อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ไม่น่าเชื่อเลยว่า วงเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 กลุ่มนักร้องนักเต้นหญิงไทยวัยรุ่น อันเป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมนำเข้า ถอดแบบมาจากวง AKB48 แห่งประเทศญี่ปุ่นแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะทรงอิทธิพลต่อสังคมไทยได้ถึงปานนี้
เพราะไม่เพียงจะสามารถสร้างกระแสความสนใจ ให้เป็นที่กล่าวขวัญ พูดถึงไปทั่วบ้านทั่วเมือง มีโอตะ แฟนคลับติดตามมากมาย หลากวัยหลายชนชั้น ความคิด อุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งเด็กหน้าใสในวัยเรียน หนุ่มสาวคนทำงาน ลุงป้า-น้าอาวัยกร้านโลก
เรียกว่า ทั้งหัวดำ หัวหงอก และหัวงู
ทั้งชาวบ้านร้านตลาด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา ก้าวหน้าหรือล้าหลัง ทั้งเสื้อดำ เสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อสีฟ้า หรือสีน้ำเงิน ทั้งกลุ่มคนซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสลิ่ม หรือพวกซึ่งมักจะตีขลุม นิยมเรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
ทั้งกลุ่มคนซึ่งไม่ค่อยอยากให้มีการเลือกตั้งเพราะฝักใฝ่ทรราช หรือกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่ทุกวันนี้หลายคนกำลังแสดงตนว่าเป็นคนอยากลงสมัครรับเลือกตั้ง
ตลอดไปจนถึงชนชั้นนำ ผู้ปกครองเผด็จการ แม้กระทั่งคนระดับนายกรัฐมนตรี
จะเป็นโอตะขนานแท้ หรือเพียงแค่ต้องการโหนกระแส หวังให้การสืบทอดอำนาจเป็นไปด้วยความราบรื่น ง่ายดายขึ้นก็ตามที
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวเกี่ยวกับ BNK48 ยังนำไปสู่ข้อถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ ด่าทอโจมตีระหว่างกลุ่มคนที่มีความคิดทางการเมืองแตกต่างกัน ซึ่งลำพังคนต่างสีเสื้อ คงไม่ใช่เรื่องวิปริตพิสดารอันใด ด้วยขอเพียงอยู่คนละข้าง ก็มีความเห็นสอดคล้องต้องตรงกันมิได้อยู่แล้ว
ถ้าฝ่ายหนึ่งบอกว่าขาว อีกฝ่ายต้องเห็นว่าดำ หากฝ่ายหนึ่งเห็นว่าดี อีกฝ่ายต้องบอกว่าเลว
ถือเป็นปรากฏการณ์ปกติในสังคมไทย
ที่ประหลาด เห็นจะเป็นวิวาทะ ข้อถกเถียงทางการเมืองของกลุ่มคนพวกเดียวกัน ซึ่งมักจะตีขลุม นิยมเรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย มีความคิดทางการเมืองก้าวหน้า แต่บางคนกลับพูดถึงสิทธิในการสนับสนุนผู้ปกครองเผด็จการ โดยมิได้ละอายปากกระดากลิ้น
บ้างกล่าวอ้างถึงข้อจำกัดเสมือนเป็นข้อยกเว้น แก้ต่างแก้ตัวให้กับใครบางคนซึ่งไปช่วยเหลือเกื้อกูลทรราช
ฟังแล้วชวนให้รู้สึกขนลุกไปกับวาทกรรม วาทกลวง สมดังเช่นที่มีความพยายามจะสื่อสาร ชี้ชวนให้ผู้คนเปิดคลิปชมทัศนคติของใครบางคนที่มีต่อแคปเฌอ
ทั้งๆ ที่ปมประเด็นอันก่อให้เกิดการถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ หรือด่าทอโจมตีกัน เป็นปัญหาประชาธิปไตยโดยแท้ มีที่มาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่าง BNK48 กับระบอบปกครองซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ คสช. โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
เป็นการปกครองระบอบประยุทธ์ ซึ่งมิใช่เพียงแค่มีที่มาจากการทำรัฐประหารโดยกองทัพ อันอาจจะนำไปสู่ข้อพิจารณาที่ซับซ้อนถึงความชอบธรรมในการล้มล้างทรราชเสียงข้างมากตามมา
แต่ 4 ปีของการปกครองภายใต้ คสช. มีการใช้อำนาจทางทหารควบคุมประชาชน ตลอดจนแย่งชิงประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อย่างชัดแจ้ง
เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชัดเจน โดยมิอาจจะปฏิเสธเป็นอื่นไปได้เลย
เมื่อปรากฏภาพข่าวสมาชิกวง BNK48 เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงทำเนียบรัฐบาล เพื่อประชาสัมพันธ์สถานีวิทยุเพื่อครอบครัวของกรมประชาสัมพันธ์ มีคลิปร้องรำทำเพลงของนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำท่าทำทางขยับมือขยับไม้ โยกตัวเข้าจังหวะเพลงคุกกี้เสี่ยงทายออกเผยแพร่ นำไปสู่การแสดงความคิดเห็นไปต่างๆ นาๆ
ต่อมา น.ส.เฌอปราง อารีย์กุล หรือแคปเฌอ กัปตันวง BNK48 ยังได้ไปร่วมรายการเดินหน้าประเทศไทย ซึ่งทุกคนย่อมล่วงรู้ดีว่า เป็นรายการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล
พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เป็นการสื่อสารหวังผลเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อให้กับระบอบปกครอง คสช. หาใช่เป็นการนำเสนอข่าวสารโดยทั่วไปของสื่อสารมวลชนไม่
จึงก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ รวมถึงด่าทอตามมาอย่างเผ็ดร้อน
จะว่าไป ในฐานะที่ BNK48-เฌอปราง เป็นบุคคลสาธารณะด้วยใจสมัคร โดยมิได้มีใครไปข่มขืนใจ อีกทั้งยังยอมรับกับสถานภาพของไอดอลที่ผู้คนในสังคมมอบให้ เมื่อ BNK48-เฌอปราง ไปทำหน้าที่รับใช้ ช่วยเหลือ หรือสนับสนุนระบอบปกครองเผด็จการ คสช. โดยไม่ปรากฏว่ามีใครเขาเอาปืนไปจี้หัวบังคับ
ดังนั้นโดยหลักการแล้ว จึงชอบที่นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต หรือใครก็ตาม จะแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาท ท่าที หรือจุดยืนทางการเมืองของ BNK48-เฌอปราง ตราบเท่าที่มิได้ไปล่วงล้ำก้ำเกินประเด็นอันเป็นส่วนตัว
สมควรจะยินดีเสียด้วยซ้ำ ที่เรื่องราวพัฒนานำไปสู่ข้อถกเถียง วิวาทะทางการเมืองว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพในการสนับสนุนเผด็จการทรราชตามมา
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะก่อประโยชน์โพดผลมากมายให้กับสังคมไทย หากจะได้มีการถกแถลงแสดงความคิดเห็นกันด้วยเหตุด้วยผล เพื่อก่อให้เกิดกระแสผลักดัน นำไปสู่ฉันทามติของคนในชาติในวันข้างหน้าว่า จะเลือกยืนข้างประชาธิปไตยหรือเผด็จการ
อย่างน้อยที่สุดก็ได้มีการสื่อสาร ส่งสัญญาณให้เห็นถึงทิศทาง อุดมการณ์ความคิดของประชาชน อันจะนำไปสู่พัฒนาการทางการเมืองในอนาคตวันข้างหน้า
ทว่า เป็นที่น่าเสียใจ เมื่อกลุ่มคนซึ่งอ้างตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย อาสาตัวนำพาประเทศชาติ ประชาชน ไปสู่อนาคตใหม่ แต่กลับเห็นคะแนนเสียง ความนิยมของเหล่าบรรดาโอตะ แฟนคลับ BNK48-เฌอปราง ที่มีต่อพรรคการเมืองของตนเอง สำคัญมากกว่าหลักการประชาธิปไตย
แสดงท่าที จุดยืน เกี่ยวกับระบอบปกครองเผด็จการทรราชได้อย่างน่าผิดหวัง
บางคนพยายามเอาสีข้างเข้าถู ด้วยการอรรถาธิบายว่า “พรรคย้ำเสมอว่า ศิลปินควรมีเสรีภาพในการแสดงจุดยืนทางการเมือง หากเชื่อมั่นในระบอบอำนาจนิยมจริงๆ ก็มีสิทธิที่จะสนับสนุนรัฐบาลทหาร”
พูดถึงแต่สิทธิที่จะเชียร์เผด็จการ โดยหลีกเลี่ยงที่จะพิจารณาประเด็นความชอบธรรมในการสนับสนุนทรราช
บางคนเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งควรจะแจ่มชัดในหลักการประชาธิปไตย หรือบังเอิญเผลอไผลไปคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าวง BNK48 ก็ไม่ทราบได้ จึงตอบไม่ตรงกับคำถาม
พยายามอธิบายความแทนเป็นคุ้งเป็นแคว
อ้างเป็นพัลวันว่า “ผมคิดว่าเราก็ต้องเข้าใจนะครับ ทุกคนมีข้อจำกัดในการแสดงออกของตัวเองเหมือนกัน เราไม่สามารถเรียกร้องให้ใครกล้าออกมาได้ เราไม่สามารถเรียกร้องให้ใครยอมพลีชีพแขวนระเบิดไปวิพากษ์วิจารณ์ คสช. ได้ ทำในข้อจำกัดที่ตัวเองมีให้ดีที่สุด ข้อจำกัดของคุณนะ กับข้อจำกัดของผมก็ไม่เหมือนกัน
“เราเรียกร้องให้คนอื่นกล้าหาญเท่าเราไม่ได้ เราไม่สามารถเรียกร้องให้คนอื่นไปตายแทนเราก็ไม่ได้ ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ทำในข้อจำกัดของเราให้ดีที่สุด ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจคนอื่น เพราะคนอื่นมีข้อจำกัดเยอะแยะ เพราะเป็นข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ เป็นข้อจำกัดในที่ทำงาน เป็นข้อจำกัดครอบครัวอะไรเยอะแยะไปหมด ที่ทำให้ทำไม่ได้”
ที่ชวนให้สมเพชเวทนาไปกว่านั้น เมื่อบางคนพยายามเบี่ยงเบนประเด็นให้ข้อถกเถียงทางการเมือง กลายเป็นวิวาทะทางกาเม ลากโยงไปเป็นปัญหาเพศสภาพ สำรอกว่าเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึกอิจฉาริษยาที่ผู้ชายข้ามเพศมีต่อหญิงสาว ซึ่งเป็นไอดอลของผู้คนในสังคม
เป็นอย่างนั้นไป
คราก่อน คราวประเด็นมาตรา 112 ก็สร้างความผิดหวัง ว้าเหว่ ให้กับใครหลายคนมาหนหนึ่งแล้ว
คงด้วยข้อจำกัดต่างๆ กระมัง จึงทำให้ฉลากออกมาไม่ตรงกับสรรพคุณที่เคยอวดโอ่กันเอาไว้
อนาคตใหม่เห็นอยู่รำไร ระบอบประยุทธ์จงเจริญ