ธิติ มีแต้ม เรื่องและภาพ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่สาธารณชนถูกชวนเข้าไปในโลกความคิดทางการเมืองผ่านบทเพลง
นอกจากภาพถ่ายและหนังสือ สังคมสยามเปลี่ยนผ่านมาถึงสังคมไทย มีบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ผ่านทางบทเพลงมาเสมอ
สมัยรัชกาลที่ 4 ที่กำลังเผชิญหน้ากับเจ้าอาณานิคมอังกฤษ เพลงชาติอย่าง ‘God Save the Queen’ ยังถูกเอามาแปลงเป็นเพลง ‘จอมราชจงเจริญ’ โดยชนชั้นนำสยาม เพื่อสดุดีกษัตริย์
ในมุมหนึ่ง เป็นไปได้ว่าดนตรีไม่ได้ทำให้ใครเสียเลือดเสียเนื้อ
และในอีกมุม บางบทเพลงก็สะท้อนฉาก ชีวิต และเหตุการณ์ความเป็นจริงของยุคสมัยไว้เช่นกัน
แต่โมงยามนี้ไม่ใช่เวลามาพูดถึงเพลงที่กลั่นมาจากอำนาจรัฐ เพื่อบังคับให้พลเมืองหันซ้ายหันขวา ซึ่งได้ยินได้ฟังกันมาทั้งชีวิตอยู่แล้ว
พ้นไปจาก ‘ประเทศกูมี’ แล้ว 101 ชวนลองเหลียวหลังแลหน้า กวาดสายตาหาแนวรบด้านศิลปวัฒนธรรมที่ต่อต้านอำนาจรัฐ ว่ามีใครเคียงข้างอีกบ้าง
หากโมงยามนี้เป็นของ ประเทศกูมี ของคณะ Rap Against Dictatorship ที่กำลังเป็นเป้ามากที่สุด กระทั่งว่านอกจากฝ่ายรัฐจะออกท่าทีขึงขังคุกคามใส่แล้ว ยังถึงขั้นแต่งแร็ป Thailand 4.0 มาเรียกคืนความเชื่อมั่นจากสาธารณชน ผ่านมันสมองกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย
ทว่าเหมือนสำนวนไทย “ช้างตายทั้วตัว ใบบัวปิดไม่มิด” จะทรงพลังในการอธิบายความตั้งใจของฝ่ายรัฐได้ชัดเจนที่สุด และหลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของแนวรบด้านศิลปวัฒนธรรม…
แว่นตาสายภาพยนตร์
ภาพคนกำลังชูกำปั้นขึ้นดีใจไชโยโห่ร้อง บ้างปรบมือ คล้ายกับฝูงชนกำลังล้อมวงเอ็นจอยดูการแสดงสดของศิลปินแร็ปเปอร์ มุมกล้องหมุนเคลื่อนเป็นวงกลม วนไปเรื่อยๆ
แร็ปเปอร์หนุ่มผลัดกันมาเล่าเรื่องประเทศกูมีแทบทุกแง่มุม ดึงดูดผู้ชมราวกับอยู่ในมหรสพ แต่สุดท้ายตอนจบก็เผยภาพร่างไร้วิญญาณ ถูกแขวนคอห้อยต่องแต่ง พร้อมกับชายในชุดซาฟารีสีเข้มเงื้อเก้าอี้กระหน่ำฟาดร่างนั้น
หลังจากเอ็มวี ‘ประเทศกูมี’ เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ธีระวัฒน์ รุจินธรรม ผู้กำกับเอ็มวีชิ้นนี้เผลอไปเห็นคอมเมนต์ทำนองว่า “ไอ้เด็กพวกนี้มันเกิดทันเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ด้วยเหรอ ทำมาเป็นตื่นตัวทางการเมือง”
เขาคิดว่านั่นคงมาจากความคิดของคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เมื่อ 40 กว่าปีก่อน และอาจจะลืมเลือนไปชั่วคราว จนกระทั่งวันที่มีคนรุ่นใหม่ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา บรรดาลุงๆ ป้าๆ ที่แสดงความเป็นเจ้าของเหตุการณ์ต้องออกอาการหัวเสีย-หมั่นไส้
“ผมได้แต่ถามตัวเองในใจว่า อ้าว แล้วพวกพี่เกิดทัน ทำไมพวกพี่ถึงลืมล่ะ มีคนตาย ถูกแขวนคอ ถูกเก้าอี้ฟาดต่อหน้าต่อตา พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ เพื่อนๆ พี่ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอที่ตายไปในเหตุการณ์วันนั้น แล้วถามจริงๆ ว่าพี่จำชื่อคนตายได้บ้างไหม” เขาอธิบายความรู้สึกถึงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
