พัฒนาการทางเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ศ.Justin Yifu Lin นักเศรษฐศาสตร์พัฒนาผู้มีชื่อเสียงเสนอว่า แท้จริงแล้ว การพัฒนาเศรษฐกิจคือการ ‘ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ’ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายมิติ ได้แก่
1) ความเข้มข้นของทุน (Capital intensity): การปรับเปลี่ยนจากโครงสร้างที่ใช้ทรัพยากรและแรงงานเข้มข้น ไปสู่การใช้ปัจจัยทุนเข้มข้นมากขึ้นเป็นลำดับ
2) ระดับเทคโนโลยี (Technological upgrading): การปรับเพิ่มการใช้เทคโนโลยี โดยระยะแรกอาจจะเป็นเทคโนโลยีที่ประสานอยู่กับปัจจัยทุน เช่น การลงทุนในเครื่องจักรตัวใหม่ แต่ในการพัฒนาระดับที่สูงขึ้น เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะสัมพันธ์กับการศึกษาและวิจัย
3) ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ (Product diversities): การปรับเพิ่มความหลากหลายของสินค้าอุตสาหกรรมในลักษณะระฆังคว่ำ กล่าวคือ มีการผลิตที่หลากหลายขึ้นในระยะการพัฒนาปานกลาง และหลากหลายน้อยลงเมื่อเข้าสู่ระดับการพัฒนาสูงสุด โดยการลดความหลากหลายลงนี้เป็นไปเพื่อมุ่งเน้นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเป็นหลัก
4) ขนาดและความสามารถของบริษัท (Scale and capacity): การที่บริษัทที่เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรมมีขนาดโดยเฉลี่ยที่ขยายใหญ่ขึ้น รวมทั้งมีขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีและผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้น
5) สถาบันทางเศรษฐกิจ (Institutions): การปรับเปลี่ยนกฎกติกาที่เอื้อต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้ามากขึ้น เช่น การมีระบบการกำกับดูแลอุตสาหกรรม การใช้มาตรการส่งเสริมการลงทุน และกฎหมายบริษัทและแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น
การปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในหลายๆ มิติที่ได้กล่าวมานี้มีลักษณะต่อเนื่องและสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน เช่น การที่บริษัทจะสามารถผลิตสินค้าไปแข่งในตลาดโลกได้ ย่อมต้องการความประหยัดต่อขนาด จึงต้องผลิตปริมาณมาก การผลิตบริมาณมากก็ย่อมต้องการเครื่องจักรใหม่ๆ และต้องเสริมสร้างขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีที่ติดมากับเครื่องจักรเหล่านั้น กระบวนการทั้งหมดต้องใช้เงินทุนมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องการระบบสถาบันทางการเงินและเครื่องมือทางการเงินที่ก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ
นัยนี้ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งห้ามิติที่ยกมาเป็นตัวอย่าง จำเป็นต้องปรับตัวไปพร้อมๆ กัน จึงจะก่อให้เกิดผลบวกทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ มีความยากลำบากที่จะดำเนินการให้สอดประสานกัน เช่น ในบางประเทศ แม้บริษัทอยากขยายกำลังการผลิต แต่ช่องทางระดมเงินทุนกลับมีจำกัด ราคาแพง และความเสี่ยงสูง จึงทำให้ขยายตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น
