fbpx

‘ปริศนา-บ้านทรายทอง’ มายาภาพความก้าวหน้าของผู้หญิงไทย และการครองอำนาจนำของฝ่ายอนุรักษนิยมยุคหลังสงคราม

สังคมไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นยุคที่มีความซับซ้อนทางการเมืองและสังคมที่เขย่าอุดมการณ์สมัยปฏิวัติสยาม 2475 เป็นอย่างยิ่ง มีจุดเปลี่ยนสำคัญทางด้านการเมืองหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ที่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองนำไปสู่การรัฐประหาร และฉีกรัฐธรรมนูญครั้งแรกในปี 2490 จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่การรัฐประหารทุกครั้งจะนำมาสู่การฆ่ารัฐธรรมนูญไปด้วย

นอกจากการเขียนรัฐธรรมนูญแล้ว ข้อเขียน บทความ หนังสือ ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์แบบอนุรักษนิยม เสรีประชาธิปไตย หรือสังคมนิยม ล้วนมีโอกาสเผยแพร่ในตลาดวรรณกรรมอย่างกว้างขวาง ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายอยู่ได้ด้วยตลาดการอ่านเช่นนี้ หนังสือพิมพ์ นิตยสารเป็นพื้นที่ในการปล่อยของของเหล่านักเขียนไม่ว่าจะรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ในที่นี้จะกล่าวถึงผลงานสองเรื่องได้แก่ บ้านทรายทอง ของ ก.สุรางคนางค์ ที่ตีพิมพ์ในปิยมิตร ช่วงปี 2493 และ ปริศนา ของ ว. ณ ประมวญมารค ที่ตีพิมพ์ลงในเดลิเมล์วันจันทร์ ช่วงปี 2494

ความน่าสนใจของนิยายทั้งสองคือ กลายเป็นเรื่องที่ถูกผลิตซ้ำข้ามยุคข้ามสมัยมาจนถึงในปัจจุบัน บ้านทรายทอง ล่าสุดถูกสร้างเป็นละครช่อง 7 ส่วน ปริศนา ถูกนำมาสร้างเป็นละครช่อง PPTV ทั้งคู่ผลิตขึ้นในปีเดียวกันคือ 2558 หลังรัฐประหารครั้งล่าสุดเพียง 1 ปี หรืออาจเรียกว่าอยู่ในช่วงที่ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งยังอยู่ในช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์กับรัฐบาล คสช. ภายใต้โครงการทางวัฒนธรรมอย่างรายการโทรทัศน์ ‘คืนความสุขให้คนในชาติ’ การอัดฉีดค่านิยม 12 ประการเข้าสมองนักเรียน ฯลฯ

ในยุคที่บ้านทรายทองและปริศนาถือกำเนิดขึ้น นางเอกเป็นภาพตัวแทนความเป็นหญิงที่ก้าวหน้าอย่างยิ่งของยุคสมัย หญิงสาวที่มั่นใจและหยิ่งในเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ ก.สุรางคนางค์เขียนใน หญิงคนชั่ว (2480) พจมาน พินิตนันท์แห่งบ้านทรายทอง คือชนชั้นกลางที่มีพ่อเป็นถึงอดีตข้าหลวงจังหวัดที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี ต่างจากรื่น (ชื่อเดิม ‘หวาน’) ในเรื่องหญิงคนชั่วที่เป็นลูกชาวนา ความคล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือทั้งคู่เกิดและเติบโตในต่างจังหวัด แต่รื่นเป็นเพียงโสเภณีที่หัวใจและศักดิ์ศรีถูกย่ำยี่จนแหลกสลาย

ส่วนปริศนา สุทธากุล ในเรื่องปริศนา แม้จะอาศัยอยู่ในเขตชานเมืองของกรุงเทพฯ แต่มีความเกี่ยวพันกับญาติๆ ในตระกูลสูง ทั้งพจมานและปริศนา ต่างเป็นผู้หญิงที่ล้ำหน้ากว่าผู้หญิงในยุคสมัยของพวกเธอ หากมองโดยผิวเผินแล้ว ทั้งคู่คือนิยายที่สะท้อนความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งคู่อาจมองได้ถึงขนาดว่าเป็นปากเป็นเสียงให้กับผู้หญิงในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ความน่ากังขาของ ปริศนา คือผู้เขียนก็อ้างว่าเริ่มเขียนตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่มาเริ่มตีพิมพ์ก็อยู่ในช่วงปี 2494 แล้ว ในตัวบทจะเห็นถึงการลง พ.ศ. ในจดหมายว่าอยู่ในทศวรรษ 2480 ก่อนจะเกิดสงครามโลก และจนจบเรื่องก็ไม่มีการกล่าวถึงสงครามโลก การบุกของทหารญี่ปุ่นใดๆ แต่ความเป็นปริศนาได้ถูกเผยแพร่และตีความจากสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเมื่อนำรูปผู้หญิงคนหนึ่งที่รูปลักษณ์สวยเก๋ทันสมัยมาลงในปริศนาฉบับรวมเล่มเมื่อปี 2495[1] แทบจะทำให้ปริศนากลายเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตเลือดเนื้อ

วาสนา กระแสสินธุ์ หญิงสาวที่ถูกนำมาลงในนิยายปริศนาฉบับรวมเล่มในปี 2495 ที่เสริมสร้างตัวตนของปริศนาให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่สวย สง่า มั่นใจ แม้จะนุ่งกางเกงขาสั้นที่ผิดแผกจากรสนิยมการแต่งกายหญิงส่วนใหญ่ในสมัยนั้น / ที่มาภาพ: เรื่องเล่าจากลาดพร้าวหนึ่ง

