ภาพจาก ResoluteSupportMedia
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาความขัดแย้งในอัฟกานิสถานยึดกุมพื้นที่หน้าข่าวต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรเริ่มถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานในช่วงเดือนเมษายนเป็นต้นมา และมีแผนว่าจะถอนทหารทั้งหมดภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ตามข้อตกลงที่สหรัฐอเมริกาได้ลงนามกับกลุ่มตาลีบันเมื่อต้นปี 2020
ความเปลี่ยนแปลงทางด้านความมั่นคงภายในอัฟกานิสถานส่งผลให้กลุ่มตาลีบันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นรัฐบาลปกครองประเทศแห่งนี้ กลับมามีลมหายใจอีกครั้งและเริ่มขยายอิทธิพลของตัวเองในพื้นที่ชนบท
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มตาลีบันก็เดินหน้าเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลอัฟกานิสถานอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความไม่ลงรอยกันในหลายประเด็น ส่งผลให้การเจรจาไม่ก้าวหน้า โดยเฉพาะการปฏิเสธการปล่อยนักโทษตาลีบัน กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตาลีบันเคลื่อนกองกำลังโจมตีเมืองใหญ่ทั่วประเทศ จนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2021 ที่ผ่านมา กลุ่มตาลีบันสามารถยึดกรุงคาบูล เมืองหลวงของประเทศได้สำเร็จ ในขณะที่ประธานาธิบดีอัชราฟ ฆานี ประกาศลงจากอำนาจ และเดินทางออกนอกประเทศ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เกิดคำถามขึ้นมากมายว่า เกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลอัฟกานิสถานในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยแห่งความพ่ายแพ้ และคำถามใหญ่กว่านั้นคือ อัฟกานิสถานภายใต้การนำของตาลีบันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ผมจึงถือโอกาสนี้มาวิเคราะห์และไขข้อสงสัยเหล่านี้ให้ทุกท่านครับ
ใครเป็นใครบนความขัดแย้งในอัฟกานิสถาน
เพื่อเป็นกุญแจไปสู่การทำความเข้าใจความสำเร็จเหนือกรุงคาบูลของกลุ่มตาลีบัน ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจตัวแสดงต่างๆ ในอัฟกานิสถานซึ่งมีความสลับซับซ้อนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรง
ตัวแสดงสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มตัวแสดงภายในประเทศและกลุ่มตัวแสดงภายนอกประเทศ
หนึ่งในตัวแสดงภายในประเทศหลักคือรัฐบาลอัฟกานิสถานที่ขึ้นมามีอำนาจหลังสหรัฐอเมริกาเข้ามาในปี 2001 รัฐบาลนี้อยู่ภายใต้การรักษาความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรที่ต้องการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายโดยเฉพาะกลุ่มอัลกออิดะฮ์ที่ก่อเหตุ 9/11 รัฐบาลจัดตั้งจากการรวมตัวกันของพันธมิตรฝ่ายเหนือซึ่งเป็นนักรบมูจาฮีดีนที่เคยต่อสู้กับโซเวียต และภายหลังก็กลายเป็นกองกำลังสำคัญในการต่อต้านตาลีบันในช่วงปี 1996–2001
อีกกลุ่มที่มีความสำคัญอย่างมากคือกลุ่มตาลีบัน กลุ่มนี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่อัฟกานิสถานตกอยู่ภายใต้วุ่นวายจากความขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจของบรรดานักรบมูจาฮีดีน กลุ่มตาลีบันอาศัยหลักคิดทางศาสนาเป็นแกนกลางและขับเคลื่อนการต่อสู้จนนำมาสู่ชัยชนะในปี 1996 ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรในปี 2001 ทำให้ต้องหลบไปอยู่ตามเขตพื้นที่ชนบท และในเวลานี้ พวกเขาได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