ศ.Alice Amsden ผู้มีชื่อเสียงด้านเศรษฐกิจเอเชียศึกษา พบว่า รัฐในเกาหลีใต้เข้าไปมีบทบาทเชิงรุกในการแก้ปัญหาเหล่านี้ และสนับสนุนกลุ่มทุนให้ปรับโครงสร้างการผลิต เช่น การทำแผนอุตสาหกรรม การส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการจัดหาแหล่งเงินทุนราคาถูกให้แก่เอกชน เป็นต้น โดยนโยบายเหล่านี้ช่วยให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วภายหลังทศวรรษที่ 1960s เป็นต้นมา
เมื่อความสำเร็จ กลายเป็นกับดัก
ประเทศต่างๆ มักเริ่มต้นกระบวนการพัฒนาจาก ‘อุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้น’ นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักอธิบายว่า ในประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (Newly industrialized countries) มีแรงงานในภาคเกษตรจำนวนมากที่พร้อมจะเข้ามาเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้บริษัทต่างๆ สามารถจ้างแรงงานได้ด้วยค่าจ้างราคาถูก และกลายเป็นความได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงาน
จากมุมมองข้างต้น ค่าจ้างแรงงานจะปรับตัวสูงขึ้นได้ก็ต่อเมื่อแรงงานในภาคเกษตรถูกใช้จนหมด (Lewisian turn) เมื่อถึงระยะดังกล่าว บริษัทต้องจ่ายค่าจ้างแพงขึ้นเพื่อดึงดูดแรงงานให้ออกจากภาคเกษตร และต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นนี้เองจะค่อยๆ ผลักดันให้บริษัทหันมาใช้ทุนและเทคโนโลยีสูงขึ้นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
ทว่า ในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองและจากประสบการณ์จริงของประเทศกำลังพัฒนา รัฐมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการกดขี่แรงงานและกดค่าจ้างให้ต่ำกว่าควรจะเป็น จึงทำให้การปรับตัวเชิงโครงสร้างล่าช้าออกไป ตัวอย่างเช่น ในเกาหลีใต้ หลังการยึดอำนาจในปี 1961 รัฐบาล Park Chung-Hee เร่งประกาศให้สหภาพแรงงานอิสระเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และควบคุมการรวมตัวแรงงานอย่างใกล้ชิด
หน่วยสืบราชการลับ (KCIA) คอยแวะเวียนเข้าไปสืบความเคลื่อนไหวของแรงงาน ณ สหภาพแรงงานของบริษัทต่อเรือเฉลี่ย 4.7 ครั้งต่อเดือน (Nam, 2009) ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960s โรงงานขนาดใหญ่นิยมจ้างทหารปลดประจำการเพื่อควบคุมแรงงาน ตั้งกำแพงโรงงานสูง หรือสร้างห้องผลิตสินค้าแบบไร้หน้าต่าง เพื่อกำกับให้แรงงานทำงานอย่างหนัก (Kwon and O’Donnell, 2001)[1]
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้แรงงานไม่สามารถรวมตัวได้อย่างเป็นเอกภาพ จึงขาดโอกาสเรียกร้องค่าจ้างทั้งจากนโยบายรัฐ (ค่าจ้างขั้นต่ำ) และจากการต่อรองโดยตรงในระดับอุตสาหกรรมหรือบริษัท นี่ทำให้ค่าจ้างเติบโตช้า กลุ่มทุนจึงมีแรงจูงใจที่จะใช้แรงงานเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญ
ในการพัฒนาระยะนี้ ถึงแม้เราอาจจะเห็นการลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งทำให้สัดส่วนทุนต่อแรงงานเปลี่ยนแปลง) แต่ตรรกะสำคัญเบื้องหลังการใช้ทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น คือการขยายกำลังการผลิตให้ได้ความประหยัดต่อขนาดในอุตสาหกรรมดั้งเดิม มากกว่าที่จะเป็นการลงทุนเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือเป็นการลงทุนที่สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ของตนเอง (Indigenous technology)
