บทความชวนดูงานศิลปะและนวัตกรรมจากโลกที่หนึ่ง ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้สังคมและชีวิตคน ผ่านสายตานักออกแบบมัลติมีเดียจากโลกที่สามในนามกลุ่ม Eyedropper Fill
Eyedropper Fill เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
ภาพและคลิปวิดีโอเด็กๆ เล่นไม้กระดกสีชมพูที่พาดผ่านกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก คงปรากฏอยู่บนหน้านิวส์ฟีดของใครหลายคนในช่วงที่ผ่านมา เสียงหัวเราะ ท่าทาง และสีหน้าของเด็กทั้งสองฝั่ง ดูสนุกและไร้เดียงสา ราวกับเบื้องหน้าปราศจากกำแพงแห่งความขัดแย้งสูงใหญ่ขวางกั้น เป็นโมเมนต์ที่ทำให้หลายคนอิ่มใจจนอดกดแชร์ไม่ได้
งานศิลปะที่น่ารัก เรียบง่าย แต่สร้างอิมแพคได้อย่างทรงพลังชิ้นนี้ มีชื่อว่า Teeter-Totter Wall ออกแบบและสร้างโดยสตูดิโอ Rael San Fratello ของสถาปนิกและอาจารย์วิชาสถาปัตยกรรม Ronald Rael
“ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ คุณต่างมีความหมายต่อกันบนสองฝั่งของไม้กระดก การกระทำที่เกิดขึ้นในฝั่งหนึ่ง ย่อมส่งผลถึงคนอีกฝั่ง” นี่คือ ‘สาร’ อันหนักแน่นภายใต้ท่อนเหล็กสีชมพู ที่ผู้ออกแบบตั้งใจส่งถึงประชาชนทั้งฝั่งเม็กซิโกและอเมริกา เพื่อวิพากษ์แผนการสร้างกำแพงกั้นเขตแดนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
แม้ไม้กระดกสีสันสดใสจะถูกสร้างใน ค.ศ. นี้ แต่รู้หรือไม่ว่า ไอเดียนี้ถูกคิดขึ้นตั้งแต่ปี 2009 หรือ 10 ปีที่แล้ว !
หนังสือ Borderwall as Architecture : A Manifesto for the U.S. – Mexico Boundary ตีพิมพ์ในปี 2017 เป็นหนังสือต้นทางที่บันทึกไอเดียของ Teeter-Totter Wall เอาไว้ ทั้งหมดอยู่ภายใต้โปรเจ็กต์ที่สตูดิโอ Rael San Fratello เฝ้าพัฒนาเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณกำแพงกั้นเขตแดนโดยเฉพาะ มาเป็นเวลาร่วม 10 ปี
Borderwall as Architecture เล่มนี้รวบรวมไอเดียของสถาปนิก Ronald Rael และศิลปิน นักออกแบบคนอื่นๆ ที่ร่วมกันจินตนาการและนิยามพื้นที่กำแพงกั้นเขตแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก ความยาว 650 ไมล์นี้ขึ้นใหม่ ให้เป็นมากกว่าเพียงสิ่งกั้นเขตแดน และกลายเป็นสถาปัตยกรรมที่คนสามารถเข้าไปใช้สอยได้ ภายใต้โจทย์ที่ว่า ‘กำแพงคืออะไร ?’ และ ‘อะไรที่กำแพงนี้ สามารถเป็นไปได้ ?’

แม้ว่าไอเดียว่าด้วย ‘กำแพง’ ทั้งหมดอยู่ในรูปแบบภาพสเก็ตช์และโมเดล (อย่างที่บอก มีเพียง Teeter-Totter Wall เท่านั้นที่เพิ่งหลุดออกมาจากหนังสือและถูกสร้างให้เกิดขึ้นจริง) แต่หลายสิบไอเดียในเล่มก็น่าสนใจเอามากๆ เพราะมีตั้งแต่ระดับขำๆ เสียดสีให้แสบคัน ไปจนถึงวาดให้เห็นภาพร่างของอนาคตอันใกล้ แต่ละชิ้นกระเจิงความคิดของเรา เกี่ยวกับความหมายของ ‘กำแพง’ ได้ไม่น้อย
ไอเดียแรกที่เราอยากชวนดูมีชื่อว่า ‘Burrito Wall’ แรงบันดาลใจมาจากรถขายอาหารแบบ food cart ที่คนสองฝั่งสามารถมาใช้บริการและใช้พื้นที่ระหว่างกำแพงเป็นโต๊ะนั่งกิน Burrito และ Taco อาหารชื่อดังประจำท้องถิ่น พื้นที่ตรงนี้ออกแบบเพื่อให้ ญาติ พี่น้อง หรือมิตรสหายจากสองฝั่งใช้พูดคุย แลกเปลี่ยน สารทุกข์สุขดิบกันได้ อันที่จริงแล้ว มันคือกิจกรรมที่ผู้คนในพื้นที่เขตแดนทำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในเวลาที่ ‘กำแพง’ ยังไม่ปรากฏขึ้น

นอกจากกำแพงจะกลายเป็นจุดตัดนัดพบ กำแพงอันหนาหนักจะสร้างความบันเทิงและเพลิดเพลินให้คนได้มั้ย? Xylophone Wall คือไอเดียที่นักออกแบบ Glenn Weyant เปลี่ยนท่อนเหล็กบนกำแพงให้เป็น ‘ระนาดเหล็ก ‘ หรือ Xylophone ตามชื่อ เพื่อให้ผู้คนทั้งสองฝั่งสามารถบรรเลงดนตรีร่วมกัน

