ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
ช่วงต้นปี 2018 มีข่าวว่ารัฐบาลเนเธอแลนด์พิจารณาการ ‘ปิดคุก’ ถึง 4 แห่ง เนื่องจากไม่มีนักโทษเพิ่มขึ้นเลย การ ‘เปิดคุก’ ไว้ จึงเป็นการสูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ ปัจจุบันนักโทษในเนเธอแลนด์ลดลงเหลือ 13,500 คน คิดเป็นอัตราส่วนต่อประชากรทั้งหมดเพียง 57 ต่อ 100,000 คน นับว่ามีอัตราต่ำที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
ภาพคุกว่างเปล่าที่ว่า อาจไม่ใช่เรื่องคุ้นเคยเท่าไรนักในประเทศไทย สิ้นปีที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ต้องขังในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 386,000 คน แต่เรือนจำสามารถรองรับได้เพียงแสนกว่าคนเท่านั้น ปริมาณนักโทษที่สูงกว่าพื้นที่เรือนจำ 3 เท่านี้ จึงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข ไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณการดูแลผู้ต้องขังเท่านั้น แต่การพัฒนามนุษย์ให้คืนสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ในงานเสวนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 8 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพ ในหัวข้อ ‘จากเรือนจำสู่ชุมชน : ลดช่องว่าง สร้างโอกาส และเสริมสร้างความยุติธรรมในสังคม’ ที่จัดโดย สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับผู้ต้องขังไว้อย่างน่าสนใจ คือ Beyond Prison – การสร้างโอกาสและส่งเสริมการกลับสู่สังคม และ Besides Prison – อนาคตของการใช้มาตรการที่มิใช่การคุมขังในประเทศไทย ทั้งสองประเด็นนี้พูดถึงปัญหาสำคัญในการจัดการผู้ต้องขังคือ ปัญหาคนล้นเรือนจำ และปัญหากระทำผิดซ้ำเพราะไม่อาจคืนสู่สังคมได้
ปัญหาใหญ่ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ แม้ ‘ผู้ต้องขัง’ จะกลายเป็นเพียง ‘อดีตผู้ต้องขัง’ แต่การกลับเข้ามาสู่สังคมโดยได้รับการยอมรับก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่แค่เสียงติฉินนินทาของคนรอบข้าง แต่การใช้ชีวิต ‘ได้จริง’ ก็เป็นเรื่องยากลำบาก เช่น การหางานทำ การอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้าน การได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ ฯลฯ ยังคงเป็นอุปสรรคอย่างมาก แม้ว่าเขาจะได้รับโทษไปแล้ว แต่เมื่อพ้นโทษออกมา ก็ยังต้องรับโทษจากสังคมอีกต่อหนึ่ง โดยที่ไม่รู้เลยว่าโทษนั้นจะจบลงเมื่อใด
เพราะเหตุนี้ จึงมีการพยายามแก้ปัญหา ช่วยให้อดีตผู้ต้องขังกลับสู่สังคมได้อย่างเป็นปรกติ มีชีวิตอย่างที่เรียกว่า ‘ชีวิต’ จริงๆ
เรือนจันแลนด์ – สร้างความสัมพันธ์เรือนจำกับชุมชน
“เราอยากเห็นคนเหล่านี้มีความสุข เพราะเขาอยู่ในดินแดนต้องห้ามและต้องคำสาป ดังนั้นการที่จะนำพาคนเหล่านี้ให้หลุดพ้น เราต้องคิดโจทย์หลายเรื่อง”
ความเชื่อ ความหวัง และความฝัน คือแนวคิดสำคัญในการทำ ‘เรือนจันแลนด์’ ของชาญ วชิรเดช ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดจันทบุรี เรือนจำที่สร้างงานและสร้างพื้นที่ให้คนในชุมชนได้เข้ามารู้จักกับเรือนจำ ว่าไม่ใช่ดินแดนลึกลับและอันตรายอย่างที่คิด ชาญยังกล่าวอีกว่า “การคืนคนดีสู่สังคม จะไม่ทิ้งใครเอาไว้ข้างหลัง เราจะต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในสู่ภายนอก และไม่ติดกับดัก”