ฝั่งของรัฐซึ่งเน้นสร้างฐานความชอบธรรมและเสถียรภาพทางการเมืองจากความสำเร็จทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ย่อมไม่อยากที่จะทำให้ความมั่นคงทางการเมืองของตนเองสั่นคลอน โดยการดำเนินนโยบายที่ออกห่างจากความสามารถทางการแข่งขันในขณะนั้น (Comparative advantage defying) กล่าวคือ ตราบใดที่ค่าจ้างยังถูก (และตนเองยังกดข่มขบวนการแรงงานต่อไปได้) ก็ไม่มีแรงจูงใจให้รัฐปรับนโยบายเช่นกัน
นอกจากนี้ การถักทอเครือข่ายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างรัฐบาลและกลุ่มทุน ทำให้รัฐไม่ต้องการที่จะดำเนินมาตรการซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อกลุ่มทุนหลัก และหากมีมาตรการใดที่เป็นภัยต่อผลประโยชน์ระยะสั้นของกลุ่มทุน ก็อาจถูกคัดค้าน (Veto) ได้ง่าย
เกาหลีใต้เคยเจอสถานการณ์แบบนี้จริงในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960s โดยหลังจากที่รัฐบาล Park สนับสนุนอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็มีความตั้งใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมหนักและเคมีภัณฑ์ แต่ถูกผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา เทคโนแครต และกลุ่มทุนต่อต้าน โดยให้เหตุผลว่า ทุนยังมีจำกัด และยังมีแรงงานพร้อมใช้ (Labor reserve) ซึ่งมีค่าจ้างถูกอีกจำนวนมาก (Clifford,1998) การพัฒนาอุตสาหกรรมหนักจึงถูกเลื่อนออกไป [2]
ภาพรวมของกับดักความสำเร็จ และความล่าช้าของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเหล่านี้ ถูกแสดงในภาพที่ 1
ศ.Amsden จึงสรุปว่า ค่าจ้างราคาถูกในทศวรรษที่ 1960s เป็นพรอันน่ากังขา มันเบิกทางนำพาเกาหลีใต้ให้เข้าสู่ตลาดโลก ขณะเดียวกันก็ฉุดรั้งเกาหลีใต้เอาไว้บนเส้นทางสายเก่า และค่าจ้างอันต่ำต้อยนี้ยังก่อให้เกิดอำนาจซื้ออันต่ำตมภายในประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางการไต่ระดับไปสู่เทคโนโลยีขั้นสูงในอนาคต (Amsden, 1989: 63)
อุตสาหกรรมเด่น ก่อนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ระหว่างปี 1960-1975
Codes | The composition of merchandize exports | 1960 | 1965 | 1970 | 1975 |
0 | Food and live animals | 29.6 | 16.1 | 7.9 | 11.9 |
1 | Beverages and tobacco | 1.5 | 0.5 | 1.7 | 1.3 |
2 | Inedible crude materials | 48.2 | 21.1 | 12 | 3 |
3 | Mineral fuels | 3.3 | 1.1 | 1 | 2.1 |
4 | Animal and vegetable oils and fats | 0.6 | 0.1 | 0 | 0 |
5 | Chemicals | 1.2 | 0.2 | 1.4 | 1.5 |
63 | Wood and cork products | 10.4 | 11.2 | 4.5 | |
65 | Textiles | 6 | 10.2 | 12.8 | |
66 | Non-metallic mineral manufactures | 11.9 | 1.6 | 0.8 | 2.1 |
67 | Iron and steel | 7.3 | 1.6 | 4.6 | |
69 | Manufactures of metal | 1.3 | 1.5 | 2.4 | |
72 | Electrical machinery and appliances | 0.3 | 1.1 | 5.3 | 8.7 |
73 | Transport equipment | 0.6 | 1.1 | 3.6 | |
84 | Clothing | 11.8 | 25.6 | 22.6 | |
85 | Footwear | 0.3 | 2.3 | 2.1 | 3.8 |
89995 | Human hair and wigs | 5.1 | 12.1 | 1.5 | |
9 | Unclassified | 3 | 0.1 | 0 | 0.2 |
mixed | Others | 13.3 | 4.5 | 13.4 | |
Total | 100 | 100 | 100 | 100 |
ที่มา: ปรับปรุงจาก Westphal (1978)
