fbpx

สืบ-จาก-ไฟล์ : พลิกโฉมการสืบสวนอาชญากรรมไซเบอร์ด้วย Big Data

ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีหนึ่งข่าวใหญ่ที่เรียกได้ว่าเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวงการข่าวอาชญากรรม ข่าวที่ว่าคือการจับกุม ‘เนเน่โมเดลลิ่ง’ เครือข่ายแพร่ภาพอนาจารเด็กรายใหญ่ โดยพบหลักฐานภาพถ่ายลามกอนาจารเด็กมากถึง 500,000 ภาพ และยังเกี่ยวพันกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็กจำนวนหลายพันราย ไม่ใช่แค่นั้น การจับกุมครั้งนี้ยังเป็นการร่วมมือของตำรวจจากหลายมุมโลก ตั้งแต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), Australian Federal Police (AFP), Federal Bureau of Investigations (FBI), Homeland Security Investigations (HSI) และ New Zealand Police  

แต่หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของคดีนี้คือ ‘จุดเริ่มต้น’ ใครจะไปคาดคิดกันว่าจากภาพอนาจารของเด็กชายเพียงภาพเดียวที่หลุดเข้าไปในโปรแกรมของ Interpol จะสามารถนำไปสู่การทลายเครือข่ายการค้าภาพอนาจารเด็กระดับโลก โดยหัวใจหลักที่ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายของคนร้ายทางโลกไซเบอร์ครั้งนี้อยู่ที่การใช้เทคโนโลยีในการแกะรอยและเชื่อมโยง ‘เส้นทางไฟล์ภาพการทำอนาจารกับเด็ก’ 

หากมองย้อนกลับไป นับตั้งแต่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีในช่วงเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ได้พลิกโฉมโลกไปอย่างคาดไม่ถึงและเป็นการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ แน่นอนว่ามิติอาชญากรรมเองก็เช่นกัน การมาถึงของโลกยุคโลกาภิวัตน์พ่วงมาด้วยการเกิดใหม่ (อย่างทรงพลัง) ของ‘อาชญากรรมทางไซเบอร์ (cybercrime)’ ภัยร้ายที่ไร้สัญชาติ ไร้พรมแดน และสามารถทลายขอบเขตด้านเวลาและภาษาลงได้เพียงปลายนิ้วคลิก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่น่าเป็นกังวลมากที่สุด 

จากรายงานของ ศูนย์ข้อมูลเด็กหายและเด็กถูกละเมิดแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCMEC) พบว่า ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2563 มีข้อมูลเบาะแสการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดเด็ก ทั้งการครอบครองและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารที่มาจากประเทศไทยผ่านทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้นถึง 160,000 กรณี ขณะที่ตัวเลขเฉลี่ยตลอดทั้งปี 2562 มีเพียง 120,000 กรณีเท่านั้น 

101 จึงเดินทางไปพูดคุยกับ ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี รองผู้อำนวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ผู้ทำงานในคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กมาอย่างยาวนานถึงหน้าตาของอาชญากรรมในยุคไซเบอร์ ณ วันนี้ พร้อมเจาะลึกถึงการทำงานของดีเอสไอที่ต้องปรับตัวมาใช้หลากหลายนวัตกรรม ในวันที่พยานหลักฐานและสถานที่เกิดเหตุย้ายไปอยู่บนโลกออนไลน์

ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี รองผู้อำนวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)

หน้าตาที่เปลี่ยนไปของอาชญากรรม

ร.ต.อ.เขมชาติให้ข้อมูลว่า เทคโนโลยีทำให้หน้าตาของอาชญากรรมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก จากเดิมที่ผู้ร้ายมักจะมาในลักษณะของ Child sex tourism หรือการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางข้ามประเทศเพื่อมาแสวงหาประโยชน์หรือละเมิดทางเพศเด็กในประเทศไทย ซึ่งจะใช้วิธีการ grooming (การเตรียมเด็กเพื่อทารุณกรรมทางเพศ) ในรูปแบบของ face to face เช่น คนร้ายจำเป็นต้องมีนกต่อเพื่อประชิดตัวและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับเด็ก ก่อนจะพาไปกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ 