ตัวตน เรือนร่างและโลกของสตรีหลังสงคราม

จะเห็นว่าทั้งบ้านทรายทองและปริศนา เป็นนิยายที่ผู้หญิงเป็นตัวนำและชีวิตของพวกเธอคือแกนหลักของเรื่อง เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในเรื่องจะถูกรายล้อมไปด้วยผู้หญิง หรืออาจเรียกได้ว่าส่วนหนึ่งแล้วพวกเธออยู่ในโลกของผู้หญิง ในเวลาใกล้เคียงกัน สี่แผ่นดิน (เริ่มเขียนลงเป็นตอนๆ ในสยามรัฐเมื่อปี 2494) ผลงานของคึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เป็นการเล่าโลกในอุดมคติของฝ่ายอนุรักษนิยมไทยผ่านปากและมโนสำนึกของแม่พลอย หญิงผู้ผ่านชีวิตมาถึง 4 แผ่นดิน นอกจากข้อความทางการเมืองแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของสตรีที่เกี่ยวข้องกับพลอยนั้นน่าตรึงตราใจเพียงใดโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในวังกับเสด็จฯ

พจมานกับปริศนาแตกต่างจากแม่พลอยอย่างสิ้นเชิง เมื่อเธอคือผู้หญิงหัวสมัยใหม่ที่มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเองออกไปเมื่อไม่เห็นด้วย ทั้งคู่สูญเสียพ่อไปจากความตายที่ต่างกรรมต่างวาระ อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเธอมีความเข้มแข็งและทนงในศักดิ์ศรีของตนท่ามกลางยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงหลังสงคราม

ในทศวรรษ 2490 เรือนร่างของสตรีถูกทำให้กลายเป็นสินค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จริงอยู่ว่าตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2470 เริ่มมีการประกวดนางสาวสยามในงานฉลองรัฐธรรมนูญมาแล้ว แต่ก็เป็นการจำกัดวงด้วยเทคโนโลยีสิ่งพิมพ์ การจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้ายังไม่แพร่หลาย เมื่อเทียบกับหลังสงครามโลกที่ตลาดการพิมพ์เกิดขึ้นอย่างคึกคักแพร่หลาย ภาพเรือนร่าง ใบหน้า ถูกขับเน้นผ่านนิตยสารต่างๆ ทั้งในระดับประเทศอย่างเช่น เดลิเมล์วันจันทร์ หรือนายทุนเชียงใหม่ที่จัดพิมพ์ นิตยสารคนเมือง ที่เน้นการขายหน้าปกเป็นภาพผู้หญิงเหนือ หรือการทำให้นางงามเป็นสินค้า

สำหรับปริศนาแล้ว เธอเคยเอ่ยปากกับเพื่อนด้วยซ้ำว่าจะไปประกวดนางสาวสยาม เพราะมีจดหมายเชิญมาจากบริษัทสบู่ผู้จะส่งเธอเข้าประกวด จนทำให้คู่สนทนาตกอกตกใจ แม้จะเป็นการล้อเล่น[2] แต่ก็ทำให้เห็นอย่างน้อยสองประการว่า ภาพลักษณ์ของการไปประกวดนางสาวสยามในสายตาของชนชั้นกลางนั้นไม่สู้ดีเท่าใดนัก แต่ขณะเดียวกัน การเปิดเผยเรือนร่างของสตรียุคใหม่นั้นมิได้เป็นเรื่องถึงกับเสียหายอะไร เห็นได้จากชุดเก่งของปริศนาก็คือ การสวมกางเกงขาสั้นที่ถูกบรรยายว่า “กางเกงขาสั้นสีขาว ซึ่งสั้นกว่ากางเกงสั้นทั้งหลาย” [3] ปริศนายังแต่งตัวแบบที่รัตนาวดี ผู้หญิงด้วยกันชมว่า “เสื้อสีแดงแปร๊ด แล้วก็โป๊จัง รูปร่างสวยเหลือเกิน”[4] ปริศนายังถูกมองว่า “เมื่อแรกเห็นว่าเธอเปรี้ยวและโป๊ ต่อมาเห็นว่าเธอแปลก เธอเป็นคนที่หัวไวและฉลาด นพนั้นใครๆ ก็ว่าเขาฉลาด แต่เขา ‘หัวไว’ สู้ปริศนาไม่ยักได้”[5]

เรือนร่างของปริศนาในยุคดังกล่าวจึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้คนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย สาเหตุที่ปริศนาโชว์เรือนร่างได้ก็เพราะว่าผู้เขียนให้พื้นเพว่าเธอถูกเลี้ยงดูมาจากสังคมอเมริกัน แม้จะมีคนมองค่อนขอดใดๆ แต่ปริศนามั่นใจเสียอย่าง ในทางกลับกัน เรือนร่างของพจมานที่สวมกางเกงขาสั้น กลับถูกถูกเหยียดหยามจากหญิงเล็กว่า “แต่งตัวทุเรศตา ยังกะอีผู้หญิงริมถนน”[6] ต่างกับปริศนาที่กลับมาเมืองไทยมีชีวิตที่อบอุ่นรายล้อมไปด้วยครอบครัวและผู้คนที่เป็นมิตร ขณะที่พจมานเดินทางมาจากบ้านนอกมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แทบจะมีแต่ศัตรู