จากตารางที่ 1 จะพบว่า ในปี 1960 สินค้าส่งออกของเกาหลีเน้นหนักไปที่อาหาร ทรัพยากรธรรมชาติ และสินค้าที่ไม่ผ่านการแปรรูป (Code 0 ถึง 4) ซึ่งมีสัดส่วนถึงราว 82.6% ของมูลค่าส่งออกรวม ต่อมาในช่วงปี 1965-1970 รายการสินค้าเหล่านี้ลดลงอย่างรวดเร็ว และเกิดการผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมใช้แรงงานเข้มข้นเข้ามาแทนที่
ยกตัวอย่างเช่น สินค้าอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเสื้อผ้า (Code 65 และ 84) ขยายตัวจนมีสัดส่วนรวมกันถึง 35.8% อีกหนึ่งรายการที่น่าสนใจมากคือวิกผม (Code 89995) ซึ่งเป็นรายการย่อยมากๆ แต่กลับเป็นสินค้าที่ทำรายได้ส่งออกให้แก่เกาหลีใต้ถึง 12.1% เมื่อรวมกันแล้ว เพียงสามรายการนี้มีมูลค่าคิดเป็นเกือบกึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมด
องค์ประกอบของสินค้าส่งออกเช่นนี้บอกกับเราว่า ถึงแม้เกาหลีใต้ในยุค Park Chung-Hee จะมีขีดความสามารถสูง แต่การพัฒนาในช่วงทศวรรษแรกนั้นกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมเบา และใช้แรงงานเข้มข้นเป็นสำคัญ โดยมีการกระจายการลงทุนไปอย่างจำกัด
แน่นอนว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ รัฐมองอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ และได้ให้เงินทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ ส่งผลทำให้อัตราส่วนทุนต่อแรงงาน (Capital-labor ratio) สูงขึ้นจาก 1.72 ล้านวอนต่อแรงงานหนึ่งคนในปี 1966 ไปสู่ 2.29 ล้านวอนต่อแรงงานหนึ่งคน
แต่การมีสัดส่วนทุนที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นไปเพื่อขยายกำลังการผลิตให้ได้ความประหยัดต่อขนาด มากกว่าที่จะเป็นการลงทุนทางเทคโนโลยีอย่างแข็งขัน พิจารณาได้จากข้อมูลของ Amsden ซึ่งระบุว่าเกาหลีใต้นำเข้าเครื่องทอผ้าระบบใหม่ (ระบบ open-ended rotor spinning ซึ่งลดการใช้แรงงานได้มากเดิม) ล่าช้ากว่าคู่แข่งรายอื่นๆ อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เยอรมนี เม็กซิโก และบราซิลอย่างชัดเจน
สถานการณ์เช่นนี้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงช่วงหลังจากปี 1975 โดยเริ่มกระจายการลงทุนไปสู่อุตสาหกรรมอื่นซึ่งใช้ปัจจัยทุนและเทคโนโลยีเข้มข้นมากยิ่งขึ้น กลุ่มบริษัทครอบครัวขนาดใหญ่ (Chaebol) ต่างๆ เริ่มลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงเช่น Hyundai Motor Company (HMC) เริ่มลงทุนซื้อสิทธิ์ในการใช้เทคโนโลยี (Tech licenses) โดยตรง และตั้งเป้าหมายพัฒนารถยนต์ของตนเองในชื่อรุ่น Pony
ส่วนการเข้าสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเข้มข้นอย่างเต็มตัวนั้น เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1980s
อะไรคือแรงขับดันสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว?
คำตอบคงไม่ใช่เพียงแนวคิดว่าด้วยการพัฒนา หรือเกี่ยวกับรัฐและทุนที่มีขีดความสามารถสูง เพราะปัจจัยเหล่านี้มีมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960s แล้ว นอกจากนี้ รัฐเองเป็นผู้ควบคุมการจัดสรรเงินทุนส่วนใหญ่ของประเทศเพราะรัฐบาลเป็นเจ้าของธนาคารทั้งหมดในยุคนั้น[3] ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้เกิดการกระจายเงินลงทุนไปในอุตสาหกรรมอื่นจริงๆ ก็ย่อมทำได้
ปัจจัยสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือการปะทุขึ้นของขบวนการแรงงานในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970s ซึ่งกลายเป็นแรงกดดันและสร้างสำนึกร้อนรน (Sense of urgency) ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในเวลาต่อมา
แรงงาน ในฐานะมนุษย์
และการปลดปล่อยตนเองจากการขูดรีด
ขบวนการแรงงานในเกาหลีใต้ก่อตัวมาเป็นระยะตั้งแต่ยุคอาณานิคม ยุคที่อยู่ใต้อิทธิพลสหรัฐอเมริกา จนถึงยุค Rhee Syngman แต่ก็ถูกปราบปรามลงทุกครั้ง
ในทศวรรษที่ 1960s หลังการรัฐประหารของนายพล Park ขบวนการแรงงานก็ถูกปราบอีกครั้งหนึ่ง มีการจัดโครงสร้างใหม่โดยยุบสหภาพทั้งหมดให้เหลือเพียงสหภาพที่รัฐสนับสนุนเท่านั้น และกำหนดให้การรวมตัวเป็นเรื่องผิดกฎหมาย[4]
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1970 เมื่อ Jeon Tae-il ผู้นำแรงงานหนุ่ม อายุ 22 ปี ฆ่าตัวตายโดยจุดไฟเผาตนเอง ณ ตลาด Seoul Peace Market เพื่อประท้วงสภาพการทำงานที่เลวร้ายของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้า ทั้งเรื่องการทำงานควบสองกะต่อเนื่อง 17 ชั่วโมงต่อวัน การใช้แรงงานเด็ก และการจ้างงานนอกระบบ โดยจ่ายค่าจ้างเพียงน้อยนิดและไร้สวัสดิการ
Jeon ราดน้ำมันลงบนตัว ก่อนจุดไฟ โดยในมือถือกฎหมายแรงงานเล่มหนึ่ง และเปล่งสามถ้อยคำสุดท้าย มิใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อแรงงานทั้งปวง
“พวกเราแรงงานคือมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน!”
“ขอให้ทำตามสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของแรงงาน” และ
“อยากให้การตายนี้สูญเปล่า”
ความตายของ Jeon และเปลวเพลิงได้จุดประกายให้เกิดการต่อต้านระบบกดขี่แรงงานในเกาหลีใต้ไปอย่างกว้างขวาง
ตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญเช่น ในปี 1971 พนักงานของ Hanjin Trading Company ราว 400 คนรวมตัวกันประท้วงด้วยการเผาอาคาร 1974 เกิดกลุ่มศึกษาสิทธิ์แรงงานที่ทำงานแข็งขันในกลุ่มบริษัทแชโบล เช่นใน Hyundai Shipyard Company นอกจากนี้ยังเกิดการปะทะระหว่างแรงงานหญิงและตำรวจปราบจลาจลกว่า 2,000 นาย ณ โรงงานผลิตวิกผม ในปี 1979 เป็นต้น
ถึงแม้รัฐบาลจะพยายามปราบปรามอย่างเต็มที่ แต่ขบวนการแรงงานเหล่านี้ไม่ยอมถูกกดปราบและฝ่อตัวลงไปเหมือนยุคก่อนๆ อีกแล้ว ประมาณการว่าลำพังช่วงปลายทศวรรษ 1978-1981 มีแรงงานร่วมประท้วงมากกว่า 100,000 คน โดยเฉลี่ยมีแรงงานเข้าร่วมประท้วงราว 180 คนต่อครั้ง ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าไต้หวันมาก[6]
ผลของการต่อสู้เรียกร้องเหล่านี้ส่งผลให้ค่าจ้างเกิดการปรับตัวสูงขึ้น หลังปี 1973 อัตราการขยายตัวของค่าจ้างก่อนหักเงินเฟ้อ (Nominal growth) ขยายตัวราว 30% ต่อปี และเมื่อหักเงินเฟ้อออก (Real earning growth) ค่าจ้างในเกาหลีใต้ช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1970s เติบโตอย่างรวดเร็วถึงราว 20% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก (ภาพที่ 3)
การเคลื่อนไหวแรงงานเหล่านี้สะท้อนว่า แรงงานไม่ได้เป็นปัจจัยการผลิตในระบบทุนนิยมเท่านั้น แต่เป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีความใฝ่ฝัน ความต้องการ และพลังที่จะรวมตัวต่อรอง แม้ในยามที่โครงสร้างกฎหมาย เศรษฐกิจและการเมืองไม่เอื้ออำนวยก็ตาม การรวมตัวและยืนระยะต่อเนื่องได้ยาวนาน และทิศทางค่าจ้างที่สูงขึ้นในทศวรรษที่ 1970s ทำให้ทุนและรัฐต้องปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจและนโยบาย
การเติบโตของค่าจ้าง และการปรับตัวเชิงโครงสร้าง
ในช่วงทศวรรษที่ 1980s
ภายหลังประธานาธิบดี Park ถูกลอบสังหารโดยลูกน้องคนสนิทในปี 1979 และนายพล Chun Doo-Hwan ทำรัฐประหารยึดอำนาจ ก็มีการกวาดล้างขบวนการนักศึกษาและแรงงาน จนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมกวางจูในปี 1980 มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก กระนั้นก็ตาม ขบวนการแรงงานก็ไม่กลับไปซบเซา แต่ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง (ภาพที่ 4)
จุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงที่ขบวนการแรงงานเข้าไปร่วมเรียกร้องประเด็นแรงงานและประชาธิปไตยเคียงข้างไปกับขบวนการนักศึกษาช่วงปี 1987-1989 ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘การฝ่าฟันอันยิ่งใหญ่’ (The Great Struggle) ของขบวนการแรงงานเกาหลีใต้
ความเข้มแข็งของขบวนการแรงงานในเกาหลีใต้นี้เองที่ทำให้การกดค่าจ้างของรัฐบาลนายพล Chun ประสบความสำเร็จเพียงระยะสั้นๆ ระหว่างปี 1980-1981 เท่านั้น หลังจากนั้น การเติบของค่าจ้างหลังหักเงินเฟ้อ (Real earning growth) ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 5% ต่อเนื่องทุกปีจนสิ้นสุดทศวรรษ (ภาพที่ 5)
เมื่อมองภาพระยะยาว การปรับตัวสูงขึ้นของค่าจ้างแรงงานตลอด 20 ปีนับจากปี 1970 กระตุ้นกลุ่มทุนและรัฐของเกาหลีใต้ให้ใช้ความสามารถที่มีอยู่สูงไปขับเคลื่อนนโยบายและกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อลงทุนทางเทคโนโลยี และเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้เร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุนแรงงาน ขณะเดียวกันก็ขยายการลงทุนไปในอุตสาหกรรมที่ใช้ทุนและแรงงานเข้มข้นมากขึ้น
ในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและได้รับผลกระทบโดยตรง ต้องรีบปรับตัวตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1970s เช่น มีการจัดตั้งศูนย์วิจัยเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอไปสู่สิ่งทอที่มีคุณสมบัติพิเศษ (Technical and smart textile) พร้อมนำสินค้าที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเหล่านี้มาเชื่อมกับอุตสาหกรรมไฮเทคอื่นๆ อาทิ การผลิตเส้นด้ายสำหรับทอถุงลมนิรภัย ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น
เมื่อล่วงเข้าปี 1980 Kim Jae-Ik เทคโนแครตและที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจคนสำคัญ ผู้ซึ่งตอนประธานาธิบดี Chun ไปเชิญมาทำงานบอกว่า “You are the president of economic affairs.” (ยกให้มีอำนาจเท่าประธานาธิบดีในการตัดสินใจด้านเศรษฐกิจ) ได้ประกาศว่า เกาหลีใต้ต้องเปลี่ยนความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไปสู่การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตัวชี้วัดสำคัญด้านการลงทุนวิจัยและพัฒนาทั้งหลายล้วนดีขึ้นในทศวรรษนี้ (Lee, 2009) เช่น
(1) สัดส่วนงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากเพียง 0.56% ในปี 1980 ไปสู่ 2.12% ของ GDP ในปี 1993
(2) อัตราส่วนการลงทุน R&D ในภาคเอกชนต่อเงินลงทุนวิจัยรวมของประเทศ เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำกว่า 50% ในปี 1980 มาเป็น 84% ในปี 1990