แต่ในปัจจุบันลักษณะของการล่วงละเมิดทางเพศได้ย้ายไปอยู่บนพื้นที่ออนไลน์แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่เด็กส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่หน้าจอ เปิดโอกาสให้ผู้ร้ายสามารถเข้าถึงตัวเด็กได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้นกต่ออีกต่อไป 

“ลักษณะของอาชญากรในอดีตมักจะมาในคราบของคนดี หรือคนที่มีอาชีพแลดูน่าเชื่อถือ เข้ามาตีสนิทเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับพ่อแม่เพื่อรอจังหวะเข้าถึงตัวเด็ก แต่มาวันนี้ไม่ใช่แล้ว อาชญากรเป็นใครหรืออยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ เพราะอินเทอร์เน็ตทำให้โลกไร้พรมแดน ยังไม่นับว่าเรามีโปรแกรมแปลภาษาที่ช่วยให้เราพูดคุยกันได้ทั่วโลก อาชญากรเองก็ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมนี้ในการล่อลวงเด็กเช่นกัน”  

ร.ต.อ.เขมชาติเสริมว่า เทคโนโลยีไม่ได้เพียงช่วยให้คนร้ายสามารถติดต่อสื่อสารกับเด็กง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การติดต่อสื่อสารกันในหมู่คนร้ายสะดวก รวดเร็ว และรัดกุมมากขึ้นด้วย จากประสบการณ์การทำงานติดตามคนร้ายคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กออนไลน์ทำให้เขาพบว่า การจะเข้าถึงตลอดจนการจับกุมตัวคนร้ายในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเหล่าคนร้ายมีการติดต่อกันข้ามประเทศผ่านทาง dark web, deep web หรือกลุ่มลับ ซึ่งโปรแกรมทั่วไปไม่สามารถที่จะเข้าไปดูการสนทนาของคนร้ายได้ 

ในขณะเดียวกันบทสนทนาของคนร้ายก็มีรายละเอียดที่ลึกขึ้น เช่น มีการแบ่งหมวดหมู่กลุ่มย่อยๆ ตามประเภทของวิธีการเข้าถึงตัวเด็ก มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือแนะนำช่องทางในการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ตลอดไปจนถึงมีการแนะนำทริคในการตอบคำถามหากถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ซึ่งจากหลักฐานที่ทางดีเอสไอพบบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าเหล่าคนร้ายมีการเตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า

นอกจากตัวอาชญากรและลักษณะการก่อเหตุที่เปลี่ยนไปแล้ว สถานที่เกิดเหตุรวมไปถึงพยานหลักฐานในคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กออนไลน์ก็มีหน้าตาที่เปลี่ยนไปเช่นกัน

“ตลอดช่วง 20 ปีที่แล้ว เราถูกสอนมาว่าที่เกิดเหตุคือการที่คุณเดินเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วคุณเห็นอะไรรอบตัวคุณบ้าง เช่นคุณนั่งอยู่ในห้องนี้ นี่คือสถานที่เกิดเหตุ แต่ยุคออนไลน์ต่างออกไป อุปกรณ์แต่ละเครื่องคือที่เกิดเหตุที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งตัวเครื่องเองก็เชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ต่างๆ อย่างเช่นการเก็บภาพลามกอนาจารเด็ก ถ้าเป็นในอดีตเราก็คงเก็บข้อมูลไว้ในเมมโมรีการ์ดหรือฮาร์ดดิสก์ แต่ถามว่าทุกวันนี้เราเก็บข้อมูลที่ไหน พวกเราก็ฝากไปเก็บไว้ในคลาวด์ งั้นถ้าถามต่อไปว่าแล้วพื้นที่จริงๆ ของคลาวด์อยู่ตรงไหน ใช่ เราก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน” 