โจทย์ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการแก้ปัญหาการกระทำผิดซ้ำ ที่เรือนจำจังหวัดจันทบุรีมีการกระทำผิดซ้ำ 25 เปอร์เซ็นต์ และมีการกระทำผิดซ้ำของผู้หญิง 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 2,500 คน มีผู้ต้องขังหญิงประมาณ 300 คน ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาจึงจำเป็นต้องเข้าใจปัญหาที่แท้จริงก่อน ทั้งการควบคุมผู้ต้องขังและการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ให้เกิดการยอมรับในท้ายที่สุด การเปิดเรือนจำสู่สังคมจึงเป็นทางออกที่จะแก้ปัญหาที่ว่านี้ ทำให้คนมองว่าเรือนจำแห่งนี้พัฒนาแล้ว ทั้งในเชิงพื้นที่และคน
“เราเริ่มด้วยการสร้างแบรนด์ขึ้นมาชื่อ ‘เรือนจันเฮ้าส์’ ผลิตขนมขาย แล้วมีส่วนราชการ โรงแรมในจังหวัดจันทบุรีมาอุดหนุน เดือนหนึ่งก็ขายได้หลายแสน การเปิดเรือนจำสู่สังคมนั้นยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ก็ต้องเปิดให้เห็นว่าคนเหล่านี้ที่ผิดระเบียบ ผิด norm จากสังคม เขาอยู่ในระเบียบ เคารพกฎ ต้องให้หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด และคนในจังหวัดเข้ามาดูการสวนสนาม ดูกิจกรรม ก็จะเห็นว่าคนเหล่านี้อยู่ในระเบียบวินัยดี” ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดจันทบุรี อธิบายโมเดลการพัฒนาคนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนกับเรือนจำ
นอกจากนี้ยังมีการจัดกาแฟสัญจรในเรือนจำ ให้คนภายนอกที่ไม่เคยเห็นเรือนจำได้เห็นพื้นที่นี้ในมิติใหม่ ว่าภายในมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาทั้งรสชาติอาหาร การบริการ การแสดง ในหนึ่งปีมีการประกวด ‘The Chan star บุกแดนค้นหาจัน’ ให้ผู้ต้องขังได้แสดงความสามารถ ซึ่งรางวัลคือการเข้าทำงานที่ร้านอาหาร หลังจากพ้นโทษไปแล้ว มีรายได้เดือนละ 2-3 หมื่นบาท
รวมถึงมีโรงงานกระเบื้องที่รับคนเข้าทำงานไปเช้าเย็นกลับขณะยังเป็นผู้ต้องขัง เมื่อพ้นโทษออกมาโรงงานก็รับเข้าทำงานทันที ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดจันทบุรีอธิบายว่า การพัฒนาเรือนจำนี้คือการสร้าง Business Model มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเกษตร ร้านนวด และร้านคาร์แคร์ ซึ่งทั้งมวลมีเป้าหมายคือการผลิตออกไปสู่ตลาดอย่างจริงจัง
การสร้างการยอมรับ ไม่ใช่แต่เพียงการสร้างโมเดลพัฒนาเรือนจำเท่านั้น หากแต่คนในชุมชนเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้อดีตผู้ต้องขังกลับมาสู่สังคมได้อย่างเป็นปรกติ เพราะการยอมรับคือแขนที่โอบอุ้มผู้คนอย่างอบอุ่นที่สุด โดยคุณชาญ ได้เข้าไปพูดคุยกับหลายภาคส่วนในจังหวัดเพื่อทำให้การมีส่วนร่วมเกิดขึ้นได้จริง
“คนเหล่านี้อยู่กับท่านมาทั้งชีวิต เกิดมาอยู่ในสภาพแวดล้อมของท่าน แต่มาอยู่กับผมเพียงแค่ 2-5 ปี แล้วคาดหวังให้ผมคืนคนเหล่านี้กลับสู่สังคม ผมก็บอกเขานะว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะการจะคืนคนเหล่านี้กลับสู่สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ พ่อแม่พี่น้องในจังหวัดนี้จะต้องเข้ามาร่วมทำกิจกรรม ร่วมสร้างโมเดลด้วยกัน”