(3) การจดสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังปี 1983
กลุ่มแชโบลต่างๆ เริ่มลงทุนเชิงรุกด้านการวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (นอกเหนือไปจากการนำเข้า ประกอบและส่งออกอย่างง่าย) เช่น Samsung เริ่มส่งออกหน่วยความจำชั่วคราว (DRAM) ไปขายในตลาดโลกในปี 1983 และเริ่มลงทุนดิจิทัลทีวีในปี 1989
ปรากาฏการณ์เหล่านี้เป็นประจักษ์พยานของถ้อยคำที่ ศ.Stephanie Seguino เคยกล่าวไว้ว่า:
“หากเกาหลีใต้ยังคงมีระดับค่าจ้างแบบปี 1955 เกาหลีใต้ก็คงยังส่งออกวิกผม แทนที่จะขยับก้าวไปผลิตรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์”
การกระตุ้นและปรับตัวแบบคีมหนีบ
การเกิดขึ้นของขบวนการแรงงานในเกาหลีไม่ได้ส่งผลเพียงด้านอุปทาน แต่ยังส่งผลทางด้านอุปสงค์อีกด้วย กล่าวคือ มีผลต่อการขยายกำลังซื้อสินค้าภายในประเทศและระดับการศึกษา เพราะแรงงานที่มีค่าจ้างสูงขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970s ทำให้ลูกหลานของแรงงานเหล่านั้นมีโอกาสเข้าถึงทางการศึกษา และมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะปรับตัวตามเทคโนโลยีได้ทัน
หากเป็นการปรับเฉพาะด้านโครงสร้างการผลิตด้วยการใช้นโยบายอัดฉีดทุนให้แก่นายทุนอย่างเดียว (ใช้ความร่วมมือระหว่างรัฐและทุน แต่ตัดเรื่องคุณภาพชีวิตแรงงานออกไป) ก็อาจทำให้เกิดการปรับโครงสร้างที่ไม่สมดุลและไม่สำเร็จ เช่น การพยายามลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง แต่กลับไม่มีกำลังคนเชี่ยวชาญมากเพียงพอ ก็มักสร้างความเหลื่อมล้ำสูง เป็นต้น
การปรับตัวในเกาหลีใต้จึงเป็นการปรับตัวแบบคีมหนีบ ประกบทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์นั่นเอง
แรงกดดันเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
โดยสรุป เราพบว่าการเติบโตของขบวนการแรงงานในเกาหลีใต้ช่วงทศวรรษที่ 1970s มีส่วนอย่างสำคัญยิ่งที่ปลดปล่อยระดับค่าจ้างของเกาหลีใต้ให้เติบโตขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อรัฐและทุน (ที่มีขีดความสามารถสูง) ให้ปรับตัวขยายการลงทุนไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเข้มข้น รวมทั้งการไต่ห่วงโซ่มูลค่าการผลิตให้ได้มูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันต่อการปรับโครงสร้างการผลิตของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน แม้แต่ในบรรดาชาติเอเชียที่ประสบความสำเร็จด้วยกันเองก็ตาม
ในไต้หวันซึ่งทุนมีขนาดเล็กกว่าเกาหลี และรัฐไต้หวันยังเลือกเส้นทางพัฒนาที่สมดุลโดยดูแลแรงงานพร้อมกับนายทุน ตัวอย่างเช่น ไต้หวันมีค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่แรงงานตั้งปี 1956 ล่วงหน้าก่อนเกาหลีใต้ถึง 30 ปี ผลของนโยบายเช่นนี้ทำให้ขบวนการแรงงานไต้หวันเลือกใช้วิธีการต่อรองกับรัฐและทุนแบบประนีประนอมและกระจายตัว (ไม่ต้องรวมตัวมากๆ และรุนแรงเหมือนการต่อสู้กับทุนขนาดใหญ่แบบแชโบล) ดังนั้น ค่าจ้างจึงมีลักษณะปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มีความต่อเนื่องและมีอัตราที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