ความงามของผู้หญิงยุคดังกล่าว อาจไม่ได้อยู่ที่สีผิวขาวอมชมพู อย่างปริศนา “แม่ปริศนานี่ก็สีเหมือนแหม่มอาบแดด รูปร่างก็สวย ท่าทางก็เก๋ไก๋พูดฝรั่งเป็นไฟ”[7] แม้กระทั่งรตี ตัวละครที่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวร้ายที่สวยเปรี้ยวในปริศนาก็ “สวยเข้มเหมือนแขก” ขณะที่วิมล เพื่อนหญิงรัตนาวดีก็ “สวยเป็นไทยแท้” และมองย้อนไปว่า “สาวๆ เมื่อก่อนเขาต้องท้วมถึงจะสวย จะได้เต็มเนื้อเต็มหนัง”[8] โดยเฉพาะการชมว่าวิมลสวยอย่างไทยแท้มีการกล่าวคำนี้ถึงสามครั้งต่างสถานการณ์กัน ก็น่าสนใจว่า สวยอย่างไทยแท้เป็นอย่างไร มีฉากงานเลี้ยงที่วิมล “นุ่งผ้าซิ่นจีบสีแดงยกทอง สวมเสื้อสีแดงเกลี้ยงซึ่งเย็บคล้ายสไบเฉียงแบบโบราณ เผยให้เห็นแขนเรียวงาม และรูปร่างค่อนข้างท้วมได้ถนัด” [9] บทบรรยายนี้น่าจะทำให้เห็นภาพ

นอกเหนือจากความเป็นไทยแท้แล้ว แฟชั่นแบบตะวันตกก็เป็นที่นิยมเช่นการแต่งกายในชุดราตรีในงานเลี้ยง หรือการสูบบุหรี่ดังคำว่า “ผู้หญิงโก้เขาต้องสูบบุหรี่”[10] อย่างไรก็ตาม ความเป็นตะวันตกหลายครั้งก็ถูกนำมาใช้เปรียบเปรยในเชิงดูถูกในปริศนา เช่น คำว่า “แหม่มครึ่งชาติจากสิงคโปร์” “แหม่มกะปิ” “ยายโรสตัวออกดำทำตัวเป็นแหม่มจ๋า” [11] หรือถึงขนาดว่า “แหม่มจะสู้ไทยด้วยกันได้หรือ?” [12]

บางครั้งความแตกต่างของทรงผมก็ทำให้บุคลิกของตัวละครเปลี่ยนไปด้วย ตัวเอกที่ไว้ผมเปียมักแสดงภาวะว่า คนคนนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ จึงพบว่าการเปลี่ยนจากผมเปียไปสู่ผมทรงอื่น เป็นการก้าวข้ามสู่ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นพจมานแห่งบ้านทรายทอง หรือหม่อมเจ้ารัตนาวดีน้องสาวของหม่อมเจ้าพจนปรีชา รัตนาวดีในมุมมองของปริศนาเมื่อแรกพบนั้นมองว่า “สวยอะไร หางหมูยาว”[13]  หรือการที่ภาพลักษณ์ของพจมานที่เปลี่ยนไปดังบทสนทนาที่ว่า “ตั้งแต่ตัดผมเปียออกเสีย แลดูสวยและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ความสวยของพจ ทำให้ไอ้นายปฏิเวธกับนายสุทธิพงศ์จะเกิดฟาดปากกัน ไม่รู้หรือ”[14]

อย่างไรก็ตาม ความสวยมิได้เป็นคุณอย่างเดียว คนรุ่นก่อนอย่างแม่นมในบ้านทรายทอง เตือนพจมานที่ออกไปอยู่ตัวคนเดียวว่า “ความสวยเป็นภัยแก่ตัว สวยมากก็ยิ่งมีเรื่องมาก”[15]

เมืองนอก เมืองกรุงและบ้านนอก และความเป็นชาย

ทั้งปริศนาและบ้านทรายทองทำให้เราเห็นสังคมในสามชั้น นั่นคือเมืองนอก เมืองกรุง และบ้านนอก แต่ละพื้นที่ล้วนมีลำดับศักดิ์ความเจริญ-ความมีอารยธรรมที่ลดหลั่นกันไปด้วย ทศวรรษ 2490 ต่างประเทศเป็นเขตแดนที่คนส่วนใหญ่ในไทยน้อยครั้งจะจินตนาการไปถึงได้ คนจำนวนมากอาจรับรู้ผ่านทางภาพยนตร์ นิตยสาร หนังสือ หนังสือพิมพ์ จะมีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้ไปเหยียบต่างประเทศจริงๆ เจ้านายชั้นสูงไม่น้อยได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ หรือมีประสบการณ์เดินทางไปในโลกตะวันตกอย่างช่ำชอง กรณีเช่นนี้ถูกถอดมาอยู่ในตัวละครและฉากในนิยายบางห้วงตอนด้วยซ้ำ

ตัวเอกอย่างหม่อมเจ้าพจนปรีชาแห่งปริศนาเคยถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ ขณะที่หม่อมราชวงศ์ภราดาพัฒน์ระพี (ชายกลาง) ก็มีโอกาสได้ไปดูงานต่างประเทศบ่อยครั้ง การใช้ภาษาอังกฤษก็ดูเป็นความหรูหราและเหนือระดับ เช่นการที่พจนปรีชาพูดหวานกับปริศนาเมื่อมีอารมณ์รักว่า “You are the sweetest girl I have ever known, Prissy”[16]

ความเป็นตะวันตกกับความเป็นชายยังถูกผนวกเข้าด้วยกันภายใต้การสร้างตัวตนของพระเอกกับพระเอกหนังฮอลลีวู้ด กรณีพจนปรีชาถูกนำมาเทียบกับแอรอล ฟลินที่ได้รับบทบรรยายว่า “รูปร่างใหญ่โต มีหนวด แล้วก็สูบกล้องเก๋”[17] ส่วนชายกลางถูกนำมาเทียบกับเจมส์ เมสัน ซึ่งเป็นดาราภาพยนตร์อังกฤษ ซึ่งมีลักษณะคือ “สง่า หน้าดุ พูดน้อย อิริยาบถเคลื่อนไหวช้าๆ เข้าทำนองผู้ดีเก่าอังกฤษที่สุภาพ”[18]

