All of Us are Dead ซีรีส์ซอมบี้เกาหลีเรื่องล่าสุดใน Netflix กำลังเป็นที่โจษขานถึงความสนุกสนานตื่นเต้น โดยเฉพาะความพยายามของเหล่านักเรียนโรงเรียนมัธยมฮโยซาน ในการเอาชีวิตรอดจากบรรดาฝูงซอมบี้ที่ลุกลามบ้าคลั่งไปทั่วโรงเรียน นี่เป็นหนึ่งในสื่อบันเทิงของเกาหลีว่าด้วยซอมบี้ที่ออกมาให้เราได้ชมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากภาพยนตร์ Train to Busan และซีรีส์ Kingdom ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในแง่ของการตอบรับจากผู้ชม
คอลัมน์ชาติพันธุ์ฮันกุกในครั้งนี้จะชวนผู้อ่านไปทำความรู้จักซอมบี้ให้มากขึ้น และสำรวจว่าภายใต้ความตื่นเต้นระทึกขวัญของการวิ่งหนีซอมบี้ในโรงเรียนนั้น ซีรีส์ All of Us Are Dead กำลังบอกอะไรกับเรา การทำความเข้าใจตัวตนและความหมายที่ซ่อนอยู่ของซอมบี้ จะทำให้เราสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายที่ว่านี้ ก่อนที่จะมันลุกลามกัดกินพวกเรา และนำพาสังคมไปถึงจุดที่เราทุกคนล้วนตายกันหมดดังชื่อเรื่อง
ซอมบี้
ซอมบี้ คือสายพันธุ์ของสิ่งที่ตายแล้วแต่กลับยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจเกิดจากฝีมือของมนุษย์ โดยอาศัยวิธีทางไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือเกิดจากการผสมปนเปของสิ่งมีชีวิตข้ามสายพันธุ์ แม้ว่าซอมบี้จะปรากฏให้เห็นในหลายลักษณะ แต่โดยส่วนมากแล้ว เราจะพบว่าซอมบี้นั้นแม้มีตัวตน แต่ก็ปราศจากซึ่งจิตใจ ไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่มีความทรงจำ และไม่ต้องการสื่อสารกับใคร ตัวตนของมันตัดขาดจากอัตลักษณ์หรือสายสัมพันธ์ที่มีมาก่อนหน้า ชีวิตของมันถูกผลักดันด้วยสัญชาตญาณดิบ พวกมันไร้เจตจำนง เร่ร่อนไปอย่างไร้ทิศทางท่ามกลางฝูงชนที่ไม่แยแสต่อกัน พวกมันพร้อมที่จะกัดกินมนุษย์คนอื่นที่มีชีวิตจิตใจ และที่สำคัญ พวกมันขยายจำนวนแพร่พันธุ์ในสังคมได้อย่างรวดเร็ว และยากที่จะกำจัดให้หมดสิ้นไปได้
เราดำรงอยู่ท่ามกลางซอมบี้มากมายในสภาพความเป็นจริงของสังคม มีคนรอบตัวเราที่ใช้ชีวิตอย่างไร้จิตวิญญาณ บางคนปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยแรงผลักดันที่ปราศจากความยั้งคิด บางคนถูกตัดขาดละเลยจากสังคม บางคนใช้ชีวิตอย่างโหยหาอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา บางคนดำเนินชีวิตอย่างไร้จุดหมาย และบางคนพร้อมทำร้ายคนที่เข้ามาใกล้ ผู้คนเหล่านี้เพิ่มจำนวนประชากรอย่างรวดเร็วในสังคมสมัยใหม่ ไม่ต่างจากการซอมบี้และลักษณะการเป็นพาหะเชื้อร้าย (contagious) ของมัน
ซอมบี้เป็นอุปลักษณ์ของ ความตายที่ยังมีชีวิต (living dead) ในสังคมที่ผู้คนกระทำต่อกันเหมือนไม่มีชีวิต ในสังคมที่ผู้คนดำรงชีวิตอยู่อย่างตายทั้งเป็น และรวมถึงการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษและความรุนแรงในสังคม
ในวงการซอมบี้ศึกษา (Zombie Studies) ซอมบี้เป็นสัญลักษณ์ของความเน่าเฟะ ความเป็นอื่น ความไร้ระเบียบ และการตอบโต้อย่างเกรี้ยวกราดรุนแรง ซึ่งถูกบ่มเพาะหรือเป็นผลมาจากโครงสร้างและความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม งานจำนวนไม่น้อยเชื่อมโยงซอมบี้กับปะวัติศาสตร์การค้าทาส ผลจากสงคราม การขูดรีดในระบบทุนนิยม ชีวิตที่เปลือยเปล่าของผู้ลี้ภัย ผู้ตกเป็นเหยื่อของการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว และเพศสภาพ ไปจนถึงผลจากความรุนแรงที่มนุษย์มีต่อธรรมชาติ[1] ในซีรีส์ All of Us Are Dead ซอมบี้เป็นผลผลิตของความรุนแรง ระบบคุณค่า และความสัมพันธ์เชิงลบ ตลอดจนการเพิกเฉยต่อความผิดปกติในสถานศึกษา