ปัจจุบันตัวเลขการกระทำผิดซ้ำของอดีตผู้ต้องขังลดลงเหลือเพียง 6 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของผู้หญิงเหลือเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ตัวเลขการมีงานทำยังเพิ่มขึ้นสูง จากเดิม 10 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นการพัฒนาที่เห็นผลได้จริงจากการมีส่วนร่วมของคนในสังคม
ดอยฮางโมเดล – แก้ปัญหายาเสพติดเชิงพื้นที่
โครงการลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่จังหวัดจันทบุรีเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายที่ที่พยายามสร้างความร่วมมือของคนในชุมชน และพยายามลดการกระทำผิดซ้ำ เช่นที่เรือนจำชั่วคราวดอยราง จังหวัดเชียงราย ที่ทำ ‘ดอยฮางโมเดล’ เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดเชิงพื้นที่
“สิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้เป็นภาพสะท้อนจากผลผลิตที่ผิดเพี้ยน สังคมต้องมาคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือตอนนี้คนล้นเรือนจำ ส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด และส่วนใหญ่เป็นคนตัวเล็กตัวน้อย เป็นคนจน อยู่ในวงจรแบบนี้ เข้าๆ ออกๆ คุกเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่างานป้องกันเรามีปัญหา เราต้องทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับงานป้องกัน ทำไมคนไทยเข้าไปอยู่ในวงจรแบบนี้เยอะมาก” วัชรพงษ์ พุ่มชื่น นักพัฒนางานวิชาการสารเสพติด จากศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ทำงานแก้ปัญหายาเสพติดเชิงพื้นที่มากว่า 20 ปี กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
ปัญหาเรื่องเมทแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า กลายเป็นปัญหายาเสพติดแบบใหม่ ที่เจ้าหน้าที่ยังต้องทำความเข้าใจและหาวิธีแก้ปัญหาอีกมาก วัชรพงษ์เล่าถึงโครงการ ‘กำลังใจดอยฮาง’ ที่ตอนนี้ทำมาถึงรุ่นที่ 6 คอยติดตามผู้พ้นโทษและคอยช่วยเหลือชีวิตหลังออกจากเรือนจำ เริ่มติดตามตั้งแต่ได้รับการปล่อยตัววันที่ 13 ตุลาคม 2559 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาทั้งหมดกว่า 800 วัน
จากนักโทษคดียาเสพติดประมาณ 40 คน มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พบว่า 14 คนที่มีแนวโน้มจะกลับไปยุ่งเกี่ยวกับคดีค้ายาเสพติด และผลก็ออกมาอย่างที่คาด มีคนกลับไปเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดอีก 5 คน ซึ่ง 2 คนในนั้นเสียชีวิต คนแรกหลบหนีด่านด้วยการกระโดดลงน้ำแล้วจมน้ำเสียชีวิต ส่วนคนที่สองเสียชีวิตจากการเสพยา
“ผมตั้งข้อสังเกตว่าเราไม่ใช่เขา เราไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเขาถึงเสพหรือค้า เรากำลังคิดแทนเขาหรือเปล่า” วัชรพงษ์กล่าว