ขณะที่เมืองกรุงคือศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าจะไม่ได้เจริญเท่าเมืองนอก แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักดิ์อำนาจและความมั่งคั่งในใจกลางของประเทศ บ้านทรายทองเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงอดีตอันรุ่งเรืองของผู้มีอันจะกินบริเวณถนนวิทยุ ส่วนบ้านปู่ของปริศนานั้นก็เป็นบ้านขุนน้ำขุนนางที่เก่าแก่ ยังไม่ต้องนับวังริมแม่น้ำพระยาของพจนปรีชาที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าที่ดินอันมั่งคั่ง การบรรยายถึงรถยนต์ยี่ห้อต่างประเทศ เสื้อผ้า แฟชั่นสมัยใหม่ ล้วนบ่งบอกถึงความทันสมัยและความเจริญทางวัตถุ ที่น่าสนใจก็คือ เรื่องราวในกรุงเทพฯ แทบจะไม่พูดถึงวัดหรือกิจกรรมทางศาสนาเลย หากจะพูดถึงก็มีแต่ว่าเป็นพื้นที่ปลีกวิเวกอย่างหญิงใหญ่ในบ้านทรายทองที่คิดว่าบั้นปลายชีวิตจะไปอยู่ที่นั่น

ส่วนบ้านนอกเป็นพื้นที่ตัวประกอบที่มักถูกเหยียดหยาม ดีที่สุดที่เป็นได้ก็คือแหล่งท่องเที่ยวอย่างทะเลหัวหิน ศรีราชา บ้านที่พจมานจากมา ผู้แต่งไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นจังหวัดอะไร เพียงระบุว่าเป็นจังหวัดที่มีรถไฟแล่นไปถึง จังหวัดนี้จึงดูเหมือนไกล แต่ไม่ไกล เหมือนมีตัวตน แต่ไม่มีตัวตน เช่นเดียวกับสภาวะบ้านนอกทั้งหลายในนาม ‘ต่างจังหวัด’ ของคนกรุงเทพฯ

ที่น่าสนใจคือ ทั้งปริศนาและพจมานต่างกำพร้าพ่อ ตัวตนความเป็นชายของพระเอกนี้เองที่เข้ามาช่วยเติมเต็ม ‘พ่อ’ และ ‘ความเป็นชาย’ ที่เธอขาดหายไป ที่น่าสนใจคือกรณีของปริศนาที่ถูกเลี้ยงมาแบบผู้ชายจากอาผู้ชายของเธอที่มีความสนิทสนมกันอย่างมาก การเดินทางกลับมาไทยก็เท่ากับว่า ปริศนาห่างออกไปจากอาผู้ชายที่เสมือนเป็นพ่ออีกคนของเธอ การตกอยู่ในอำนาจความรักของพระเอก ก็คือการที่พวกเธอที่ดูพยศถูกสยบด้วยน้ำมือของความเป็นชายตามครรลองไปด้วย

(ภาพซ้าย) แอรอล ฟลินที่ถูกเทียบกับหม่อมเจ้าพจนปรีชาแห่งปริศนา / ที่มาภาพ: Hubpages
(ภาพขวา) เจมส์ เมสันในภาพยนตร์เรื่อง The Seventh Veil (1945) ที่ถูกเทียบกับหม่อมราชวงศ์ภราดาพัฒน์ระพี (ชายกลาง) แห่งบ้านทรายทอง / ที่มาภาพ: moniqueclassique

เจ้านาย เจ้าชาย เจ้าหญิง กับการกลับมาของอนุรักษนิยมในรูปแบบเทพนิยายหลังสงคราม

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง บรรยากาศที่เคร่งครัดแบบรัฐบาลทหารในช่วงสงครามเริ่มผ่อนคลายลง เช่นเดียวกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบคณะราษฎรถูกโจมตีพร้อมกับข้อครหาคดีสวรรคต ในทางตรงกันข้าม สื่อสิ่งพิมพ์และนิยายฝ่ายอนุรักษนิยม หรือฝ่ายเจ้ากลับมามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มน้ำเงินแท้ หนังสือที่เขียนโจมตีฝ่ายคณะราษฎร อย่างเช่น ยุคทมิฬ (2489) ฝันร้ายของข้าพเจ้า (2491) ความฝันของนักอุดมคติ (2490) หรือนิยายที่สร้างตัวละครฝ่ายนิยมเจ้าที่มีเลือดมีเนื้ออย่าง สี่แผ่นดิน (2494) [19] กระแสอนุรักษนิยมทางสิ่งพิมพ์จึงเป็นการตีกลับอุดมคติช่วงปฏิวัติสยาม โดยจัดวางให้ฝ่ายคณะราษฎรเป็นตัวร้าย ขณะเดียวกันก็รื้อฟื้นและถักทอความดีงามในอดีตที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เจ้าและวังขึ้นมา

เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจก็คือ การอภิเษกสมรสของกษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ที่เกิดขึ้นในปี 2493 ในปีเดียวกับที่บ้านทรายทองเริ่มทยอยตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ และก่อนหน้าปริศนาและสี่แผ่นดินจะตีพิมพ์เพียง 1 ปี ก่อนหน้านั้นชีวิตของกษัตริย์หนุ่มและพระคู่หมั้นถูกนำเสนอเรื่องราวผ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารทั้งในประเทศและในยุโรป ในช่วงต้นของการครองราชย์ อาจกล่าวได้ว่ากษัตริย์หนุ่มได้รับความสนใจจากผู้อ่านอยู่อย่างน้อยสองสถานะ คือ ‘เจ้าชีวิต’ แบบเดิม และในฐานะคนดังหรือ ‘เซเล็บฯ’ ผู้หนึ่ง ดังนั้นเรื่องราวของชนชั้นสูงภายใต้ฉากโลกที่เจริญแล้วจึงอยู่ในความรับรู้และความสนใจของคนไทยส่วนหนึ่งในยุคดังกล่าวอยู่ไม่น้อย