อีบยองชาน ครูวิทยาศาสตร์แห่งโรงเรียนมัธยมฮโยซาน ทำการทดลองโดยการสกัดฮอร์โมนจากสัตว์มาฉีดให้กับลูกชายของตนเองซึ่งมักถูกรังแกโดยรุ่นพี่และเพื่อนในโรงเรียน ทั้งนี้ ด้วยความหวังว่าฮอร์โมนดังกล่าวจะกระตุ้นให้ลูกชายของเขาเกิดความเกรี้ยวกราด สามารถตอบโต้คนอื่นที่มาทำร้าย และล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา การทดลองข้ามสายพันธุ์ที่ว่านี้ได้ก่อให้เกิดเชื้อไวรัสร้ายที่เปลี่ยนแปลงให้มนุษย์กลายมาเป็นสัตว์ประหลาด ชัดเจนว่า ซอมบี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ หากแต่เป็นสิ่งสร้างทางสังคม (social construct) ซึ่งผลมาจากความอยุติธรรมเชิงสถาบัน การเพิกเฉยทางสังคม และการใช้อำนาจความรุนแรงข่มเหงรังแกคนอื่นที่เกิดขึ้นรอบตัวเรานี่เอง
โรงเรียนกับความรุนแรง
ต้นตอของการเกิดขึ้นของซอมบี้ใน All of Us Are Dead ก็คือความพยายามในการตอบโต้ต่อการถูกรังแก การถูกเพิกเฉย และการไม่ได้รับความยุติธรรมจากการถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนถือเป็นหนึ่งในปัญหาหลักในสังคมเกาหลี รวมถึงในประเทศอื่นๆ มาอย่างยาวนาน
ข้อมูลจากการสำรวจในกว่า 50 ประเทศชี้ว่าประมาณ 43% ของนักเรียนชั้นประถมศึกษามีประสบการณ์เคยถูกรังแกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และมี 14% ของนักเรียนต้องเผชิญกับการถูกรังแกทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ ข้อมูลการสำรวจเฉพาะในกลุ่มประเทศภายใต้องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ชี้ให้เห็นว่าประมาณ 23% ของนักเรียนรายงานว่าพวกเขาตกเป็นเหยื่อของการถูกรังแกอย่างน้อยสองถึงสามครั้งต่อเดือน และประมาณ 8% ของนักเรียนรายงานว่าพวกเขาถูกกลั่นแกล้งรังแกบ่อยครั้งกว่านั้น
ในเกาหลีใต้เอง ข้อมูลจากการสำรวจออนไลน์ระดับประเทศของกระทรวงศึกษาธิการแสดงให้เห็นว่า นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษามีอัตราของการถูกรังแกมากกว่านักเรียนในระดับมัธยมศึกษาถึงสามเท่า นั่นแสดงว่าความรุนแรงในโรงเรียนนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก ในบรรดาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนทั้งหมด การกลั้นแกล้ง (bullying) การล่วงละเมิดทางวาจา (verbal abuse) และการกีดกันทางสังคม (social exclusion) เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด
ในเมืองใหญ่อย่างกรุงโซล นักเรียนมากกว่า 40% รายงานว่าเคยตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอย่างน้อยหนึ่งครั้งในรอบหนึ่งปี โดยที่การกลั่นแกล้ง การทำร้ายร่างกาย (physical attack) และการล่วงละเมิด (harassment) เป็นความรุนแรงที่พบได้บ่อยที่สุด ความรุนแรงในโรงเรียนเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ซึ่งไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำเท่านั้น แต่เกี่ยวพันอย่างมากกับผู้ก่อความรุนแรงด้วย จากการสำรวจพบว่า มากกว่า 30% ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาในห้าเมืองใหญ่ของเกาหลียอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงรูปแบบต่างๆ ในโรงเรียน ที่สำคัญก็คือว่า ความรุนแรงดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในรั้วโรงเรียนเท่านั้น ในสังคมที่เด็กและเยาวชนมีชีวิตอีกด้านหนึ่งอยู่บนโลกออนไลน์ การกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต (cyberbullying) จากเพื่อนและรุ่นพี่ในโรงเรียนได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา[2]

