fbpx

ของขวัญอำมหิต จากคาซัคสถาน ถึงประเทศไทย

ปีใหม่น่าจะเป็นห้วงเวลาหฤหรรษ์ที่ผู้คนได้ใช้เวลาไปกับการเฉลิมฉลองอย่างมีความสุข แต่สำหรับชาวคาซัคแล้วกลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อต้องประสบพบกับปีใหม่เลือด ประชาชนได้รับห่ากระสุนและความตายเป็นของขวัญมรณะจากซาตานแทนที่จะเป็นซานต้า

แม้การเมืองภายในยังเป็นเรื่องที่ดูลึกลับซับซ้อน แต่จลาจลครั้งเลวร้ายในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่คาซัคสถานแยกตัวเป็นอิสระจากโซเวียตเมื่อ 30 ปีก่อน มีปฐมเหตุเริ่มมาจากการประกาศขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ทั้งๆ ที่เป็นชาติส่งออกน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ นำความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านราษฎร ประกอบกับความไม่พอใจลึกๆ ที่มีต่อระบอบปกครอง ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้ม็อบจุดติด

การประท้วงเรื่องเชื้อเพลิงบานปลายกลายเป็นการขับไล่รัฐบาล  นำไปสู่การปราบปรามตามมา

ประธานาธิบดีโทคาเยฟแห่งคาซัคสถานถึงกับออกใบอนุญาต มีคำสั่งให้กองกำลังความมั่นคงสังหารฝ่ายตรงกันข้ามได้โดยไม่ต้องเตือน กล่าวหาว่าผู้ประท้วงเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายซึ่งได้รับการฝึกอบรมมาจากต่างชาติ และขอความช่วยเหลือจากองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกันหรือ CSTO ที่มีรัสเซียเป็นพี่เบิ้ม ให้ส่งกำลังทหารเข้ามาระงับเหตุจลาจล

คุ้นๆ กันไหม กับการที่รัฐล้าหลัง ชาติซึ่งล้มเหลวในการจัดการปัญหาให้ประชาชนออกมากล่าวหาม็อบหรือผู้ประท้วงว่า มีต่างชาติอยู่เบื้องหลังเป็นสูตรสำเร็จ

ย้อนกลับมาบ้านเรา ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต่างต้องเผชิญปัญหาข้าวของแพงซ้ำเติมการแพร่ระบาดของโควิด-19 น้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภคพาเหรดขึ้นราคาสวนทางรายได้ของประชากร เดือดร้อนลำบากกันถ้วนหน้า ทุกข์ระทมไม่แพ้กัน

ไม่มีม็อบ ไม่มีจลาจล

ถ้าเป็นรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งตามปกติ ป่านนี้ผู้คนคงออกมาขับไล่กระเจิดกระเจิงไปนานแล้ว

แต่รัฐบาลซึ่งสืบทอดอำนาจมาจากการทำรัฐประหารกลับอยู่ดีมีสุข ลอยหน้าลอยตาปกครองบ้านเมืองไม่รู้ร้อนรู้หนาว โดยมิได้แสดงให้เห็นถึงความรู้ความสามารถเลยว่าจะนำพาประเทศชาติฟันฝ่าวิกฤตที่กำลังรุมเร้าไปได้อย่างไร ตะบี้ตะบันบริหารราชการแผ่นดินด้วยกลไกตลาด อ้างเงินเฟ้อ โทษโควิดและเศรษฐกิจโลกไปวันๆ

ไม่เห็นหัวประชาชน เพราะแย่งชิงอำนาจมาด้วยการทำรัฐประหารโดยกองทัพ

หมกมุ่นอยู่กับไสยศาสตร์ ฮวงจุ้ย ให้ความสำคัญไปกับการกราบไหว้โต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป เทพเจ้า อดีตบูรพกษัตริย์ และรูปปั้นนรสิงห์

คงคิดว่าที่อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หาใช่ประชาชนเลยไม่

ไม่กลัวม็อบ ไม่กลัวจลาจล

สร้างอาณาจักรความกลัวขึ้นมาปกครองประชาชน ใช้อำนาจรัฐปราบปรามฝ่ายตรงกันข้ามบนพื้นฐานความเชื่อว่าคนไทยเซื่อง ขลาดกลัวหัวอ่อน ไม่หาญกล้าแข็งขืนลุกขึ้นมาต่อต้าน แค่ฆ่าคว้านท้องยัดแท่งปูนใส่กระสอบมัดถ่วงน้ำ อุ้มหายไร้ร่องรอย จับกุมคุมขังไม่ให้ประกันตัวเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างก็นำมาซึ่งความสงบเรียบร้อย