ผู้กำกับผมยาว เคราดกครึ้ม บอกว่าเขาทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และในฐานะที่เป็นผู้กำกับภาพ เขาต้องดีไซน์งานภาพให้สอดรับกับบทหนังเรื่องนั้นๆ และต้องทำงานทางความคิดกับผู้กำกับภาพยนตร์ด้วยในเบื้องต้น ก่อนจะเริ่มถ่ายทำ
“ผมเห็นกระบวนการทำงานทางความคิดว่าซีนไหนจะเล่าเรื่องอะไร เล่าเพื่ออะไร และผมมักเห็นโค้ดความคิดที่ถูกบรรจุลงไปในภาพยนตร์เสมอ แล้วคนดูมักจะไม่รู้สึกตัว”
เขายกตัวอย่างงานที่เคยผ่านมือ จำพวกหนังประวัติศาสตร์สู้รบสมัยอยุธยาที่คนไทยชอบดูกัน โจทย์ของมันคือต้องสร้างศัตรูขึ้นมาให้คนดูรู้สึกว่าฝ่ายไทยถูกรังแก เพราะฉะนั้นต้องทำให้ศัตรูมีบุคลิกที่คนดูรู้สึกเกลียดให้ได้ งานภาพยนตร์ต้องสร้างปีศาจที่น่ากลัวขึ้นมา
“เวลาแคสติ้งนักแสดง ต้องหาคนตัวใหญ่ๆ หน้าดุๆ เพื่อเอามาเป็นภาพแทนว่านี่เป็นคู่ต่อสู้ของพระเอกหรือฝั่งไทย และไทยกำลังต่อสู้อยู่กับความยากลำบาก ความโหดร้าย อีกฝั่งเป็นพวกกักขฬะ รุนแรง สมควรตาย”
ประเด็นคือสิ่งที่อยู่ในหนังใช่ความจริงหรือไม่
ธีระวัฒน์บอกว่า ถ้าคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ เข้าใจความจริง ดูแล้วจะเฉยๆ และรู้ว่ายุคนั้นยังไม่ได้เป็นไทย พรมแดนของประเทศไทยยังไม่เกิด พื้นที่ยังเป็นแค่อาณาจักรหนึ่งเท่านั้น แต่หนังที่ทำในปัจจุบันคือการสร้างมายาคติ พาคนดูย้อนหลังกลับไปแล้วผูกอคติขึ้นมา ทั้งที่คนดูไม่ได้รู้จักคนพม่าในปัจจุบันด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างไร คนไทยแทบไม่รู้จักแรงงานพม่าที่ทำงานรับค่าแรงถูกๆ ว่าเขาอยู่กันอย่างไร
“อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความคลั่งชาติให้คนดู”
ธีระวัฒน์บอกอีกว่า แต่หากพูดอีกมุมหนึ่งก็ไม่น่าแปลกอะไร เพราะในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ หลายเรื่องก็สร้างมาเพื่อพร็อพพาแกนดาความคิดทางการเมืองอยู่แล้ว
“เยอรมนีในยุคนาซีก็มี Leni Riefenstahl ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘Triumph of the Will’ หนังเรื่องนี้ยกย่องเชิดชูนาซีและชนชาติอารยัน ผลที่ตามมาคือ มันเกิดการแบ่งว่าใครเป็นเชื้อชาติแท้หรือเทียม จนนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โลกลืมไม่ลง”
ไม่เพียงแต่หนังประวัติศาสตร์ชาตินิยม แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังโตไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยด้วย ธีระวัฒน์บอกว่าภาพยนตร์ไทยหลายต่อหลายเรื่องสร้างภาพโรแมนติกให้ชนบท สร้างภาพให้ชาวบ้านต่างจังหวัดดูเป็นคนซื่อและใสสะอาด ทั้งที่ความจริงชาวบ้านมีความเป็นการเมือง ชนบทไม่ได้โรแมนติก ชีวิตประจำวันพวกเขารู้จักการต่อรอง ประนีประนอม และเล่นการเมืองเป็น