ภาพกษัตริย์รัชกาลที่ 9 และพระคู่หมั้นที่ปรากฏในช่วงปี 2492 / ที่มาภาพ: ปรีดิฉายาลักษณ์

และบังเอิญไปกว่านั้น การ์ตูนวอลต์ ดิสนีย์ได้จัดทำเรื่องซินเดอเรลลาฉายในปี 2493 เช่นกัน ยิ่งทำให้ตอกย้ำเทพนิยายอันโรแมนติกของชนชั้นสูงมากขึ้นไปอีก  

กลับมาที่ปริศนา ฝ่ายพระเอกคือเจ้าชายดีๆ นี่เอง หม่อมเจ้าพจนปรีชาคือผู้ชายในอุดมคติที่มีทั้งรูปสมบัติที่หล่อเหลา มีรูปร่างใหญ่โต มีคุณสมบัติที่มีความประพฤติดี ใจดี มีทรัพย์สมบัติ เป็นเจ้าของวังศิลาขาวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตำหนักมโนรมย์ที่หัวหิน ตำหนักสุขารมย์ที่ศรีราชา และตำหนักที่เชียงใหม่ ถึงขนาดว่า “คนที่ดีจริงๆ ทุกประการอย่างท่านชายหายาก ในร้อยปีอาจมีสักคนหนึ่งกระมัง”[20] ความมั่งคั่งของเขาถูกส่งผ่านมาในฐานะมรดก เขาจึงเป็นบุรุษผู้ดีพร้อม ทั้งยังมีเชื้อสายที่สูงส่ง เขายังมี “เด็จอา” ที่อาศัยอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ที่คอยอบรมสั่งสอนกิริยามารยาทแบบชาววัง ในวังศิลาขาวมีมหาดเล็ก หรือคนรับใช้ในวังที่คอยดูแลความเป็นอยู่ตั้งแต่ตื่นนอน รับประทานอาหาร ฯลฯ อันเป็นตัวแทนความสะดวกสบายที่คนชั้นสูงเท่านั้นจะครอบครองได้

ในทางตรงกันข้าม ในเรื่องบ้านทรายทอง หม่อมราชวงศ์ภราดาพัฒน์ระพี สว่างวงศ์ (ชายกลาง) แม้จะทรงอำนาจ แต่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านจริงๆ พ่อในชั้นหม่อมเจ้าของเขาก็ไม่มีทรัพย์สินติดตัว บ้านทรายทองที่เขาอยู่ก็เป็นมรดกทางฝั่งแม่ น่าสนใจมากว่าบ้านทรายทองตั้งอยู่บนความไม่สมบูรณ์แบบ ที่นอกจากแม่ของชายกลางและหญิงเล็กจะเป็นตัวอิจฉาอย่างแรงกล้า หญิงใหญ่มีสภาพจิตใจไม่ปกติเนื่องจากถูกพรากออกจากคนรักที่ต่างชนชั้น ในบริเวณบ้านยังเป็นที่ตั้งของศพที่ยังไม่ได้ฌาปนกิจ พร้อมกับคราบสังขารที่ยังมีลมหายใจของผู้ชราภาพที่มีชีวิตอันโลดโผนและเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นในยามหนุ่ม บ้านทรายทองจึงเสมือนนิยายที่ตั้งคำถามกับความชอบธรรมของชนชั้นสูงอันน่ารังเกียจอยู่ในที และไม่ได้ผลิตซ้ำภาพในอุดมคติอย่างที่กล่าวมา

คนใช้ ไพร่ สามัญชน คนเลว คนชายขอบ เจ๊ก แรงงาน และผู้ประกอบการในเขตเมือง

ภาพลักษณ์ที่ตรงกันข้ามกับชนชั้นสูงก็คือคนชั้นล่าง เมื่อสำรวจดูจะเห็นการสร้างตัวตนของกลุ่มคนเหล่านี้ไว้อย่างน่าสังเกตไม่ว่าจะเป็นคนใช้ สามัญชน หรือ ‘เจ๊ก’

นิยายทั้งสองเรื่องต่างให้ภาพของครอบครัวชนชั้นสูงและชนชั้นกลางที่จะต้องมี ‘คนใช้’ ติดบ้านไว้เสมอ ปริศนา แม้จะอยู่ในย่านชานเมือง มีสถานะการเงินที่ไม่ได้มั่งคั่งอะไร แต่ก็มีคนใช้อยู่ที่บ้านถึง 5 ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแขกยาม ตาชุ่ม ยายเตียง เด็กชุบ (ลูกตาชุ่มยายเตียง) และจำเนียร[21] ตรงกันข้ามบ้านย่าของปริศนานอกจากจะเป็นบ้านหลังใหญ่และเต็มไปด้วยตึกอันใหญ่โตอันเป็นที่พำนักของพวกขุนน้ำขุนนางเก่าแล้ว ก็เต็มไปด้วยคนใช้ ปริศนาบรรยายว่า “พอไปถึงคนใช้สาวๆ คลานออกมารับรอง เชิญไปนั่งคอยที่หน้าตึก…คอยสักครู่สาวใช้อีก 4 คนก็เอาพรมมาปูอีก 2 ผืน และอีกหลายคนออกมานั่งดูเรา”[22] หรือคำสั่งของรตี ต่อเพียร คนใช้วว่า “นี่เพียร ไปบอกคนรถไป๊ ให้ไปรับเจ้าคุณ… แล้วบอกผินด้วยว่าเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้มาคอยรับใช้””[23] ครอบครัวปริศนาเมื่อยามไปเที่ยวหัวหินแล้วจะกลับรถไฟ ก็จะให้คนใช้ไปซื้อรถตั๋วรถไฟที่สถานี แล้วให้ไปนั่งกันที่ไว้แต่เช้ามืด[24] แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจการควบคุมคนแบบเดิมเพื่อความได้เปรียบในการใช้บริการสาธารณะ นอกจากนั้นคนใช้ในมุมมองชนชั้นกลางแล้ว ก็ไม่ได้เป็นคนที่เท่าเทียมกันนักทางสติปัญญา อย่างที่ปริศนากล่าวถึงเด็กชุบว่า “เด็กคนใช้หน้าโง่คนหนึ่ง” [25]  “เด็กคนใช้ซึ่งโง่จะตาย” [26]