“เมื่อลงพื้นที่ไปดูจริงๆ เจ้าหน้าที่พบว่า คนที่พ้นจากระบบยุติธรรมออกมาแล้ว การจะยืนอยู่ในชุมชนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเชิงทฤษฎีดูเหมือนว่าจะปรับใช้ได้ แต่ความจริงอีกชุดคือ ยังมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้คนไปกระทำความผิดมากกว่านั้น ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ไม่มีใครพูดถึง คือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”
จากการสัมภาษณ์ผู้พ้นโทษ พบว่า 3 สิ่งแรกที่ทำหลังจากออกเรือนจำคือ ซื้อโทรศัพท์เพื่อเปิดเฟซบุ๊ก ดื่มฉลอง และมีเซ็กซ์
นอกจากอบายมุขจากโลกภายนอกจะมีส่วนทำให้อดีตผู้ต้องขังเข้าสู่วงจรเดิมแล้ว ในความเป็นจริง การจะกลับเข้ามาทำงานก็เป็นเรื่องยาก ทั้งปัญหาความยากจนที่ไม่อาจขยับฐานะทางชนชั้นขึ้นมาได้ง่าย ยังไม่นับปัจจัยรอบข้าง เช่นเพื่อนฝูง คนรัก ความสนุกตื่นเต้นของวัยรุ่น หรือบรรยากาศในการเสพยา ก็แทบจะเป็นแม่เหล็กที่รุนแรงกว่าการกลัวการกระทำผิด หรือคิดถึงครอบครัว การขายยาที่ได้กำไรมหาศาลจึงเป็นทางออกที่สะดวกที่สุด
“นี่คือความจริงของคนตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในสังคม แล้วผิดพลาดเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เราต้องเอาความจริงชุดนี้มาคุยกันให้เยอะขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะแก้ไขปัญหาในเชิงภาพฝันเกินไป” วัชรพงษ์กล่าวสรุป
สร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้ต้องขัง
ไม่ใช่แค่หน่วยงานภาครัฐเท่านั้น แต่ยังมีคนธรรมดาที่ลุกขึ้นมาเปิดพื้นที่ให้อดีตผู้ต้องขัง ได้มีงานและรายได้หลังจากพ้นโทษออกมาแล้ว เช่น นายแพทย์พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์วิสาหกิจสุขภาพชุมชน (SHE) ผู้ทำให้คนเห็นว่า โอกาสยังมีเสมอในสังคม โดยเปิดรับอดีตผู้ต้องขังเข้าทำงานใน บ้านกึ่งวิถี ‘เธอ’ เปิดนวดดัดจัดสรีระสำหรับคนทั่วไป เริ่มต้นจากการนำความรู้ทางการแพทย์มาใช้ในธุรกิจแบบ Social Enterprise แล้วจึงค่อยขยับมาที่การเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขัง
“วันหนึ่งผมเข้าไปในเรือนจำแล้วพบว่า มีผู้หญิงตั้ง 5,000 คนอยู่ในนี้ แล้วหลายคนพูดตรงกันว่าอยากได้โอกาสมีอาชีพ ผมเลยลองทำดูว่า ถ้าผมเอาคนเหล่านี้ฝึกอาชีพก่อนปล่อยออกจากเรือนจำ พอถึงเวลาปล่อยแล้วค่อยมาอยู่กับผม ให้เขามากินมาอยู่ที่นี่เลย แล้วก็หางานให้อย่างต่อเนื่อง” นายแพทย์พูลชัยกล่าวถึงที่มาของบ้านกึ่งวิถี ‘เธอ’
เมื่อทำไปสักพักจึงเจอปัญหาเรื่องความยั่งยืนและปัญหาภายในเรือนจำ นายแพทย์พูลชัยจึงเข้าไปเป็นกรรมาธิการแก้กฎหมาย เอาทีมไปนวดที่สภาอยู่ 6 เดือนเพื่อให้รัฐเห็นความสำคัญ เขียนเป็นกฎหมายประกันสังคม เปิดพื้นที่ให้คนประมาณ 13 ล้านคนในการทำงาน ต่อมาจึงเข้าไปร่วมแก้ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เสนอโมเดลให้พักโทษได้ตั้งแต่ 1 ใน 3 ของการรับโทษ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ จึงทำให้มีคนที่ออกจากเรือนจำก่อนเวลาเพื่อมาทำงานได้มากขึ้น
“ผมดึง Social impact investment เข้ามา ทั้งจากบริษัทรัฐวิสาหกิจ จากบริษัทมหาชน จากบริษัททั่วไป เข้ามาเตรียมจ้างงานคนเหล่านี้ ตั้งแต่ก่อนปล่อย และเมื่อปล่อยแล้วก็มีโควตางานประจำ และถ้าหากผ่านการประเมิน พวกเขาก็ได้รับค่าแรงเหมือนคนปกติ มีชีวิตเหมือนคนปกติ ตอนเช้ามาทำงาน ตอนเย็นกลับบ้าน หรือจะอยู่ที่บ้านกึ่งวิถี ‘เธอ’ ก็ได้”