กลุ่มต่อมาที่เป็นตัวแปรที่ขาดไปไม่ได้คือ บรรดาขุนศึกตามเมืองต่างๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชัดเจน พวกเขาเหล่านี้มีกองกำลังเป็นของตัวเอง และหลายครั้งการตัดสินใจเลือกข้างก็นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในความขัดแย้งรอบนี้ก็เช่นเดียวกัน เพราะขุนศึกจำนวนมากเลือกเข้าข้างกลุ่มตาลีบัน
ส่วนตัวแสดงภายนอก แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นสหรัฐอเมริกา ตัวแปรสำคัญที่รักษาและพยุงความมั่นคงของรัฐบาลอัฟกานิสถานเอาไว้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นับแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นมามีอำนาจ การเริ่มเจรจากับตาลีบันส่งผลให้ดุลอำนาจภายในอัฟกานิสถานเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานเองก็เป็นตัวแสดงที่สำคัญมากโดยเฉพาะต่อทิศทางและก้าวย่างของกลุ่มตาลีบัน แม้ว่ารัฐบาลปากีสถานจะปฏิเสธความเกี่ยวข้องมาโดยตลอด แต่การตัดสินใจเชิงนโยบายของปากีสถานมักส่งผลอย่างสำคัญต่อเสถียรภาพในอัฟกานิสถาน อย่างการผงาดขึ้นมาของอิมราน ข่านพร้อมการประกาศชัดเจนว่าจะไม่ร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในการปราบปรามตาลีบัน นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่านี่คือตัวแปรหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจถอนทหารออก
นอกจากนี้ จีนและอินเดียที่นับว่าเป็นผู้ลงทุนสำคัญของอัฟกานิสถาน หรืออิหร่านและรัสเซียที่ค่อนข้างกังวลต่อปัญหาการก่อการร้ายล้วนมีบทบาทระดับหนึ่งต่อความขัดแย้งภายในอัฟกานิสถาน
ทำไมตาลีบันถึงได้เปรียบในการสู้รบครั้งนี้
ในส่วนนี้จะเป็นการวิเคราะห์ให้เห็นว่าตัวแสดงแต่ละตัวมีบทบาทและความสำคัญอย่างไรต่อความสำเร็จและความล้มเหลวในความขัดแย้งช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
หมุดหมายสำคัญของความขัดแย้งในครั้งนี้เริ่มจากบรรลุข้อตกลงการถอนทหารระหว่างสหรัฐอเมริกาและตาลีบันในช่วงต้นปี 2020 อันเป็นต้นตอสำคัญของความไร้เสถียรภาพในอัฟกานิสถาน เพราะการเจรจาดังกล่าวไม่ได้รวมรัฐบาลอัฟกานิสถานซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าไปในการเจรจาด้วย
ที่แย่ไปกว่านั้นคือข้อตกลงถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ระบุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างตาลีบันกับรัฐบาลอัฟกานิสถาน ซ้ำยังกำหนดไว้เพียงแค่การปกป้องกองกำลังของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจากการโจมตีของตาลีบันเท่านั้น ในขณะที่มีการเปิดช่องเกี่ยวกับกองทัพอัฟกานิสถานเอาไว้
ฉะนั้นหลังจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานไปเป็นจำนวนมากโดยไม่มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านความมั่นคงให้กับกองทัพอัฟกานิสถาน เกิดสภาพสุญญากาศทางความมั่นคงในหลายพื้นที่ของประเทศ และเปิดโอกาสให้ตาลีบันที่หลับไหลและส่องสุมกำลังพลมาเป็นเวลานานฉวยโอกาสดังกล่าวในการปฏิบัติการนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา
แน่นอนว่าตาลีบันยืนยันว่าจะยังรักษาคำมั่นที่จะไม่โจมตีกองทัพสหรัฐและพันธมิตร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตาลีบันจะไม่โจมตีกองทัพอัฟกานิสถาน เพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัน จุดนี้เองกลายเป็นที่มาของการสู้รบกันของทั้งสองฝ่ายแม้จะอยู่ในช่วงการเจรจาสันติภาพก็ตาม เพราะทั้งคู่ต่างต้องการแต้มต่อเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจต่อรอง