“วันดีคืนดีพวกคุณเดินออกมาจากโรงหนัง แล้วเห็นว่าชาวบ้านไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด ไม่เหมือนในหนังที่ดู คุณก็ไปหาว่าเขาโง่ หรือโดนนักการเมืองหลอก กระทั่งเลยเถิดไปมองว่าเขาไม่ใช่คนไทย และสุดท้ายเมื่อเขาเชื่อไม่เหมือนคุณ คุณก็ไปรังเกียจเขา และอาจยินดีถ้ามีใครไปฆ่าเขาเสีย”
ธีระวัฒน์ไม่ลังเลที่จะบอกว่าเขาต่อต้านอำนาจนอกระบบมาก่อนหน้าที่จะเข้ามาทำเอ็มวีประเทศกูมี
หนังสั้นเรื่องแรกที่เขาทำ แต่ไม่ได้ลงชื่อ คือเรื่อง ‘นี่คือเหตุผลที่ทำไมคนไทยต้องเท่ากัน’ เผยแพร่ลงในเพจสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย ปี 2556
ในช่วงเวลาที่ม็อบ กปปส. ปิดคูหาล้มการเลือกตั้ง มีจดหมายของชาวนาจาก ต.วังกรด จ.พิจิตร เขียนมาถึงอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และธีระวัฒน์มีโอกาสได้อ่านจดหมายฉบับดังกล่าว
“ผมเห็นว่าเสียงของคนต่างจังหวัดมีความหมาย แต่สิทธิเสรีภาพของเขาถูกริบไปด้วยการที่มีคนเมืองออกมายึดประเทศ เป่านกหวีด และเหยียดหยามคนอื่นที่คิดต่างออกไป ว่าพวกเขาเป็นพวกเสียงที่ไม่มีคุณภาพบ้าง ถูกหลอกจากนักการเมืองบ้าง พูดง่ายๆ ก็คือดูถูกคนว่าไม่เท่ากันนั่นแหละ”
ประเด็นคือ ทั้งที่สายงานของผู้กำกับผมยาวเคราครึ้มคนนี้ น่าจะนำพาให้เขามีชีวิตสุขสบายดี แล้วจะหันมาเดือดเนื้อร้อนใจกับวิกฤตการเมืองไทยทำไม
“ส่วนตัวผมเป็นคนทำงานศิลปะ และผมไม่สามารถแยกตัวเองออกจากเนื้อดินสังคมนี้ได้ ผมเห็นประวัติศาสตร์ที่คนไทยฆ่ากันเองเพียงแค่เพราะคิดต่างกัน และถูกฝ่ายชนชั้นนำบิดเบือนว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูของชาติ ผมเห็นใจคนที่ถูกกดเหยียบ ถูกทำให้ต่ำต้อย ทั้งที่เขามีค่า มีศักดิ์ศรีเท่ากับทุกคน แต่กลายเป็นว่างานศิลปะในสังคมนี้ส่วนใหญ่กลับไปส่งเสริมการกดเหยียบศักดิ์ศรีคน”
เขาบอกว่างานศิลปะควรเปิดพื้นที่ให้คนได้คิดต่างบ้าง ไม่เช่นนั้นพอคิดเหมือนกันหมด ถ้ามีใครคิดต่างออกไป ก็ต้องไปเกลียดกัน หรือไปฆ่ากันอีก “เราอยากจะอยู่ในสังคมแบบนี้เหรอ”
“ที่ผมออกมาทำเอ็มวีกับกลุ่ม Rap Against Dictatorship ส่วนหนึ่งเพราะผมคิดว่าเวลาของผมกำลังจะหมด ถ้านับอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ ผมอาจจะอยู่ได้แค่ 20-30 ปี แต่คนรุ่นใหม่มีภาระที่ต้องอยู่ไปอีกนาน และผมคิดว่าสังคมในอนาคตของพวกเขาควรจะดีกว่าที่เป็นอยู่ ผมมีความหวังและผมไม่รอที่จะออกมา” ธีระวัฒน์ กล่าว
แว่นตาสายละคร
“ในมุมของผม เอ็มวีประเทศกูมีที่เล่าถึงฉากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ กำลังตั้งคำถามว่า คนเราสามารถสนุกสนานกับความรุนแรงตรงหน้าได้อย่างไร และดูเหมือนว่าแม้จะผ่านมากว่า 40 ปีแล้ว ก็ยังมีคนไม่น้อยที่สนุกไปกับความรุนแรงได้อย่างเป็นปกติ”
ภาสกร อินทุมาร หัวหน้าสาขาวิชาการละคอน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สะท้อนมุมมองต่อเอ็มวีเพลงแร็ปที่กำลังสั่นคลอนอำนาจรัฐอย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม เขาย้อนเล่าว่าก่อนที่ทีมงานผู้แต่งเพลงประเทศกูมีจะถูกคุกคาม ละครเวทีเรื่อง ‘บางละเมิด’ เมื่อปี 2559 ของกลุ่มละครบีฟลอร์ กำกับโดย ‘อรอนงค์ ไทยศรีวงศ์’ แม้ไม่แมสเท่าประเทศกูมี แต่ก็มีทหารเข้ามาดูทุกรอบ
