อสร้างรัฐ

แต่หมายความว่า หากไร้ แรงกดดัน ให้ผู้นำต้องระดมทรัพยากรในเวลาอันสั้น ผู้นำย่อมไร้แรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกราชการ

จะกดดันอย่างไรในโลกยุคโลกาภิวัตน์นั่นเป็นอีกเรื่อง ปล่อยให้ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเป็นตัวบีบ ทำผ่านกลไกการเลือกตั้ง หรือประชาสังคมต้องออกมาเคลื่อนไหว มีทางเลือกหลายทางให้คิดต่อ แต่ต้องตั้งหลักให้ถูกเสียก่อน

เช่นเดียวกัน การรู้ว่านิติธรรมเกิดในอังกฤษได้เพราะการชิงอำนาจกันระหว่างศาลกษัตริย์กับศาลเจ้าเมือง ก็ไม่ได้แปลว่า ประเทศอื่นๆ ต้องทำแบบเดียวกัน

แต่หมายความว่า การแข่งขัน (competition) มีความสำคัญต่อการหยั่งรากของระบบยุติธรรมในสังคมมากกว่าการผูกขาด (monopoly) และวงปิดของกระบวนการพิพากษา

จะทำอย่างไรให้การแข่งขันดังกล่าวเพิ่มขึ้นในบริบทปัจจุบัน ก็มาว่ากันอีกที

บทเรียนระยะใกล้เรื่องทางเลือกของชนชั้นกลางและระบบการเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดไม่แพ้กัน

หากปมการเมืองถูกลดทอนให้เหลือเพียงคำถามว่า คุณจะเอาทุนนิยมหรือเอาแรงงาน เมื่อไหร่ ชนชั้นกลางย่อมเลือกอยู่ข้างนายทุนเป็นแน่เพราะประเมินแล้วว่าเสียหายน้อยกว่า สุดท้ายแรงงานเองก็จะไม่ได้ระบบสวัสดิการดังที่ตนใฝ่ฝัน  

การสร้างรัฐสวัสดิการจึงไม่ใช่แค่เรื่องสวัสดิการดี ภาษีแพง ค่าแรงสูง

อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีชนชั้นกลาง ทุนนิยม ระบบการเมือง และนิติธรรม อยู่ในสมการด้วย

อย่างน้อยๆ นะครับ

 

อ้างอิง

  • บทความนี้นำมาจากการนำเสนอในงานสัมมนาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Veerayooth Kanchoochat “Welfare State-building in Europe and East Asia: Political Economy Lessons”, presented at the Bangkok Forum “Future Sustainable Asia”, Chulalongkorn University, 24–25 October 2018.
  • หากสนใจดีเบตทางทฤษฏีและคำอธิบายรัฐสวัสดิการชุดต่างๆ ดู Kees van Kersbergen and Barbara Vis (2014) Comparative Welfare State Politics: Development, Opportunities, and Reform. Cambridge University Press.
  • หากสนใจการก่อร่างสร้างรัฐในโลกตะวันตก ดู Francis Fukuyama (2011) The Origins of Political Order: From Prehuman Times to the French Revolution. Farrar, Straus and Giroux.
  • โมเดลรัฐสวัสดิการ 3 รูปแบบนำมาจาก Gøsta Esping-Andersen (1999) Social Foundations of Postindustrial Economies. Oxford University Press. แม้รัฐสวัสดิการจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่กรอบข้อเสนอในฐานะ typology ยังใช้เปรียบเทียบความแตกต่างได้ดีอยู่ ดูการอภิปรายใน van Kersbergen and Vis (2014: Chapter 4).

MOST READ

Political Economy

17 Aug 2023

มือที่มองไม่เห็นของ อดัม สมิธ: คำถามใหญ่ว่าด้วย ‘ธรรมชาติของมนุษย์’  

อั๊บ สิร นุกูลกิจ กะเทาะแนวคิด ‘มือที่มองไม่เห็น’ ของบิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ อดัม สมิธ ซึ่งพบว่ายึดโยงถึงความเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์

อั๊บ สิร นุกูลกิจ

17 Aug 2023

Political Economy

12 Feb 2021

Marxism ตายแล้ว? : เราจะคืนชีพใหม่ให้ ‘มาร์กซ์’ ในศตวรรษที่ 21 ได้หรือไม่?

101 ถอดรหัสความคิดและมรดกของ ‘มาร์กซ์’ ผู้เสนอแนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ผ่าน 3 มุมมองจาก เกษียร เตชะพีระ, พิชิต ลิขิตสมบูรณ์ และสรวิศ ชัยนาม ในสรุปความจากงานเสวนา “อ่านมาร์กซ์ อ่านเศรษฐกิจการเมืองไทย” เพื่อหาคำตอบว่า มาร์กซ์คิดอะไร? มาร์กซ์ยังมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 หรือไม่? และเราจะมองมาร์กซ์กับการเมืองไทยได้อย่างไรบ้าง

ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล

12 Feb 2021

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save