จุดเปลี่ยนสำคัญในความขัดแย้งเกิดขึ้นจากการไม่ยอมรับข้อเสนอปล่อยนักโทษตาลีบันเพื่อแลกกับการหยุดยิงของรัฐบาลอัฟกานิสถาน ส่งผลให้กลุ่มตาลีบันรุกคืบอย่างหนักตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ แม้ว่ากองทัพอัฟกานิสถานจะมีอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า แต่ด้วยยุทธวิธีแบบกองโจร อาศัยบ้านเรือนของประชาชน และแอบแฝงเข้าไปตามเมืองใหญ่ ส่งผลให้ยุทโธปกรณ์เหล่านั้นไม่สามารถใช้กับตาลีบันได้ หากรัฐบาลตัดสินใจใช้อาวุธหนักหรือเครื่องบินทิ้งระเบิดตามเมืองต่างๆ ก็จะทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บและล้มตาย อันจะสร้างภาพเสียอย่างมากให้กับรัฐบาลอัฟกานิสถาน ดังที่เกิดขึ้นจากการทิ้งระเบิดโรงพยาบาลที่ถูกกลุ่มตาลีบันยึด
ในขณะเดียวกัน สภาพการทุจริตภายในรัฐบาลถือเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้กองทัพอัฟกานิสถานอ่อนแออย่างมาก เพราะทหารจำนวนมากไม่ได้รับเงินค่าความเสี่ยง มีการทุจริตยุทโธปกรณ์ รวมไปถึงเสบียงในกองทัพ สิ่งเหล่านี้ลดขวัญกำลังใจของทหาร และนำมาซึ่งการยอมจำนนต่อตาลีบันแบบไม่มีการปะทะกันในหลายพื้นที่
ที่หนักหนาไปกว่านั้นคือมีทหารและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจำนวนมากแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับตาลีบัน โดยเฉพาะบรรดาขุนศึกตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ ที่เคยสนับสนุนรัฐบาลอัฟกานิสถานมาก่อน เช่น โมฮัมหมัด อิสมาอิล ข่าน ผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชสีห์แห่งเมืองเฮรัต และเป็นกำลังสำคัญให้รัฐบาลอัฟกานิสถานมาโดยตลอดในการต่อต้านตาลีบัน แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจพากองกำลังเข้าร่วมกับกลุ่มตาลีบันในที่สุด
นอกจากนั้นรัฐบาลอัฟกานิสถานยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรในช่วงที่เกิดการสู้รบอีกด้วย
เมื่อพิจารณาเงื่อนไขเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่าตาลีบันประสบความสำเร็จเหนือรัฐบาลอัฟกานิสถานเนื่องจากปัญหาความล้มเหลวภายในรัฐบาล ซึ่งเกิดขึ้นหลายจุดพร้อมกัน แต่แน่นอนว่าแรงกดดันจากนานาชาติส่งผลให้ตาลีบันจำเป็นต้องเลือกใช้แนวทางการเจรจาเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แทนที่จะใช้กำลังเข้าปกครองประเทศทั้งที่สามารถทำได้
แต่คำถามที่ยังต้องคิดกันต่อคือ หน้าตาของรัฐบาลอัฟกานิสถานใหม่จะเป็นอย่างไรภายใต้อำนาจของตาลีบันที่ชูประเด็นเรื่องรัฐอิสลาม และมุ่งเน้นใช้กฎหมายอิสลามในการปกครองประเทศ
อัฟกานิสถานภายใต้ตาลีบัน และความสำคัญต่อประเทศไทย
หลายฝ่ายยังคงกังขาว่าการเจรจาเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติจะส่งผลอย่างไรต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของอัฟกานิสถานหลังการลงจากอำนาจของประธานาธิบดีอัชราฟ ฆานี แต่เป็นที่แน่นอนว่า ผู้นำคนใหม่ของอัฟกานิสถานจะมาจากกลุ่มตาลีบัน และอัฟกานิสถานจะเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นเอมิเรตอิสลามอัฟกานิสถาน (Islamic Emirate of Afghanistan) ตามที่กลุ่มตาลีบันชูชื่อนี้มาโดยตลอดอย่างไม่ต้องสงสัย ที่สำคัญไปกว่านั้น มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่กฎหมายอิสลามจะถูกนำกลับมาใช้ในประเทศแห่งนี้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายอิสลามอาจเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตหลังจากที่ตาลีบันได้รับบทเรียนหลังการเข้ามามีบทบาทของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการยอมรับในหลักกติตาสากลของโลกมากยิ่งขึ้น ทำให้หลายๆ ครั้ง คำถามเรื่องสิทธิสตรีซึ่งเป็นประเด็นที่ตาลีบันถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมักนำมาซึ่งคำตอบที่ค่อนข้างเปิดกว้างกว่าเมื่อเทียบกับในอดีต แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าในทางปฏิบัติแล้ว รัฐบาลใหม่ภายใต้ตาลีบันจะทำได้จริงหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน
ที่แน่นอนกว่านั้น ตาลีบันมีแนวโน้มที่จะเปิดรับการลงทุนจากภายนอกเพื่อพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากความพยายามตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาในการเดินสายพบผู้นำประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการหยอดคำหวานเชื้อเชิญจีนเข้ามาลงทุนหลังจากที่ตาลีบันเป็นรัฐบาล ตรงนี้ก็จะเป็นโอกาสของไทยในการเข้าไปลงทุนในประเทศแห่งนี้เช่นกัน อัฟกานิสถานยังมีทรัพยากรจำนวนมากมหาศาลโดยเฉพาะสินแร่มีค่าอย่างทอง ทองแดง ดีบุก และธาตุหายาก (rare earth)
แต่สิ่งที่เขียนมาข้างต้นตั้งอยู่บนสมมติฐานสำคัญว่าสถานการณ์เข้าสู่ความสงบและกลุ่มตาลีบันมีความเป็นเอกภาพไม่ขัดแย้งกัน แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นและอัฟกานิสถานเข้าสู่สภาพสงครามกลางเมืองอีกครั้ง ผลกระทบย่อมเกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเด็นความมั่นคงและการก่อการร้าย
เหตุผลสำคัญที่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านอย่างปากีสถาน อิหร่าน อินเดีย จีนและรัสเซียต้องการให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอย่างสันติคือ ต้องการให้รัฐบาลไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามที่สามารถปกครองอัฟกานิสถานได้เข้าไปจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ที่ยังคงเคลื่อนไหวในอัฟกานิสถาน
การเกิดสงครามกลางเมืองย่อมนำมาซึ่งสภาพเสียสมดุลและสุญญากาศทางการเมืองและความมั่นคง ปัจจัยดังกล่าวส่งเสริมให้กลุ่มก่อการร้ายเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการค้าอาวุธเถื่อนของกลุ่มต่างๆ ซึ่งอาวุธเหล่านี้ก็มีความทันสมัย เนื่องจากตกทอดมาจากสหรัฐอเมริกา
สภาวะเช่นนี้จะเสริมเขี้ยวเล็บให้กลุ่มก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่มไอซิสแห่งโคราซาน หรือกลุ่มเคลื่อนไหวอิสลามแห่งเตอร์กิสถานตะวันออกที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ในอัฟกานิสถานมาโดยตลอด นำมาไปสู่ปัญหาเสถียรภาพภายในภูมิภาค
หากถามว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลอย่างไรต่อไทย ต้องมองว่าสภาวะสงครามกลางเมืองอาจจะมีส่วนต่อการเคลื่อนไหวในการเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่านักรบไอซิสจำนวนมากในอดีตก็มาจากภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ปัญหาการไหลบ่าของอาวุธผิดกฎหมายจากอัฟกานิสถานก็อาจส่งต่อมายังกลุ่มเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบในภูมิภาคก็เป็นได้
ฉะนั้นเรื่องราวของอัฟกานิสถานไม่ได้ไกลตัวเราอย่างที่คิด ความเปลี่ยนแปลงของประเทศแห่งนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อดุลภูมิรัฐศาสตร์โลก พลวัตความมั่นคงและการก่อการร้าย