ความรุนแรงในโรงเรียนเกิดขึ้นในหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงทางกายภาพ เช่น การทำร้ายร่างกาย การรีดไถเงิน การทำลายหรือยึดข้าวของเครื่องใช้ และรวมถึงการทำโทษนักเรียนทางร่างกายด้วย ความรุนแรงทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้วาจาว่ากล่าว ดูถูก เสียดสี และรวมถึงการข่มขู่ให้หวาดกลัว ความรุนแรงทางเพศซึ่งคร่อมข้ามทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น การล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืน การอนาจาร และความรุนแรงทางสังคม เช่น การกลั่นแกล้ง การประจาน การกีดกันแบ่งแยกออกจากกลุ่ม และการทำให้อับอาย
ใน All of Us Are Dead เราได้เห็นรูปแบบความรุนแรงในโรงเรียนข้างต้นในหลายลักษณะ ชอลซูตกเป็นเหยื่อของการทำร้ายร่างกายจากกลุ่มอันธพาล และถูกบังคับให้มีส่วนในการกลั่นแกล้งประจานอึนจีทางอินเทอร์เน็ต อึนจีถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์จนทำให้เธอคิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ควีนัมนักเลงผู้กลายมาเป็นซอมบี้กลายพันธุ์ มักถูกรุ่นพี่หัวโจกข่มขู่และใช้กำลังบังคับ ซูฮยอกเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอันธพาลที่ชอบใช้ความรุนแรงมาก่อน หัวหน้าห้องนัมราถูกทำให้รู้สึกแปลกแยกและปลีกตัวออกห่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ เพียงเพราะเธอเรียนเก่งที่สุดของห้อง กยองซูถูกประจานและดูถูกเพราะฐานะทางเศรษฐกิจของเขา และนายอน แม้เกิดในครอบครัวที่ฐานะดี แต่ก็มีสภาพจิตใจที่อ่อนแอและพร้อมทำร้ายคนอื่น เพราะเธอไม่เคยได้รับการเหลียวแลสนใจจากใครเลย นี่ยังไม่รวมความรุนแรงทางเพศซึ่งส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในวัยเรียน

ความรุนแรงในโรงเรียนไม่ได้เป็นเรื่องเชิงบุคคลระหว่างผู้ก่อความรุนแรงและเหยื่อเท่านั้น หากแต่เชื่อมโยงกับบรรทัดฐานความสัมพันธ์ และรูปแบบการบริหารจัดการในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้อำนาจของครูและผู้บริหาร การจัดลำดับชั้นของนักเรียนตามความสามารถ และรูปแบบการลงโทษด้วย นอกจากนี้ งานการศึกษาเรื่องความรุนแรงในโรงเรียนจำนวนไม่น้อยชี้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเป็นภาพสะท้อนค่านิยมของสังคมที่กว้างออกไป ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับผู้อาวุโส การเหยียดเพศ การยกย่องคนที่มีฐานะ หน้าตา และสติปัญญา การแข่งขันเพื่อเอาชนะ การให้ความสำคัญกับเส้นสายและพรรคพวก ตลอดจนการเพิกเฉยทางสังคมต่อความความทุกข์ทนของคนอื่น[3]
บูลลี่ : พื้นที่คร่อมข้ามระหว่างผู้กระทำกับเหยื่อ
หนึ่งในรูปแบบความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือการกลั่นแกล้ง หรือ การบูลลี่ (bullying) มีการให้นิยามการบูลลี่ที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วการบูลลี่มักหมายถึง พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความรุนแรงซึ่งกระทำต่อผู้อื่นอันเป็นผลมาจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียม บางคนมองว่าการบูลลี่ต้องเป็นพฤติกรรมที่กระทำต่อผู้อื่นซ้ำๆ หรือกระทำโดยกลุ่มคน แทนที่จะเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากบุคคลเพียงคนเดียว แต่กระนั้นประเด็นข้อแตกต่างปลีกย่อยเชิงนิยามเหล่านี้ ก็ไม่ได้ลบล้างความจริงที่ว่าการบูลลี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในโรงเรียน ส่งผลต่อผลถูกกระทำในหลายมิติ และความบอบช้ำที่เกิดขึ้นนั้นดำรงอยู่อย่างยาวนานแม้ว่าผู้ถูกกระทำนั้นจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