“มันสะท้อนว่าศิลปะกำลังสำแดงการขัดขืนอำนาจในห้วงเวลาที่สังคมกำลังถูกกด”
นอกจากศิลปินขบถในสังคมไทย ภาสกรยกตัวอย่างถึงแนวรบด้านศิลปวัฒนธรรมในต่างประเทศเพิ่มเติม โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ ที่ ‘เครือข่ายละครประชาชนแห่งฟิลิปปินส์’ (People’s Theatre Network of the Philippines) ใช้การละครตั้งคำถามกับอำนาจเถื่อนของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์คอส เผด็จการที่ครองอำนาจในช่วงปี 1985-1986
เขาเล่าว่า เครือข่ายละครฯ ดังกล่าวประกอบไปด้วยกลุ่มละครต่างๆ ที่มาจากฐานชุมชน 300 กลุ่ม สมาชิกในเครือข่ายได้กระจายตัวกันไปยังชุมชนต่างๆ เพื่อแสดงละครให้เห็นถึงปัญหาจากการกดขี่ของมาร์คอส เพราะสื่อถูกปิด ไม่อาจนำเสนอข่าวสารได้
“ละครได้ตอกย้ำภาพการเอารัดเอาเปรียบของรัฐบาล และในการเดินขบวนประท้วงของประชาชน ละครคือแนวหน้าของขบวน กระทั่งการเคลื่อนไหวขับไล่เผด็จการได้รับชัยชนะ เมื่อมาร์คอสหลบหนีออกนอกประเทศไปเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1986”
ภาสกรเล่าอีกว่า หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เครือข่ายละครได้ก่อรูปเป็น ‘สมาคมละครเพื่อการศึกษาแห่งฟิลิปปินส์’ (Philippine Educational Theatre Association – PETA) พวกเขามุ่งสร้างการเรียนรู้มากกว่ารูปแบบการแสดง สิ่งนี้ทำให้นักละครของ PETA เรียกตัวเองว่า ‘ATER’ ที่มาจากคำว่า Artists, Teachers, Organizers และ Researchers
ทุกวันนี้เขาบอกว่า PETA ยังคงมีบทบาทในการใช้ละครสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชน การเรียกตัวเองว่า ‘ATER’ ซึ่งมีคำว่า ‘ครู’ เป็นองค์ประกอบ สะท้อนให้เห็นว่านักละครมีเจตจำนงในการสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้ชม รวมทั้งในกระบวนการสร้างการเรียนรู้ นักละครต้องเป็นผู้สร้างและศึกษาหาความรู้อีกด้วย
ดังนั้น นอกจากการเป็นนักแสดงและนักจัดการแล้ว การเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ และการใช้ความรู้ของนักละคร ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ละครสามารถสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้ชมได้
แว่นตาสายหมอลำ
“ผมคิดว่าเพลงประเทศกูมีเป็นสัญญาณของการต่อสู้ครั้งใหญ่ แวดวงดนตรีเราขาดตอนมานาน เพลงเพื่อชีวิตก็ถูกแปรรูปไปเป็นฝ่ายรับใช้เผด็จการแทน”
ถนอม ชาภักดี นักวิจารณ์ศิลปะ เริ่มต้นอธิบายอารมณ์ของสังคมที่ได้รับอิทธิจากเพลงประเทศกูมี ซึ่งปัจจุบันมียอดเข้าชมถึง 27 ล้านวิวแล้ว
เขาคิดว่าปรากฏการณ์ประเทศกูมีสะท้อนนัยยะสำคัญว่าคนกำลังกระหาย หิวโหยเสรีภาพ ไม่รู้จะออกจากความอึดอัดคับข้องไปทางไหน และแต่ละคนก็รอหาเสียงตัวแทนที่พูดแทนความคับข้องของตัวเอง
ขณะเดียวกัน ถนอมพาย้อนไปก่อนหน้าที่สังคมไทยจะรู้จักยุคสมัยแร็ปเปอร์ ย้อนไปตั้งแต่ประเทศไทยยังเป็นสยาม