“ฉะนั้นโจทย์สำคัญคือ เราจะไปหามาได้อย่างไรว่าสถานที่เกิดเหตุของภาพนี้อยู่ที่ไหน พร้อมทั้งจะแกะรอยพยานหลักฐานที่มีอยู่มากมายมหาศาลในอุปกรณ์ต่างๆ และนำมาใช้เป็นหลักฐานได้อย่างไร”

เปลี่ยนจาก ‘สืบจากตัวเด็ก’ มาเป็น ‘สืบจากภาพ’ 

แน่นอนว่าเมื่ออาชญากรรมเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะหน้าตาของอาชญากรที่เป็นใครก็ได้บนโลกใบนี้ วิธีการที่คนร้ายใช้ในการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ตลอดจนเครื่องมือที่คนร้ายใช้ในการก่อคดี ยังไม่นับการได้มาซึ่งเบาะแสที่กลายเป็นเรื่องยากไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร (ข้อมูล) ด้านเจ้าหน้าที่เองก็ถึงเวลาที่ต้องปรับตัวตาม รูปแบบและวิธีการที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการสืบสวนคดี ณ วันนี้มีหน้าตาอย่างไร คือสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย 

ร.ต.อ.เขมชาติเล่าให้ฟังว่า สำหรับการสืบสวนคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กในอดีต เจ้าหน้าที่จะใช้วิธีการสืบสวนจากตัวเด็กเพื่อสาวไปให้ถึงตัวคนร้าย โดยใช้หลักการเรื่องการสัมภาษณ์ทางนิติวิทยาศาสตร์ (forensic interview) เข้ามาช่วยในการสืบสวน แต่ความท้าทายของการสืบสวนในคดีลักษณะนี้อยู่ที่ว่า เด็กที่ถูกละเมิดมักจะมีความผูกพันใกล้ชิดกับคนร้าย ฉะนั้นเมื่อมีการสืบจากการสอบถามเด็ก ในด้านหนึ่งอาจจะเป็นการช่วยเพิ่มเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ แต่อีกด้านก็อาจจะเป็นช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้คนร้ายไหวตัวทันหรือง่ายต่อการทำลายพยานหลักฐานก่อนล่วงหน้า

นอกจากนี้ จากประสบการณ์การทำงานในคดีที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็กมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้พบว่า ผู้ต้องหาในคดีลักษณะนี้มักครอบครองภาพอนาจารของเด็กอยู่เสมอ มีงานวิจัยจากหลายๆ หน่วยงานสนับสนุนแนวคิดนี้ ประกอบกับในปี 2558 ประเทศไทยมีการปรับแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดให้การเผยแพร่และครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กถือเป็นความผิด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษปรับเปลี่ยนวิธีการสืบสวน จากเดิมที่สืบจากคำให้การของเหยื่อ มาเป็นการสืบจากภาพลามกอนาจารของเด็กแทน

“เราเปลี่ยนมิติการสืบสวนเสียใหม่และลงมาศึกษาโลกไซเบอร์อย่างจริงจัง ว่าทำอย่างไรเราถึงจะหาความจริงจากโลกไซเบอร์ ซึ่งจะนำไปสู่การช่วยเหลือเด็กในโลกจริงได้ ประกอบกับเมื่อมีกฎหมายสื่อลามกเด็ก เราก็หันมาจับคนร้ายโดนเริ่มต้นจากตัวภาพ ก่อนจะค่อยไปหาต่อว่าเด็กในรูปคือใคร หลังจากที่พบเด็กแล้วจึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการสัมภาษณ์ตัวเหยื่อ จุดเริ่มการสืบสวนมันเปลี่ยนไป เรามีหลักฐานอยู่ในมือครบและคนร้ายก็ถูกจับเรียบร้อย อย่างน้อยเรารู้แล้วว่าคนร้ายเป็นใคร ละเมิดเด็กคนไหน พอคดีหลักๆ เราได้ เราก็ไปต่อได้ นี่ก็เป็นการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์”