ขณะที่ในเรื่องบ้านทรายทอง การที่พจมานเข้าไปสู่บ้านทรายทองโดยที่เจ้าของบ้านไม่ต้อนรับ ทำให้เธอต้องถูกผลักไปอยู่ในเรือนคนใช้ ทำให้นิยายเรื่องนี้บรรยายให้เห็น space ที่เหลื่อมล้ำกันระหว่างเจ้านายกับคนใช้ได้เป็นอย่างดี พื้นที่ของพจมานและคนใช้ ถูกกันออกจากสายตาของแขกผู้มาเยี่ยมบ้าน ไม่มีสิทธิ์ใช้พื้นที่อย่างห้องน้ำ ห้องกินข้าวร่วมกันกับคุณๆ ในบ้าน อย่างไรก็ตาม บ้านทรายทองก็ทำให้เห็นมิติทางการเมืองของคนใช้ที่ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน คนใช้ก็จะขึ้นอยู่กับเจ้านายแต่ละคนอีก พจมานจึงถูกคนระดับคนใช้กลั่นแกล้งเอา เมื่อคนใช้เป็นคนของคุณหญิงพรรณรายและหญิงเล็ก และเมื่อตระกูลสว่างวงศ์จำต้องย้ายออกจากบ้านเมื่อความจริงเปิดเผย คนใช้ที่ภักดีก็กล่าวว่า “เราเป็นบ่าว ท่านไปอยู่ไหนเราต้องไปด้วย…นายเก่าจะเลวกว่านายใหม่ยังไงได้ เราต้องว่าเจ้านายของเราดีวันยังค่ำ ใครว่าคุณชายกลางของเราไม่ดีเป็นไม่ได้”[27]

แม่ของปริศนาและพจมาน เป็นตัวแทนของสามัญชนที่ได้แต่งงานกับสามีที่รับราชการที่ตระกูลทางสามีไม่ยอมรับ สมร แม่ของปริศนาให้กำเนิดปริศนาหลังพระวินิจมนตรีพ่อของปริศนาตาย ทำให้กลายเป็นข้อครหาว่า ปริศนาใช่ลูกของพระวินิจมนตรีจริงหรือไม่ เมื่อสามีตาย ครอบครัวของสมรก็ต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเสียร ลูกต้องๆ ตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นเพื่อช่วยเหลือทางการเงินของครอบครัว กระนั้น แม่ของปริศนายังมีชื่อปรากฏ แต่แม่ของพจมานไม่ปรากฏกระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม และพบว่าตัวตนของเธอนั้นถือว่าต้อยต่ำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ เป็นโรคหัวใจแล้ว เธอยังไม่สามารถเลี้ยงลูกให้ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น พจมานที่ได้ดีกว่าคนอื่นก็เพราะเธอได้รับการสั่งสอนมาจากพ่อ กระทั่งตัวเธอเองยังตอกย้ำว่าตนเป็น “คนชั้นต่ำ คนเลว”[28] ในความหมายว่าเป็นสามัญชนที่ไม่มีสกุลรุนชาติอะไร ดังคำด่าที่หญิงเล็กบริภาษถึง พจมานว่า “อีคนอาศัย อีพวกชาติไพร่ ลูกคนชั้นต่ำๆ หญิงทนไม่ได้”[29]

คนจีนก็เป็นตัวละครเล็กๆ น้อยๆ ที่แทรกอยู่ในฐานะผู้ผลิต ผู้ให้บริการ และผู้ประกอบการทางสังคมในยุคดังกล่าว ที่น่าแปลกคือ คำว่า ‘เจ๊ก’ ไม่ปรากฏ (หรือหากมีก็น้อยมาก) ในบ้านทรายทอง แต่เราจะพบคำนี้ในปริศนาบ่อยครั้ง ซึ่งในยุคดังกล่าวคำว่าเจ๊กเป็นคำเรียกเชิงดูถูก แต่อย่างไรก็ตาม คนจีนก็มิได้มีสถานภาพที่ดีนัก เห็นได้จากการที่พจนาน้องชายพจมาน ไปได้เสียกับลูกสาวคนเล็กจีนที่ “ก็ไม่ใช่คนดิบคนดีอะไรด้วย ลูกสาวคนเล็กของตาแป๊ะที่เคยเช่าสวน เห็นมันจงรักภักดีก็เลยเวทนามัน”[30] ในปริศนา เจ๊กมีบทบาทสำคัญในหลายกิจการ ไม่ว่าจะเป็นร้านเจ๊กหน้าบ้านที่ขายของชำและเป็นร้านที่มีโทรศัพท์ที่ครอบครัวปริศนาจะใช้ติดต่อไปไหนมาไหน ในฐานะคนส่งของ ‘เรือเจ๊กขายหมู’ [31] เครื่องแต่งกายที่เป็นกางเกงชุดนอนก็เรียกว่า ‘กางเกงเจ๊ก’ [32] กระทั่งอาหารการกินก็เรียกว่าไป ‘กินข้าวเจ๊ก’ [33] อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์คนจีนเหล่านี้คือจีนจน อันเป็นจีนคนละชั้นกับพวกเจ้าสัวหรือผู้ที่ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางจากการรับราชการ นอกจากตาแป๊ะที่เช่าที่ดินแม่พจมานปลูกบ้านแล้ว เจ๊กที่มาเช่าที่ส่วนหนึ่งวังศิลาขาวทำสวนฝรั่งก็ให้ภาพครอบครัวจีนจนได้ดี เจ๊กกุยมีเมียพร้อมกับลูกอีก 7 คน[34] ความเสียงดังโวยวายของชาวจีนก็ถูกนำมาเปรียบเปรยว่า “ตะโกนเป็นเจ๊กตื่นไฟไปได้ คนอะไร” [35]