ลำพองใจกันทั้งๆ ที่หลายปีมานี้ ประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

เปลี่ยนแปลงมากมายจริงๆ ที่เคยเชื่อก็เลิกเชื่อ ที่เคยเคารพศรัทธาก็เลิกนับถือ เปลี่ยนไปจนกระทั่งยากที่จะคิด จินตนาการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากผู้คนหมดความอดกลั้น ลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องต้องการสังคมใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม

รู้แต่ว่า ยากที่จะคลี่คลายสถานการณ์ จะให้จบลงดื้อๆ หรือเลิกแล้วต่อกันง่ายดายเหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และพฤษภาทมิฬ 2535 นั้น เลิกคิดไปได้เลย

ต้องขอแสดงความขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตลอดจนข้ารับใช้เผด็จการอำนาจนิยมทั้งหลายซึ่งไม่สามารถเอ่ยชื่อครบได้ทั้งหมดในที่นี้ ที่ทำให้ปัญหาบ้านเมืองของไทยมีความแจ่มชัด หมดสิ้นความคลุมเคลือเสียที

จากประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ได้สร้างความสับสนให้กับประชาชน เป็นปัญหาให้กับประเทศชาติบ้านเมืองเรื่อยมาไม่น้อยกว่า 70 ปี ถึงตอนนี้ ความขัดแย้งหลักในสังคมไทยค่อยๆ ตกตะกอนนอนก้น แยกออกจากกันชัดเจนเหมือนน้ำกับน้ำมัน

ตกผลึกเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายนิยมเจ้า หรือกษัตริย์นิยมแบบไทยๆ ซึ่งประสงค์ต้องการจะผูกขาดความมั่งคั่งและความมั่นคงต่อไป ด้วยการนำพาชาติบ้านเมืองย้อนกลับไปสู่สังคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่มีกองทัพและผู้ปกครองซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่เบื้องหน้า

อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่เอาด้วยกับอำนาจนิยมทุกรูปแบบ ต้องการเห็นประเทศไทยขับเคลื่อนไปสู่สังคมประชาธิปไตยจริงๆ โดยหนุ่มสาว เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนจำนวนมากขึ้นทุกที ปรารถนาจะให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ยกเลิกหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายทั้งหลายซึ่งขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ลิดรอนมิให้ปวงชนชาวไทยได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 6 ซึ่งถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามฝ่ายตรงกันข้ามอย่างกว้างขวาง

สังคมไทยที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งในเวลานี้ ไม่ใช่การเผชิญหน้าระหว่างสองขั้วความคิดดังกล่าวหรอกหรือ ซึ่งเกี่ยวพันยึดโยงไปถึงเรื่องของอำนาจ ผลประโยชน์ทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม เกี่ยวข้องกับประเด็นทางจริยธรรม ตลอดจนรสนิยมซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับกันในประชาคมที่มีความศิวิไลซ์

เป็นการต่อสู้ระหว่างอดีตกับอนาคต จารีตประเพณีกับเหตุผล อำนาจกับความถูกต้องชอบธรรม

ทุกวันนี้ที่พยายามยื้อยุดฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเพื่อปกปักรักษาสถานะและผลประโยชน์ของตัวเองที่จะมลายหายไปหากบ้านเมืองก้าวไปสู่สังคมประชาธิปไตย

เห็นแก่ตัวได้ถึงขนาดเอาพัฒนาการของประเทศชาติ อนาคตของลูกหลานเข้าแลก

ปัญหาความเหลื่อมล้ำ การเอารัดเอาเปรียบผูกขาดความมั่งคั่งในหมู่ชนชั้นนำ ใช้อำนาจรัฐย่ำยีประชาชนตามอำเภอใจทำให้สังคมไทยร้าวลึกจนยากจะประสานได้ ความขัดแย้ง การเผชิญหน้าของสองขั้วอุดมการณ์ความคิดบานปลายขยายตัวออกไปกว้างขวางมากขึ้นทุกที

โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคเมตาเวิร์ส แต่เมืองไทยยังมะงุมมะงาหราอยู่กับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ บังคับให้ผู้คนเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยปฏิเสธที่จะรับฟังหลักการเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

บ้านเมืองเข้าใกล้คล้ายยุคนาซีเข้าไปทุกที มีเกสตาโปคอยสอดส่องประชาชน ส่งตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไปกดดันผู้ซึ่งคิดต่างให้เกิดความหวาดกลัว

มหาไพรวัลย์หมอบกราบแทบเท้าสแตนดี้สมเด็จพระราชินีอังกฤษก็ไม่ถูกใจอีก ดีดดิ้นจะเป็นจะตายกันให้ได้ นิสิตนักศึกษาไม่สะดวกใจจะรับปริญญาบัตร ก็ข่มขู่จะไม่รับเข้าทำงาน

เอาข้อมูลส่วนตัว การฉีดวัคซีนโควิด-19 ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาเปิดเผยก็เพียงเพื่อหวังประจานด้วยตรรกะวิปริตผิดเพี้ยน แยกแยะไม่ออกระหว่างการวิจารณ์ความล่าช้าในการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนกับการด้อยค่าวัคซีน

ทั้งๆ ที่ต้องถือเป็นสิทธิของประชาชนคนไทยทุกคนที่พึงจะได้รับวัคซีนอีกด้วย แม้การฉีดในยามวิกาลดูไม่ค่อยสง่างามนักสำหรับผู้ที่อาสาตัวมาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้คน

ตรรกะเหตุผลวิบัติ พฤติกรรมป่าเถื่อน ทำให้สถานการณ์ของฝ่ายนิยมเจ้าหรือกษัตริย์นิยมแบบไทยๆ ย่ำแย่ ยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้น

บ้านเมืองอยู่ในสภาพฝีใกล้แตกเข้าไปทุกขณะ

ความขัดแย้งที่ไม่อาจจะหลอมรวมกันได้นี้ ไม่มีหรอกขั้วที่สามหรือความเป็นกลางระหว่างฝ่ายนิยมเจ้าหรือกษัตริย์นิยมแบบไทยๆ กับฝั่งไม่เอาด้วยกับอำนาจนิยม ซึ่งอุดมการณ์เป็นปฏิปักษ์กันโดยสิ้นเชิง

ที่พยายามจะแสดงตนเหมือนตัวเองเป็นคนกลาง นั่นก็แค่เศรษฐีสงครามความขัดแย้ง สามารถเซ็งลี้ แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองได้กับทุกสถานการณ์

โพสต์เฟซบุ๊ก “หวังว่าปี 65 ผมจะเป็นของขวัญให้คนไทยไปทำงานรับใช้คนไทยและประเทศไทย”

ถามจริงๆ เถอะ ที่พูดจาออกมาต้องการจะสื่อสารไปถึงใคร ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ การจะเดินทางกลับประเทศไทยได้สำหรับบุคคลซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุด อยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุก หากไม่อยากเข้าตะรางก็ต้องรอจนกว่าจะหมดอายุความ

ถึงตอนนั้นของขวัญคงเน่าเสีย ไม่เผาก็คงต้องฝัง

อีกช่องทางหนึ่งที่พยายามดิ้นรนกันมาช้านาน คือการตรากฎหมายนิรโทษกรรมลบล้างโทษทัณฑ์เสมือนไม่ได้กระทำความผิดมาก่อน หรือขอให้มีการอภัยโทษ โดยยึดโยงไปถึงประเด็นความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ คดีความทางการเมืองมากมายที่ประชาชน หนุ่มสาว คนรุ่นใหม่หลายร้อยคนกำลังอยู่ระหว่างขึ้นโรงขึ้นศาล หลายสิบคนถูกจำขังอยู่ในเวลานี้ และกำลังเป็นปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้กับผู้ปกครอง

คงไม่สนุกแน่หากเยาวชน หนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ต้องมาติดคุกติดตะรางพร้อมเพรียงกันเป็นร้อยเป็นพันคนเมื่อคดีถึงที่สุด

ของขวัญอัปรีย์นี่ละ ที่จะทำให้ทุกอย่างจบลงดื้อๆ เลิกแล้วต่อกันเหมือนเช่นที่เป็นมาอีกครั้งหนึ่ง

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save