Big Data is a key! :
เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจับผู้ร้าย

แม้เราจะมีวิธีการในการสืบสวนที่ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเราจำเป็นต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ (อันแสนชาญฉลาด) ที่จะมาช่วยในการคัดสรรและแกะรอยข้อมูล ยิ่งในยุคที่อาชญากรรมเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ จำนวนของข้อมูลยิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ไหนจะการไร้พรมแดนของอาชญากรรมที่ส่งผลให้การตามสืบเครือข่ายคนร้ายเป็นไปได้ยากมากกว่าที่เคย จนอาจกล่าวได้ว่าแรงของเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการสู้กับข้อมูลจำนวนมหาศาล

ร.ต.อ.เขมชาติ ยกตัวอย่าง ‘คดีเนเน่โมเดลลิ่ง’ เพื่อฉายให้เห็นภาพของการหยิบเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนคดี เขาเล่าย้อนว่าการจับกุมนาย ดนุเดช แสงแก้ว หรือ ‘เนเน่’ เจ้าของโมเดลลิ่งเด็กชื่อดังในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการจับกุมที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นการจับกุมที่ใช้เวลาตามแกะรอยกลุ่มคนร้ายกว่า 4 ปี ตั้งแต่ได้เบาะแสครั้งแรกเมื่อปี 2560 ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ ‘Blackwrist’ ที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษปฏิบัติการร่วมกับ Australian Federal Police (AFP) ในการจับกุมเครือข่ายอาชญากรที่ค้าภาพอนาจารและล่วงละเมิดทางเพศเด็กในหลายพื้นที่ทั้งในไทย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ปฏิบัติการดังกล่าวได้พบไฟล์สื่อลามกอนาจารของเด็กซึ่งเชื่อมโยงกับ ‘เนเน่โมเดลลิ่ง’ ทางดีเอสไอจึงติดตามแกะรอยต่อจนสามารถจับกุมตัวเนเน่ได้ในที่สุด

ความท้าทายของคดีนี้คือ สถานที่ที่พบหลักฐาน เว็บไซต์ที่จัดจำหน่ายสื่อลามกเด็ก ตัวเหยื่อและผู้กระทำความผิด ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทุกองค์ประกอบต่างกระจายตัวกันอยู่ทั่วมุมโลก คำถามที่สำคัญคือเราจะแกะรอยจากสื่อออนไลน์ที่เรามีจนนำไปสู่การจับกุมตัวผู้กระทำความผิดในโลกจริงได้อย่างไร

ร.ต.อ.เขมชาติ ขยายความว่ามีการใช้นวัตกรรมที่หลากหลายเพื่อการสืบสวนคดีครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่การได้รับเบาะแสมาจากระบบ International Child Sexual Exploitation (ICSE) image and video database หรือ ระบบฐานข้อมูลของ ICSE ที่รวบรวมและเปิดให้พนักงานสืบสวนจากทั่วโลกสามารถเข้ามาแชร์ข้อมูลรูปภาพหรือคลิปวิดีโอคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กได้จากทั่วโลก ซึ่งจัดทำขึ้นโดย Interpol

ระบบนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่รวบรวมหลักฐานสื่อลามกอนาจารของเด็กเข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์เปรียบเทียบรูปภาพและวิดีโอ เจ้าหน้าที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างเหยื่อ ผู้ล่วงละเมิด และสถานที่ต่างๆ ได้ในทันที พร้อมกันนี้ตัวระบบยังแก้ปัญหาเรื่องความซ้ำซ้อนของรูปภาพและวิดีโอ ด้วยการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันทีว่าชุดรูปภาพที่ได้มานี้มีการค้นพบในประเทศอื่นแล้วหรือไม่ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ 