Social impact investment หรือการลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบในสังคม เป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุนเพื่อสังคมที่ต้องการสร้างแรงกระเพื่อมและพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น จากการทำโครงการมาทั้งหมด นายแพทย์พูลชัยสรุปว่า ถ้าไม่อยากให้ผู้พ้นโทษกลับไปกระทำผิด มีอยู่ 2 ประเด็นในการแก้ปัญหาคือ 1.มีที่อยู่และมีทางเลือกให้ และ 2.มีอาชีพที่หลากหลาย แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นงานที่มีลูกค้ามากพอ รวมถึงมีการมาซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอ ผู้พ้นโทษจึงจะอยู่ได้ และคนเหล่านี้ต้องได้สิทธิมากกว่าคนอื่นที่จะได้รับงานนี้
“ภาครัฐหรือภาคชุมชนติดกับคำว่าชุมชนที่เป็นหมู่บ้าน แต่ผมพบว่าชุมชนโรงงาน ชุมชนคนใช้ BTS ชุมชนคนใช้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ชุมชนเหล่านี้อ้าแขนเปิดรับ เขาไม่สนใจหรอกว่าคุณเป็นใคร แต่ถ้าคุณให้บริการตรงนี้ได้ดี แล้วตอบโจทย์เรื่องอาชีพ คือมีอาชีพที่ดี จึงไม่กลับไปอีก ผมมองหาชุมชนที่ให้เขาอยู่ร่วมกันเป็นบ้านกึ่งวิถี และผมมองหาชุมชนซึ่งมีเงิน มีคนจำนวนมหาศาล และไม่สนใจด้วยว่าคุณเคยก้าวพลาดหรือเปล่า” นายแพทย์พูลชัยกล่าวสรุป
การสร้างภาพจำแบบใหม่ของผู้ต้องขัง
นอกจากการสร้างพื้นที่และโอกาสในเชิงรูปธรรมแล้ว การสร้างภาพจำแบบใหม่ของคนในสังคมต่อผู้ต้องขังและผู้พ้นโทษก็เป็นเรื่องจำเป็น ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า คนส่วนใหญ่ในโลกและประเทศไทย ไม่มีประสบการณ์เห็นภาพจริงในเรือนจำ จึงไม่เข้าใจว่าผู้ต้องขังมีชีวิตความเป็นอยู่ เงื่อนไข เหตุผล หรือความจำเป็นของชีวิตแบบใด แต่เห็นภาพเหล่านี้จากสื่อ จึงทำให้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน จนถึงขั้นไม่เข้าใจผู้ต้องขังเลย ซึ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่ภาพที่เป็นจริง การแก้ปัญหาภาพจำและภาพลักษณ์ของผู้ต้องขังจึงเป็นสิ่งที่ควรขับเคลื่อนไปควบคู่กัน
“ในพื้นที่ของข่าว ละคร ภาพยนตร์ จะมีการนำเสนอภาพในเชิงเกี่ยวกับคุกหรือชีวิตนักโทษในทางลบ ยังฝังภาพความรุนแรงเอาไว้ ทำให้เวลาคนทั่วไปนึกถึงภาพเรือนจำ จึงหนีไปไม่ได้ว่าเขากำลังถูกกระบวนการ internalization ของสื่อกระทำการสร้างความเชื่อฝังหัว เพราะตั้งแต่เราเกิดจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในทุกวันนี้ เราเรียนรู้ความจริงของโลกจากสื่อเกินกว่าค่อนชีวิต เพราะฉะนั้นการผลิตซ้ำและนำเสนอผ่านสื่อซ้ำๆ ก็จะทำให้เกิดความเชื่อฝังหัวบางอย่าง” ดร.ชเนตตี กล่าว
“เราสามารถสังเกตได้เลยว่าไวยากรณ์หลักที่สื่อนำเสนอเรื่องพวกนี้ จะหนีไม่พ้นการปรากฏภาพกำแพงสูง ลวดหนาม ลูกกรง ผู้คุม นักโทษ โซ่ตรวน ไม้กระบอง และการสร้างบรรยากาศที่ดูหม่นมัว ใช้เฉดสีดำ เทา แดง เป็นต้น สัญลักษณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าใจว่าชีวิตในเรือนจำเกี่ยวข้องกับเรื่องความทุกข์ ความสิ้นหวัง ความตาย การขาดอิสรภาพ และความรุนแรง”