จากการศึกษาอาการที่เกิดจากความผิดปกติทางจิตและความพยายามฆ่าตัวตาย ของคนวัยหนุ่มสาวซึ่งเคยตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ในช่วงวัยเรียน พบว่า บุคคลที่มีประวัติของการถูกบูลลี่มีแนวโน้มที่จะถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะซึมเศร้า (depression) และวิกลจริต (psychosis) มากกว่าบุคคลทั่วไป ประสบการณ์ของการถูกบูลลี่มักเชื่อมโยงกับอาการของโรคซึมเศร้า เช่น ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์และความสัมพันธ์ทางสังคมที่ลดลง ความยากลำบากในการผูกมิตรกับคนอื่น และความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ การศึกษาชี้ว่าคนที่เคยถูกปฏิเสธจากกลุ่มเพื่อนหรือถูกกกีดกันทางสังคมมาก่อน มักจะมีทัศนคติเชิงลบต่อสิ่งต่างๆ มีความหวาดระแวงต่อการถูกกลั่นแกล้ง และรู้สึกไม่มั่นคงต่อสถานภาพทางสังคมของตนเอง ที่สำคัญก็คือ แม้ว่าจะผ่านการช่วงเวลาของใช้ชีวิตในโรงเรียนมานานแล้ว แต่คนหนุ่มสาวที่เคยมีประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนเหล่านี้ ก็มักมีแนวโน้มต่อการมีความคิดและความพยายามในการฆ่าตัวตายมากกว่าคนทั่วไปเมื่อพวกเขาเติบโตมีอายุมากขึ้น ความบอบช้ำทางจิตใจที่เกิดขึ้นในวัยเรียนนี้ทำให้พวกเขามีชีวิตไม่ต่างจากซอมบี้ ที่ซึ่งตัวตนวางทาบอยู่บนความคาบเกี่ยวระหว่างการมีชีวิต การไร้ชีวิต และการมีชีวิตอยู่อย่างตายทั้งเป็น[4]
เมื่อมองซอมบี้ในฐานะอุปลักษณ์ของความรุนแรง เราจะพบว่าซอมบี้มีตัวตนอยู่ในสถานะที่นักมานุษยวิทยา วิกเตอร์ เทอร์เนอร์ (Victor Turner) เรียกว่า ‘สภาวะคร่อมข้าม’ (liminality)[5] ความน่าหวาดกลัวของมันวางอยู่บนสภาวะไร้ซึ่งสถานะตัวตนที่ชัดเจน มันเป็นสิ่งที่ตายแล้วแต่ยังกลับมีชีวิต มันเคยเป็นเพื่อน เป็นญาติ หรือเป็นคนที่เรารู้จัก แต่กลับกลายเป็นคนแปลกหน้าในเวลาอันสั้น มันมักปรากฏตัวในเวลาและรูปแบบที่เราไม่คาดฝัน มันวิ่งพล่านไร้ระบบระเบียบ และยากต่อการจัดประเภท นอกจากนี้ ซอมบี้ยังต่างจากปิศาจในแง่ที่มันไม่ได้มีตัวตนเพียงตัวเดียว หากแต่สามารถแพร่กระจายและขยายประชากรมากมายได้ง่ายในสังคม ซอมบี้จึงเป็นภาพตัวแทนอย่างดีของความเป็นอื่น (otherness) ที่คร่อมข้าม และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในสังคมนั่นเอง
ความรุนแรงในโรงเรียนมีลักษณะไม่ต่างจากสภาวะคร่อมข้ามของซอมบี้ ที่ซึ่งความเป็น ‘เหยื่อ’ (victim) และ ‘การเป็นผู้กระทำ’ (perpetrator) ความรุนแรงนั้นไม่มีเส้นแบ่งที่ตายตัว ความสัมพันธ์ที่ไม่แยกขาวออกจากดำอย่างชัดเจนนี้ ถูกฉายให้เห็นใน All of Us Are Dead อย่างชัดเจน ตัวละครในเรื่องช่วยให้เราเข้าใจความซับซ้อนและลักษณะคร่อมข้ามของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเป็นอย่างดี