“เวลาเราพูดถึงเพลงขบถ เรามักจะคิดถึงเพลงที่เป็นภาษาไทย แต่อย่าลืมว่าเพลงหมอลำก็ขบถมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แล้ว เห็นชัดๆ ได้ในวัฒนธรรมกลุ่มกบฏผีบุญแทบภาคอีสาน ที่ปฏิเสธอำนาจรัฐส่วนกลางชัดเจน และกบฏผีบุญคนสุดท้ายก็มาตายในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ขอนแก่น”
เขามองว่าสังคมไทย โดยเฉพาะแวดวงศิลปินที่คิดว่าตัวเองทำงานต่อต้านอำนาจรัฐ ไม่เคยพูดถึงความเป็นขบถของคนเหล่านี้เลย
“ถ้ามองความเป็นศิลปินขบถ รากฐานของมันยึดโยงอยู่กับการไม่มีพื้นที่ ทั้งพวกกราฟิตี้ หรือแร็ปเปอร์ ศิลปินเหล่านี้ถูกปฏิเสธจากพื้นที่ทางสังคมของคนส่วนใหญ่ และผมคิดว่าถ้าเรามองเข้าไปในสังคมไทยดีๆ จะเห็นว่าการต่อต้านอำนาจรัฐส่วนกลางมีมาตลอด ไม่ว่าจะต่อต้านด้วยอาวุธหรือต่อต้านด้วยวัฒนธรรมก็ตาม แต่การขบถหรือต่อสู้ กลับถูกนับว่าใครใช่หรือไม่ใช่ขบถจากแว่นของคนเมืองมากกว่า ถ้าเราให้ความสำคัญกับคนที่ถูกกดด้วยอำนาจรัฐจริงๆ เราจะได้ยินเสียงของคนอีกมากในแผ่นดินนี้”
นักวิจารณ์ศิลปะยกตัวอย่างในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ที่มักพูดกันว่าเป็นยุค ‘น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก‘ ช่วงปี 2500 รัฐบาลยุคนั้นใช้ขอนแก่นเป็นโมเดลในการเปิดศักราชของการพัฒนา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ซึ่งประกาศเมื่อปี 2504 รัฐบาลก็ร่างกันที่บึงแก่นนคร จ.ขอนแก่น
“ขอนแก่นเป็นโมเดลสำคัญที่ส่วนกลางเข้าไปคุกคาม ทำลายความเป็นสามัญ ถนนมิตรภาพจากสระบุรีเข้าโคราช จากโคราชไปหนองคาย ก็เป็นหนึ่งในแผนสมคบคิดกันของจอมพลสฤษดิ์กับอเมริกา”
เขาคิดว่าการรำพึงรำพันแบบขบถมีอยู่ในตัวคนทุกคน เพียงแต่ว่าใครจะเป็นคนเริ่มสะกิดและเปิดให้ความขบถของแต่ละคนออกมารวมกันเป็นพลังมวลชนได้ ถนอมคิดว่า ‘หมอลำ’ สามารถปลุกความขบถของแต่ละคนออกมาได้
“ในช่วงสงครามเย็น หมอลำถูกใช้ทั้งจากฝ่ายรัฐและฝ่ายคอมมิวนิสต์ เพื่อต่อสู้ช่วงชิงมวลชนของกันและกัน CIA เคยพาหมอลำไปเที่ยวอเมริกาก่อนใครด้วยซ้ำ กระทั่งว่า CIA ยังเคยพาหมอลำนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปรำบนอากาศ เพื่อให้คนได้ฟังก็มี”
ทั้งหมดนี้ ถนอมสรุปว่าเป็นการต่อสู้กันแบบ Soft Power หรือ ‘อำนาจละมุน’ ซึ่งเรียกตามราชบัณฑิต
แต่ปัญหาที่เขาเห็นเป็นสาระ คือช่วงเวลาที่ผ่านมาเผด็จการทหารและชนชั้นนำมีความแยบยลมาก สามารถปลุกเร้ากล่อมเกลาให้กระบวนการทางศิลปะตกไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายเผด็จการได้มากกว่าที่ศิลปินฝ่ายประชาธิปไตยจะเอามาใช้
“คนทำเพลงประเทศกูมีกล้าหาญที่จะเสี่ยง เพราะถ้าไม่เสี่ยงมันไม่มีทางที่จะสร้างความหวังได้ ผมคิดว่าเวลานี้ศิลปะทุกแขนงสามารถตื่นตัวและหยิบยื่นความน่าละอายให้กับเผด็จการได้” ถนอมทิ้งท้าย
หมายเหตุ – มุมมองบางส่วนของภาสกร อินทุมาร และถนอม ชาภักดี เรียบเรียงจากวงเสวนาหัวข้อ ‘ศิลปะ อำนาจ และการขัดขืน’ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์