แต่ระบบฐานข้อมูลแห่งเดียวไม่เพียงพอที่จะช่วยเป็นเบาะแสในการระบุที่อยู่ของคนร้ายได้ ดีเอสไอจึงใช้ระบบฐานข้อมูลของศูนย์เพื่อเด็กหายและถูกฉวยผลประโยชน์แห่งชาติ (National Center for Missing and Exploited Children หรือ NCMEC) ควบคู่ไปด้วย ซึ่ง NCMEC เป็นหน่วยงานกลางและศูนย์การรายงานการละเมิดทางเพศเด็กแบบครบวงจรในสหรัฐอเมริกา เรียกได้ว่าหาก ‘แพลตฟอร์มผู้ให้บริการสัญชาติอเมริกัน’ เจ้าไหนค้นพบ ‘สื่อที่มีการล่วงละเมิดทางเพศเด็กบนโลกออนไลน์’ ก็จะรายงานข้อมูลนี้ไปทาง NCMEC เพื่อทำการสืบสวนต่อไป โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลงนามความตกลงร่วมกับ NCMEC เพื่อต่อต้านการล่วงละเมิดและแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กไปเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา 

ที่มา : Child Rescue Coalition (CRC)

ร.ต.อ.เขมชาติ เสริมต่อว่าเมื่อถึงขั้นของการแกะรอย ดีเอสไอยังได้รับการสนับสนุนนวัตกรรมที่ช่วยในการแกะรอยจากหน่วยงานพันธมิตรอย่าง Child Rescue Coalition (CRC) ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นองค์การไม่แสวงหาผลกำไรที่คอยช่วยเหลือเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยสร้างเทคโนโลยี (แบบไม่มีค่าใช้จ่าย) เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายเพื่อติดตาม จับกุม และฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก 

CRC มีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Child Protection System (CPS) ที่จะช่วยตรวจสอบไฟล์เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเด็กที่แชร์กันระหว่างบุคคลในเครือข่ายแบบเรียลไทม์ จนสามารถรู้ได้ว่าอาชญากรกำลังดาวน์โหลดและแบ่งปันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมรูปแบบใดบ้างในโลกออนไลน์ จากข้อมูลที่มีนี้ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้เป็นหลักฐานในการข้อหมายค้นได้อย่างทันท่วงทีโดยไม่ต้องรอให้คลิปหรือภาพอนาจารของเด็กเผยแพร่สู่สาธารณะเสียก่อน

ที่มา : Stop Child Abuse – Trace an Object

นอกจากนี้ในด้านการระบุตัวตนอาชญากร ทางดีเอสไอยังใช้เทคโนโลยีในการระบุตัวตนคนร้ายและเหยื่อจากสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในตัวภาพ เช่น รอยสัก ลายเสื้อ หรือโต๊ะคอมพิวเตอร์ ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวเป็นการร่วมมือกันกับศูนย์ต่อต้านการแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กของออสเตรเลีย (Australian Centre to Counter Child Exploitation หรือ ACCCE) โดย ACCCE ได้เปิดเว็บไซต์ให้พลเมืองโลกช่วยกันตามหาร่องรอยของคนร้ายผ่านภาพที่องค์กรได้สืบค้นเจอมา และหากบุคคลใดทราบเบาะแสหรือมีข้อมูลเกี่ยวข้องกับภาพดังกล่าวที่จะช่วยเจ้าหน้าที่สืบหาที่อยู่ของคนร้ายได้ ก็สามารถแจ้งข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านทางหน้าเว็บไซต์ แพลตฟอร์มนี้ก็ช่วยให้เจ้าหน้าที่ประหยัดเวลาในการแกะรอยและทำให้การสืบสวนเป็นไปอย่างแม่นยำมากขึ้น ซึ่งนี่มีค่าเท่ากับการป้องกันเด็กบริสุทธิ์จากการถูกล่วงละเมิดทางเพศได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