ยุนควีนัม ซอมบี้ตัวร้ายและตายยาก เป็นนักเลงหัวโจก เขากับเพื่อนร่วมกันใช้กำลังข่มขู่และบังคับให้อึนจีเปลื้องผ้า ถ่ายวิดีโอและนำไปเผยแพร่ประจานในอินเทอร์เน็ต ควีนัมยังเป็นผู้ลงมือฆ่าครูใหญ่ของโรงเรียนอย่างอำมหิต เขาเป็นตัวร้ายในสายตาของใครหลายคน ไม่ต่างจากซอลชู เด็กนักเรียนชายที่หนีเอาตัวรอดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปคนเดียว ทิ้งให้เพื่อนคนอื่นๆ ต้องตกอยู่ในอันตรายจากหลบหนีฝูงซอมบี้อย่างเอาเป็นเอาตาย หรือไม่ต่างจากนายอน เด็กสาวที่นอกจากจะชอบใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยามคนอื่นอยู่เสมอแล้ว เธอยังทำในสิ่งที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือการเอาผ้าที่เปื้อนเลือดซอมบี้ไปเช็ดแผลของกยองซู ซึ่งทำให้เขาต้องกลายมาเป็นซอมบี้อย่างน่าเวทนา
สำหรับใครหลายคน ควีนัม ซอลชู และนายอน คือตัวร้าย ซึ่งสามารถการกระทำความรุนแรงต่อคนอื่นๆ ได้อย่างไร้ความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาให้ดี เราจะพบว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้มีชีวิตเพียงด้านเดียวในแง่ของการเป็นผู้ก่อความรุนแรงต่อคนอื่นเท่านั้น ทว่า พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ มาก่อนทั้งสิ้น ควีนัมถูกรุ่นพี่กดหัวและใช้กำลังบีบบังคับให้เขาเป็นลูกสมุนมาอย่างยาวนาน ซอลชูเป็นนักเรียนที่อ่อนแอที่มักถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ นอกจากนี้เขายังถูกบังคับให้มีส่วนในการไซเบอร์บูลลี่อึนจีเพื่อนสาวที่เขาหลงรัก ส่วนนายอน เธอถูกละเลยจากครูและเพื่อนที่โรงเรียน และต้องแบกรับแรงกดดันจากครอบครัวที่มองหาความเป็นเลิศทางการเรียนจากเธอ
เมื่อพิจารณาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เราจะพบว่าเส้นแบ่งระหว่างผู้กระทำกับเหยื่อมักถูกคร่อมข้ามอยู่เสมอ จากการศึกษาการบูลลี่ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนในเกาหลีใต้รวมทั้งในที่อื่น ๆ ผ่านแนวคิดทางอาชญาวิทยาว่าด้วยความกดดันทั่วไป (General Strain Theory)[6] พบว่า เยาวชนที่มีความกดดันอันเกิดจากประสบการณ์ของการตกเป็นเหยื่อจากความรุนแรง หรือมีแรงกดดันจากความขัดแย้งในครอบครัวมาก่อน มักมีแนวโน้มที่จะเข้าไปมีส่วนในพฤติกรรมบูลลี่ โดยเฉพาะในเวลาที่พวกเขาสามารถควบคุมตัวเองได้น้อยหรือมีโอกาสไปข้องแวะกับกลุ่มเพื่อนที่มักก่อเรื่องอยู่เสมอ นักเรียนที่ถูกเพื่อนบูลลี่มาก่อน มักแสดงพฤติกรรมบูลลี่คนอื่น ทั้งเพื่อปกป้องตนเองและเพื่อปลดปล่อยความกดดันที่สะสมมาจากการเป็นผู้ถูกกระทำนั่นเอง[7]
เช่นนั้นแล้ว วงจรการระบาดของความรุนแรง ก็คือ คนที่ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ มักจะกลายเป็นคนที่บูลลี่ หรือก่อความรุนแรงต่อผู้อื่นในเวลาต่อมา ความรุนแรงถูกถ่ายทอดและแพร่กระจายเหมือนกับไวรัสร้ายที่ขยายพันธุ์โดยซอมบี้ และความรุนแรงในตัวมันเองก็เหมือนซอมบี้ครึ่งผีครึ่งคน ในแง่ที่ว่ามันดำรงอยู่อย่างคร่อมข้ามระหว่างเหยื่อกับผู้กระทำนั่นเอง
ความตายที่ยังหายใจ
จากที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ความรุนแรงในโรงเรียนไม่ได้เป็นเรื่องเชิงบุคคลระหว่างผู้ก่อความรุนแรงและเหยื่อเท่านั้น หากแต่เชื่อมโยงกับบรรทัดฐาน ความสัมพันธ์ และมาตรการต่างๆ ในสถาบันการศึกษาด้วย จากการสำรวจการรับมือของครูในโรงเรียนต่อปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนพบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีรูปแบบการรับมือกับการบูลลี่และความรุนแรงต่างๆ อย่างเป็นระบบ ส่วนหนึ่งของปัญหาดังกล่าวก็คือ ทัศนคติของครูและผู้บริหารโรงเรียนส่วนใหญ่ที่ว่าการกลั่นแกล้งในโรงเรียนนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของเด็ก ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรนัก
นอกจากนี้ โรงเรียนจำนวนมากมักปกปิดหรือเก็บงำกรณีที่เกิดขึ้นไว้ในโรงเรียนโดยไม่พยายามเข้าไปแก้ไขด้วยเพราะกลัวเสียชื่อเสียง หรือไม่ก็ผลักภาระให้เป็นเรื่องของผู้ปกครอง ในหลายกรณี นักเรียนที่เป็นผู้ก่อเหตุหรือตกเป็นเหยื่อได้รับการแก้ไขโดยการให้ย้ายที่เรียน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหามากนัก ด้วยเหตุว่า การย้ายที่เรียนมักทำให้เกิดการตัดขาดจากเพื่อนกลุ่มเดิม ส่งผลให้ปรับตัวได้ยากและถูกตัดขาดจากสังคม และที่สำคัญ การกลั่นแกล้งในปัจจุบันมักเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ ที่ทำให้ผู้กลั่นแกล้งยังคงสามารถก่อกวนเหยื่อได้ แม้ว่าจะไม่ได้พบหน้ากันในโรงเรียนก็ตาม[8]

เป็นที่ทราบกันดีว่าระบบการศึกษาในเกาหลีนั้นเป็นระบบที่มีการแข่งขันกันสูง นักเรียนและผู้ปกครองโดยเฉพาะในระดับชั้นมัธยมต่างหมกมุ่นกับการเรียนเพื่อสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความหวังว่าการศึกษาจะช่วยเสริมสร้างชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น มีสถานภาพได้รับการยอมรับ ได้มีคู่ครองที่ดี และมีอาชีพการงานที่มั่นคง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ระบบการศึกษาที่บ้าคลั่งนี้ ได้ทำลายชีวิตและก่อให้เกิดความตึงเครียดและความรุนแรงที่แสดงออกมาทั้งในครอบครัวและในโรงเรียนอย่างมากมาย ความรุนแรงที่ว่านี้หากไม่ทำให้คนเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น หลายครั้งมันก็นำไปสู่การปลิดชีวิตของคนหนุ่มสาวก่อนวัยอันควร
จากการสำรวจในปี 2012 พบว่ามีจำนวนวัยรุ่นที่ถูกสำรวจมากกว่า 10% บอกว่าเคยมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย การสำรวจที่ดำเนินการในปีถัดมาพบว่าร้อยละของวัยรุ่นที่มีความคิดฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นเป็น 37% และในปี 2014 เพิ่มมากขึ้นเป็น 50% โดยเกือบหนึ่งในสามกล่าวว่าพวกเขารู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก และประมาณ 40% ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่บอกว่ามีความคิดฆ่าตัวตายนั้น ระบุว่ามีสาเหตุจากความเครียดเพราะได้คะแนนไม่ดี

ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา รัฐบาลเกาหลีให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น ในปี 2001 รัฐบาลภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี คิมแดจุง มีนโยบายทำสงครามกับความรุนแรงในโรงเรียน มีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงให้ดูแลแผนกสืบสวนความรุนแรงในโรงเรียน
ในปี 2003 กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งมาตรการป้องกันเชิงกฎหมายว่าด้วยความรุนแรงในโรงเรียน ส่งผลให้โรงเรียนต่างๆ ต้องดำเนินโครงการให้การศึกษาเชิงป้องปรามแก่ครูและนักเรียนเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้โรงเรียนสร้างคณะกรรมการมาตรการความรุนแรงในโรงเรียน และจัดให้มีบริการให้คำปรึกษาและที่ปรึกษามืออาชีพมากขึ้น ในปี 2004 มีการออกกฎหมายว่าด้วยความรุนแรงในโรงเรียน ตามมาด้วยการจัดตั้งคณะทำงานพิเศษภายใต้รัฐบาลของโนมูฮย็อน เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนอย่างจริงจัง
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ได้กำหนดให้การแก้ปัญหาความรุนแรงและการบูลลี่ในโรงเรียนเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของชาติ ในสมัยประธานาธิบดี พัคกึนฮเย ในช่วงปี 2013 การลดความรุนแรงในโรงเรียนถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสี่นโยบายหลักด้านยุติธรรมทางอาญา โดยให้ความสำคัญกับปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนในระดับเดียวกับความรุนแรงในครอบครัว ความรุนแรงทางเพศ และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหาร
อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวของรัฐบาลยังไม่ประสบความสำเร็จนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงนั้นเป็นปัญหาที่มีรากหยั่งลึกอยู่ในระบบความสัมพันธ์และระบบคุณค่าในสังคม จำเป็นที่จะต้องอาศัยความเข้าใจ การปรับเปลี่ยน และความร่วมมือทั้งจากในโรงเรียนเอง จากการทำงานของหน่วยงานรัฐที่จริงจังกว่านี้ และความร่วมมือจากสถาบันทางสังคมอื่นๆ ในสังคมไปพร้อมกัน

บทสรุปของสงครามกับซอมบี้
นอกจากความระทึกขวัญและความบันเทิงแล้ว ซีรีส์ All of Us Are Dead ได้ชวนให้เรากลับมาพิจารณาการทำสงครามเพื่อเอาชนะซอมบี้ในฐานะที่เป็นภาพแทนของการแพร่ระบาดของความรุนแรงในโรงเรียน ในสงครามที่ว่านี้ มีปมปัญหาหลายอย่างที่ซีรีส์เรื่องนี้ได้ทิ้งไว้ให้เราได้คิดต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่เยาวชนคนรุ่นใหม่มักถูกทอดทิ้งจากรัฐ ความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่เชื่อมโยงความเหลื่อมล้ำกับปัญหาสังคม ตลอดจนการสร้างพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับคนรุ่นใหม่จะเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันด้วยความไว้วางใจ เข้าใจความแตกต่าง และเอื้ออาทรต่อกัน สงครามที่ว่านี้ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งจะสามารถต่อสู้ได้เพียงลำพัง ยิ่งเราตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่ว่านี้ได้เร็วมากเท่าไร เราก็จะสามารถหยุดการระบาดแพร่พันธุ์ของซอมบี้ในโรงเรียนและในสังคมได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
เราต้องไม่ลืมว่า ซอมบี้มัธยมไม่ได้เป็นสิ่งที่มีมาอยู่แล้วตั้งแต่ต้น หากแต่เป็นผลมาจากการละเลยเพิกเฉยต่อความรุนแรงและความอยุติธรรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าของเราทุกคนนี่เอง
[1] Lauro, Sarah Juliet (ed.). 2017. Zombie Theory: A Reader. Minneapolis and London: University of Minnesota Press.
[2] Han, Seunghee. 2021. School Violence in South Korea: International Comparative Analysis. Singapore: Springer.
[3] Kwon, Soonjung. 2015. Violence in South Korean Schools and the Relevance of Peace Education. PhD Dissertation, University of Birmingham.
[4] Bang, Young Rong and Park, Jae Hong. 2017. “Psychiatric Disorders and Suicide Attempts among Adolescents Victimized by School Bullying” Australasian Psychiatry 25(4): 376-380.
[5] Turner, Victor. 1995. The Ritual Process: Structure and Anti-Structure. New York: Aldine de Gruyter.
[6] Agnew, Robert. 1992. “Foundation for a General Strain Theory of Crime and Delinquency” Criminology, 30: 47-88.
[7] Moon, Byongook, Merry Morash, and John D. McCluskey. 2012. “General Strain Theory and School Bullying: An Empirical Test in South Korea” Crime & Delinquency, 58(6): 827–855.
[8] Yoon, Jina, Sheri Bauman, Taesan Choi, and Alisa S. Hutchinson. 2011. “How South Korean Teachers Handle an Incident of School Bullying.” School Psychology International, 32(3): 312–29.