Weyant เรียกตัวเองในงานชิ้นนี้ว่า Border Deconstructionist หรือผู้รื้อ–สร้างเส้นแบ่งเขตแดน ไอเดียของเขาคือเปลี่ยนกำแพงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความกลัวด้วยการ ‘เล่น’ กับมัน นอกจากเสียงดนตรีจะให้ความเพลิดเพลิน มันยังเป็นบทสนทนาสำหรับคนสองฝั่งในตัวมันเอง
นอกจากเล่นกับตัวกำแพง หนังสือ Borderwall as Architecture ยังมีไอเดียของการเปลี่ยนพื้นที่สองฝั่งกำแพงให้เป็นพื้นที่ของการเล่น
The Volleyball Wall ใช้กำแพงแทนฟังก์ชันของตาข่ายในกีฬาวอลเลย์บอล (ที่ Rael เรียกแบบขำๆ ว่า Walleyball) แนวคิดของการออกแบบคือ ใช้เกมกีฬาที่สนุกสนาน ล้างอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของกำแพงออกไปซะ แทนที่คอนเซ็ปต์ของกำแพงจะเป็นเส้นแบ่ง แต่ใช้การออกแบบทำให้กำแพงกลายเป็นจุดนำคนเข้ามาเจอกัน และสร้างมิตรภาพต่อกันแทน

ไอเดีย ‘เปลี่ยนรั้วแห่งความกลัว ให้เป็นความสนุก’ ในหนังสือเล่มนี้ยังมีอีกเพียบ อย่าง The Theater Wall ได้แรงบันดาลใจจากพรมแดนสหรัฐฯ และแคนาดาที่เปลี่ยนพื้นที่เขตแดนให้เป็นพื้นที่จัดอีเว้นต์ ไอเดียนี้ Rael คิดพาคนจากสองฝั่งมาดูหนังร่วมกัน ในโรงหนังที่มีพื้นที่นั่งรวมถึงจอหนังแยกออกเป็นสองฝั่งด้วยแนวกำแพง ในขณะที่ผู้คนสนุกสนานไปกับหนังเรื่องเดียวกัน หัวเราะเป็นเสียงเดียวกัน คงอดเกิดคำถามไม่ได้ว่า ‘ทำไมเราจึงถูกแยกกันด้วยกำแพง’

อย่างที่บอกไปตอนต้น ไอเดียของกำแพงกั้นเขตแดนในหนังสือ ไปไกลถึงระดับนโยบายที่อาจสร้างประโยชน์มากกว่าแค่ระดับชุมชนสองฝั่งกำแพง แต่อาจเป็นระดับเมือง
งบประมาณในการก่อสร้างกำแพงทั้งหมด 33 ล้านดอลล่าร์ Rael เสนอว่างบจำนวนนี้ เราสามารถนำไปสร้างระบบบำบัดน้ำเสียบริเวณรอยต่อระหว่างสองเมืองได้สบายๆ จากการคำนวนแล้ว ระบบนี้สามารถผลิตน้ำสะอาดได้ 20 ล้านแกลอลอนต่อวันเลยทีเดียว

แม้แต่ไอเดียที่ทรัมป์จะติดตั้งแผงรับพลังงานโซล่าเซลล์บนกำแพง ก็ถูก Rael ขึ้นภาพสเก็ตช์ในหนังสือ Borderwall as Architecture ไว้เรียบร้อย เพียงแต่เวอร์ชั่นนี้ แผงโซล่าเซลล์อาจไม่ต้องอยู่ในรูปแบบของกำแพงกั้น แต่เป็นแผงที่คนจากสองฟากฝั่งสามารถแชร์พลังงานกันใช้ได้
หลายคนอาจเกิดคำถามว่า เอาเข้าจริง งานศิลปะอย่าง Teeter-Totter Wall ไปจนถึงสเก็ตช์ดีไซน์ในหนังสือเล่มนี้ มันสร้างประโยชน์ที่ ‘เรียลลิสติก’ ขนาดไหน เพราะสุดท้าย กำแพงก็ยังคงตั้งอยู่ตรงนั้น และภาพฝันในหนังสือก็คงยากจะเกิดอยู่ดี
Rael พูดประโยคหนึ่งที่มีความหมายมากว่า
“They conceptually transform the meaning and dismantle ‘the wall,’ which I hope leads to its eventual physical dismantling.”
ก่อนที่ ‘กำแพงจริงๆ’ จะถูกรื้อ พวกเขาอาจจะต้องเปลี่ยนความหมายและรื้อ ‘กำแพงในความคิด’ ของตัวเองออกก่อน
เราไม่อาจรื้อกำแพงทิ้งได้ในวันนี้พรุ่งนี้ก็จริง แต่ระหว่างนี้ เราอาจเปลี่ยนกำแพงที่ใหญ่ แข็ง น่าเกรงขาม ให้นุ่มและน่ารักขึ้นได้ และภาพกำแพงในจินตนาการที่ถูกออกแบบและรวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ อาจทำหน้าที่นั้น
ลองย้อนกลับไปดูผู้ใหญ่และเด็กๆ ผู้กุมอนาคตของดินแดนสองฟากฝั่ง บนไม้กระดกสีชมพูดีๆ อีกครั้ง
บางที ‘กำแพง’ ในใจพวกเขาอาจสลายไป พร้อมกับเสียงหัวเราะนั้นแล้ว ว่ามั้ย?
อ้างอิง
http://www.borderwallasarchitecture.com