ปริศนา ผู้ดีสายลมแสงแดด กับ บ้านทรายทอง ความหยาบคายของผู้ดี

หากปริศนาจะใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ หากจะมีความเดือดเนื้อร้อนใจก็มีเพียงการไม่ถูกยอมรับจากบ้านฝ่ายพ่อ โลกในปริศนาจะเห็นได้ว่าอยู่ในสมดุลที่คนแต่ละชั้นอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และเป็นความสงบที่ตั้งอยู่ในชนชั้นทางสังคมที่แยกขาดกันอย่างชัดเจนมีเจ้านาย ชนชั้นกลาง คนใช้ และชาติพันธุ์ชายขอบที่ทำหน้าที่ของตน ครอบครัวปริศนาแม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ปริศนาก็ไม่ใช่คนไม่มีหัวนอนปลายตีน ปริศนาใช้ชีวิตที่สนุกไปวันๆ แต่งตัวสวยๆ ร่วมงานสังสรรค์ปาร์ตี้ เล่นกีฬาเข้าสังคม เธอวางตัวได้อย่างไม่เคอะเขิน แม้จะอยู่ต่อเจ้านายอย่าง “เด็จอา” ของท่านชายพจน์ ตอนจบของเรื่อง ปริศนาได้ปิดฉากเทพนิยายด้วยการสมรสกับเจ้านายชั้นสูง ปริศนาจึงคล้ายกับซินเดอเรลลาที่ได้สมรสกับเจ้าชาย ยกระดับตัวเองไปสู่สมาชิกชนชั้นสูงที่เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและความมั่งคั่ง เรื่องราวของเธอจึงเป็นเรื่องชวนฝัน โรแมนติก แม้จะมีปมปริศนาบางอย่างเกี่ยวกับชาติกำเนิดแต่เธอก็ผ่านมันไปได้

ตรงกันข้ามกับบ้านทรายทอง ที่เต็มไปด้วยซีนอารมณ์ ความขัดแย้ง พจมานผู้เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเป็นคู่ขัดแย้งที่มีความสัมพันธ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกตั้งแต่ในบ้านของตนเอง เธอเป็นลูกพ่อ ไม่เข้าใจแม่ และถูกน้องสาวอิจฉา เมื่อเข้ากรุงก็ต้องมาเจอกับความหยาบคายและการเหยียดหยามดูถูกของเจ้าของบ้านทรายทอง การตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อนเช่นนี้เห็นได้จาก “มันทะลึ่งตึงตังเสียเหลือเกิน ไพร่ไม่ผิดแม่มันเลย” พจมานได้ยินก็โกรธและตอบกลับว่า “บ้านทรายทองถือดีว่าเป็นพวกผู้ดีมีสกุลทุกๆ คน แต่ดิฉันไม่เข้าใจว่า เหตุใดพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้ดีจึงดูหมิ่นคนได้ง่ายๆ”[36] หรือ “อีชาติชั่ว อีเด็กเนรคุณ อาศัยข้าวแดงแกงร้อนเขากินแล้วยังบังอาจเข้ามาขึ้นเสียง ได้ยินกันไหม ทุกๆ คน เห็นฤทธิ์เดชลูกของไอ้พนา ไอ้ไพร่สารเลวบ้างไหม?” พจมานตอบกลับว่า “แม้ว่าเลือดของดิฉันไม่เข้มเหมือนเลือดสีน้ำเงินของพวกสว่างวงศ์ แต่พินิตนันท์ของดิฉันก็ไม่ต่ำกว่าใคร เคยทำแต่คุณงามความดี ไม่เคยมีชื่อว่าเบียดเบียนและทารุณใครๆ”[37]

เหมือนจะก้าวหน้า แต่ชาติกำเนิดก็สำคัญที่สุด

แม้จะรู้สึกได้ถึงความทันสมัยของตัวละครหญิงอย่างปริศนาและพจมาน ที่ไม่ใช่ผู้หญิงตามแบบฉบับที่เป็นผู้หญิงเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่ก็พบว่าภายใต้เปลือกนอกที่ทันสมัยในด้านแฟชั่น หรือความกล้าที่จะคิดและตัดสินใจผิดวิสัยของผู้หญิงที่ถูกพร่ำสอนให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนนั้น ก็มีปัญหาสำคัญที่พึงอภิปรายตอนจบ นั่นคือในที่สุดแล้ว ชาติกำเนิดของทั้งคู่สำคัญที่สุด ปริศนาและพจมานอย่างน้อยก็มีตระกูลอยู่ในชนชั้นกลางของพีระมิดทางชนชั้น ครอบครัวทั้งคู่แม้ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ล้วนมีคนใช้คอยรับใช้และดูแล พวกเธอได้รับการศึกษาที่ดี ได้รับโอกาสทางชีวิต และที่สำคัญพวกเธอล้วนอิงอยู่กับตระกูลและชาติกำเนิดเป็นสำคัญ