สู้ภัยการละเมิดทางเพศเด็กออนไลน์
ด้วย ‘การตระหนักรู้’ ของเยาวชน  

“ปัจจุบันเทคโนโลยีไปไวมาก อาชญากรเองก็รู้เท่าทันเจ้าหน้าที่และมีการพัฒนาแพลตฟอร์มต่างๆ ให้ตรวจจับยากมากขึ้น ฉะนั้นเราเองก็ต้องมีการพัฒนาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะในด้านของนวัตกรรมการสืบสวนต่างๆ หรือทางด้านของกฎหมายที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงตัวอาชญากรได้ง่ายขึ้น ประกอบกับเรื่องของการประสานงานระหว่างประเทศ จะทำอย่างไรให้เราสามารถประสานงานได้รวดเร็วและทั่วถึง ขณะเดียวกันตัวเจ้าหน้าที่เอง นอกจากจะเพิ่มทักษะในการสืบสวนรูปแบบใหม่แล้ว ก็ต้องมีจำนวนที่เพียงพอต่อคดีที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อให้เราสามารถรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที” 

ร.ต.อ.เขมชาติ ให้ความเห็นถึงทิศทางในอนาคตของการสืบสวนคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กออนไลน์ว่า แม้ตอนนี้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศจะมีความแน่นแฟ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะกับทางศูนย์ ACCCE จากออสเตรเลีย หรือทาง NCMEC จากสหรัฐอเมริกาเป็นต้น แต่เขากลับมองว่านี่ยังไม่เพียงพอกับคดีที่เกิดขึ้น

โดย ร.ต.อ.เขมชาติย้ำว่าทุกภาคส่วนต้องเดินหน้าขับเคลื่อนและร่วมแรงร่วมใจในการส่งต่อหรือกระจายข้อมูลกันให้มากกว่านี้ เพราะเหมือนที่ได้กล่าวไปในตอนต้น หน้าตาของอาชญากรรมไซเบอร์ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว อาชญากรและเหยื่อเชื่อมต่อกันอย่างไร้พรมแดน ไม่ว่าจะในด้านพื้นที่หรือในด้านของภาษา ฉะนั้นตัวเจ้าหน้าที่เองก็จำเป็นต้องเชื่อมต่อการทำงานอย่างไร้พรมแดนเช่นกัน 

ร.ต.อ.เขมชาติยังมองต่อไปอีกว่าปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศออนไลน์เด็ก เป็นปัญหาที่ยากจะคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต และยังฝากรอยแผลเป็นใหญ่ไว้ในใจของเหยื่อ ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งดีเอสไอเองก็ได้มีการเผยแพร่ความรู้เรื่องความปลอดภัยในโลกไซเบอร์สำหรับเยาวชนมาโดยตลอด 

“อย่าลืมว่าโลกไซเบอร์เป็นโลกที่สามารถเข้าไปแตะตัวเด็กได้ทันที ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเด็กต้องเข้าใจ ถ้าเด็กเข้าใจว่าสิ่งนี้คือภัยคุกคามต่อตัวเขา ต่อให้อาชญากรจะมาด้วยกลอุบายแบบไหนเด็กก็ไม่มีทางหลงเชื่อ เราจำเป็นจะต้องเสริมทักษะการรู้เท่าทันให้กับเยาวชน เพื่อให้เขามีภูมิคุ้มกันต่อภัยที่จะเข้ามา เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเด็กได้รับวัคซีนในเรื่องนี้ ถ้าเด็กมีวัคซีน มีภูมิคุ้มกันที่ดี ถึงอย่างไร คนร้ายก็ไม่สามารถทลายภูมิคุ้มกันนี้เข้าไปได้ หน้าที่ของเราคือจะทำอย่างไรถึงจะทำให้เด็กได้รับวัคซีนไวและทั่วถึงมากที่สุด” 


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save