ส่วนในสิงคโปร์ซึ่งมีทุนต่างชาติเป็นผู้ผลิตหลักในภาคอุตสาหกรรม ทุนสิงคโปร์ได้เข้าไปเชื่อมต่อกับทุนข้ามชาติเพื่อรับส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมได้จำกัด ทำให้ช่องทางส่งผ่านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมาสู่ชาวสิงคโปร์ ต้องทำผ่านค่าจ้างเป็นสำคัญ รัฐบาลจึงเข้ามามีบทบาทกำหนดให้ค่าจ้างแรงงานสิงคโปร์ต้องสูง สวัสดิการต้องดี และการศึกษาต้องเป็นเลิศ แม้ไม่มีการประท้วงแรงงานเหมือนในเกาหลีใต้และไต้หวันก็ตาม
ถึงแม้ว่าทั้งสามกรณีจะมีเหตุปัจจัยต่างกัน แต่ก็ล้วนนำมาสู่ลักษณะร่วมกันบางประการ นั่นคือการปรับโครงสร้างราคาปัจจัยการผลิต และการสร้างแรงกดดันให้รัฐและทุนต้องปรับตัว
แรงกดดันที่ช่วยสร้างสำนึกร้อนรน (Sense of urgency) จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
เสือที่แค่นอนอยู่เฉยๆ ก็มีกิน (บุญเก่า) ย่อมไม่อยากขยับ หากจะทำให้เสือลุกมาหากระโดดโลดแล่น คงต้องเผชิญแรงกดดันกันเสียหน่อยครับ
[1] ปรากฏการณ์เดียวกันเกิดขึ้นในไต้หวันเช่นเดียวกัน พรรคก๊กมินตั๋งมักเข้าไปตั้งสาขาในระดับโรงงานโดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ และมีการแทรกซึมสมาชิกพรรคเข้าไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวแรงงานอย่างใกล้ชิด ผ่านเครือข่ายแรงงาน ‘จัดตั้ง’ (cell system) ที่มีขนาดจัดตั้งละ 5-10 คน โดยหากสมาชิกรับรู้ว่ามีความไม่พอใจในหมู่แรงงานเมื่อใด ก็จะมีมาตรการเข้าไปสยบความเคลื่อนไหวอย่าเร่งด่วน (Ho, 2012)
[2] ในกรณีไต้หวัน นักวิชาการและเทคโนแครตคนสำคัญอย่าง K.T. Li เสนอให้ทำเขตนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเน้นการวิจัยและเทคโนโลยีล้ำสมัย (นิคมวิจัย; Science Industrial Park) ตั้งแต่ช่วงปี 1968 ทว่าถูกปฏิเสธ กว่าแนวคิดนี้จะได้รับการนำกลับมาพิจารณาอีกครั้งในปี 1975 โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ National Science Council ซึ่งกว่านิคมวิจัยจะเปิดบริการอย่างเป็นทางการและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริงก็ล่วงเข้าทศวรรษที่ 1980s ไปแล้ว
[3] รัฐบาล Park ทำการแปรรูปความเป็นเจ้าของธนาคารและสถาบันทางการเงินกลับเป็นของรัฐ (Nationalization) ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960s ทำให้รัฐสามารถคุมการจัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ของประเทศได้ (Policy loan) ทั้งในเชิงมูลค่าที่จัดสรรให้แก่อุตสาหกรรมซึ่งรัฐต้องการสนับสนุน และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะกำหนดต้นทุนทางการเงินจากการระดมทุน
[4] กลไกกดปราบเหล่านี้ดำเนินมาได้จนกระทั่งถึงช่วงปี 1967 ก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหวของแรงงานปีกก้าวหน้า (Progressive faction) ในสหภาพแรงงานต่อเรือ เพราะเป็นภาคเศรษฐกิจที่ไม่ได้ถูกจับตามเข้มงวดเหมือนอุตสาหกรรมส่งออก อาทิ อาหาร สิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า และวิกผม เป็นต้น แรงงานเหล่านี้ขับเคลื่อนอย่างแข็งขันเพื่อที่จะให้ได้ค่าจ้างที่สูงขึ้นโดยเรียกร้อง ‘รายได้เพื่อชีวิต’ (Living wages) ซึ่งหมายถึง ค่าจ้างที่เพียงพอจะจ่ายค่าครองชีพของตัวแรงงานเอง และเพียงพอจะดูแลสมาชิกวัยพึ่งพิงคนอื่นๆ ในครัวเรือน อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ส่งผลกระทบไปในวงกว้างมากนัก
[5] https://alchetron.com/Jeon-Tae-il
[6] ดูข้อมูลได้จากงานของ Liu (2015) และ Chiu (2002)