อย่างปริศนา ต้นกำเนิดของชื่อเธอและการคลี่คลายไปสู่ตอนจบก็คือปมว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นใครกันแน่ เป็นลูกของพระวินิจมนตรีจริงๆ หรือไม่ ความจริงที่เผยว่าเธอคือเลือดเนื้อเชื้อไขจริงๆ นอกจากจะทำให้แม่ของเธอบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาแล้ว ยังทำให้เธอมีความชอบธรรมที่จะแต่งงานกับคนระดับหม่อมเจ้าอีกด้วย

ส่วนพจมาน พินิตนันท์ ศักดิ์ศรีของชาติตระกูลที่เธอแบกไว้มาจากการหล่อหลอมมาจากพระดุลยธรรมพินิต (พนา พินิตนันท์) พ่อของเธอ การทวงคืนสิทธิ์จากบ้านทรายทองแม้จะเป็นภารกิจสำคัญที่สุดของเธอ แต่มันจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าชาติกำเนิดเธอเป็นคนชั้นต่ำ การเรียกร้องและการต่อสู้ของพจมานภายใต้แรงกดดันจึงมาจากลมใต้ปีกที่อ้างสิทธิ์ทางชีววิทยา มากกว่าการเรียกร้องทางสังคมอย่างสิทธิแรงงานของชนชั้นแรงงานที่ในขณะนั้น คนจีนและกรรมกรในเขตเมืองไม่น้อยเริ่มมีปากเสียงขึ้นในช่วงหลังสงครามเช่นเดียวกัน การตอกย้ำเรื่องชาติกำเนิดและความชอบธรรมของตระกูลจึงเป็นการชูเรื่องความเหนือกว่าของฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างเลี่ยงมิได้เลย

ตารางแสดงประเด็นเปรียบเทียบระหว่างบ้านทรายทองและปริศนา

ประเด็นเปรียบเทียบบ้านทรายทองปริศนา
ผู้แต่งก.สุรางคนางค์ (กัณหา เคียงศิริ)ว. ณ ประมวญมารค (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต)
ประวัติตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2493 ใน ปิยมิตรปี 2494 ใน เดลิเมล์วันจันทร์
นิยายต่อเนื่องพจมาน สว่างวงศ์  (ไม่ทราบปี)เจ้าสาวของอานนท์ (2494?), รัตนาวดี (2496)
ยุคสมัยในเรื่องหลังสงครามโลกครั้งที่ 2ตั้งแต่ปี 2481
นางเอกพจมาน พินิตนันท์ อาชีพครูสอนดนตรีปริศนา สุทธากุล อาชีพครูโรงเรียนสตรีเอกชน
พระเอกหม่อมราชวงศ์ภราดาพัฒน์ระพี สว่างวงศ์ (ชายกลาง) ข้าราชการชั้นสูงในกรมใดกรมหนึ่งหม่อมเจ้าพจนปรีชา อาชีพนายแพทย์ (ท่านชายพจน์)
บ้านของพระเอกบ้านทรายทอง ถนนวิทยุวังศิลาขาว ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
บ้านของนางเอกริมน้ำ ต่างจังหวัด (ไม่ระบุ) รถไฟไปถึงแถบบางกะปิ
ครอบครัวบิดา :  พระดุลยธรรมพินิต (พนา พินิตนันท์), มารดา :  ไม่มีชื่อ, น้องชาย :  พจนา, น้องสาว :  พจนีย์บิดา : พระวินิจมนตรี, มารดา : สมร, พี่สาว : อุบล, สิรี, อนงค์
ตัวร้ายหม่อมพรรณราย สว่างวงศ์ ณ อยุธยา, ม.ร.ว.ภาวิณีจรัสเรือง สว่างวงศ์ (หญิงเล็ก)รตี ราชพรรลภ
ฉากและภูมิศาสตร์ตามท้องเรื่องศรีราชา, ไซ่ง่อน เวียดนาม, อังกฤษศรีราชา, หัวหิน, สหรัฐอเมริกา
ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และละครละครเวที : 2494, 2495?, ภาพยนตร์ : 2499, 2523, ละครโทรทัศน์ : ช่อง 4 (2501), ช่อง 4? (2511), ช่อง 9 (2521), ช่อง 7 (2530), ช่อง 3 (2543), ช่อง 7 (2558)ภาพยนตร์ : 2525, ละครโทรทัศน์ : ช่อง 3 (2530), ช่อง 7 (2543), ช่องพีพีทีวี (2558), ละครเวที : 2558

[1] เรื่องเล่าจากลาดพร้าวหนึ่ง. “ปริศนาตัวจริง!! “วาสนา กระแสสินธุ์” ต้นแบบจากนิยาย “ปริศนา” ในภาพสมมุติของ “พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต” ที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน”. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2565 จาก https://www.facebook.com/Makaranont/posts/688992025036891/ (29 พฤษภาคม 2563)

[2] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), ปริศนา (พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2563), หน้า 341

[3] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 32

[4] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 181

[5] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 449

[6] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), บ้านทรายทอง (พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : ณ บ้านวรรณกรรม, 2558), หน้า 241

[7] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 77

[8] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 405

[9] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 528

[10] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 460

[11] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 392, 395, 396

[12] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 459

[13] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 65

[14] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 377

[15] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 368

[16] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 293

[17] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 493

[18] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 239

[19] ดูใน ณัฐพล ใจจริง, “คว่ำปฏิวัติ โค่นคณะราษฎร”, ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ (นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน, 2556), หน้า 55-61

[20] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 814

[21] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 47

[22] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 48

[23] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 154

[24] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 262

[25] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 16

[26] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 288

[27] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 621

[28] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 556

[29] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 470

[30] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 551

[31] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 769

[32] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 184

[33] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 87

[34] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 773

[35] ว. ณ ประมวญมารค (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 505

[36] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 224

[37] ก.สุรางคนางค์ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 225

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save