ดร.ชเนตตีอธิบายต่อว่า นอกเหนือจากเรื่องความสิ้นหวังแล้ว ยังมีการนำเสนอเรื่องความรุนแรงทางเพศ ตั้งแต่การทำอนาจารไปจนถึงการข่มขืนที่เกิดขึ้นในเรือนจำ แต่จากการเข้าไปทำงานในฐานะอาสาสมัคร เธอพบว่าในเรือนจำมีความงดงามของความรัก ความสัมพันธ์ของผู้ต้องขังที่เป็นกำลังใจให้กัน แต่ขณะเดียวกัน สื่อก็ยังมีการนำเสนอทั้งเรื่องเพศ และเรื่องที่ส่งผลต่อจิตใจ เช่น การถูกเลือกปฏิบัติ การสร้างความอยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ และทำให้ผู้ต้องขังไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือสร้างสภาพแวดล้อมในเรือนจำให้เต็มไปด้วยอบายมุขและการทะเลาะวิวาท ทั้งหมดนี้จึงทำให้ภาพของผู้ต้องขังอยู่ในมุมมืด และแปลกแยกจากคนในสังคมไปเรื่อยๆ
“ภาพแทนในเรือนจำเป็นภาพของสังคมชนชั้น ทั้งระหว่างผู้คุมกับนักโทษ และระหว่างผู้ต้องขังด้วยกันเอง ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าสื่อเชื่อว่าในระบอบของเรือนจำ เต็มไปด้วยพื้นที่ของการใช้อำนาจ มากำกับให้สื่อสร้างภาพความรุนแรงออกไป
“สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในประเทศไทย ไม่ค่อยมีความจริงจังมากเท่าที่ควรในการทำงานที่จะเข้าไปรื้อทลายภาพแทนในลักษณะแบบนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องราวในเรือนจำจึงเป็นประเด็นโศกนาฏกรรมที่สื่อต้องการสะท้อนออกมา มากกว่าที่จะเป็นพื้นที่ของการสร้าง empowerment พื้นที่ของการฟื้นฟู หรือการสร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างคนในเรือนจำและคนที่อยู่ภายนอกเรือนจำ
“เพราะฉะนั้นจะมีงานน้อยชิ้นมาก ที่นำเสนอในเชิงของ empowerment แต่ในขณะเดียวกันภาพที่ถูกนำเสนอมากคือ สื่อจะไม่ค่อยให้โอกาสกับผู้ต้องข้องที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ตัวอย่างสื่อที่ empowerment ผู้ต้องขัง อย่างเห็นได้ชัด โดยสร้างภาพจำใหม่ของผู้ต้องขัง คือ มิวสิควิดีโอเพลง แด่ศาลที่เคารพ ของน้อย วงพรู ที่นำเสนอภาพหลากหลายของผู้ต้องขัง กระทบใจผู้รับชม
“สื่อที่จะสามารถเขย่าด้านในของผู้ชมได้ ต้องสร้าง Self-reflection ให้เกิดขึ้น เวลาที่ผู้ชมดูสื่อนั้นๆ เขาจะต้องรู้สึกสะท้อนสิ่งที่ได้ดูกลับเข้าสู่ตัวตนเขา นหมายความว่า ถ้าผู้ชมได้ดูมิวสิควิดีโอ ภาพยนตร์ ละคร หรือสารคดี แล้วเขาเห็นตัวเองปรากฏอยู่ในสื่อ นั่นคือเกิดกระบวนการ Self-reflection แต่งานสื่อมวลชนทั่วไปไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาหรือเรื่องเล่านั้นๆ” ดร.ชเนตตีกล่าวสรุป และมีข้อเสนอแนะว่า
“ดิฉันอยากเสนอให้สื่อมาทำงานในส่วนของการเปลี่ยน paradigm ต้องเคลื่อนจากการคิด วิเคราะห์ ใช้ฐานหัว มาสู่การใช้หัวใจเพื่อเปิดรับประเด็นที่มีความเปราะบางอ่อนไหวมากขึ้น หมายรวมถึงหลักสูตรที่ผลิตบัณฑิตด้านสื่อมวลชนทั่วประเทศ ก็จะต้องปรับกระบวนทัศน์ในการสอนใหม่ แทนที่จะสอนให้นิสิตคิดวิเคราะห์ จนกระทั่งละเลยการใช้หัวใจเพื่อเข้าใจความหลากหลายของความเป็นมนุษย์ในสังคม”
ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world