ฤดูฝนปี 2558 ผู้เขียนใช้เวลา 11 วันเดินทางสำรวจอนุสาวรีย์ของฝ่ายรัฐที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามเย็นในพะเยา น่าน และเชียงราย การเดินทางครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยชื่อ Re-Establishing the Kingdom: The Anti-Communist Monuments in the Thai Highlands ซึ่งได้รับทุนจากโครงการ “Ambitious Alignments: New Histories of Southeast Asian Art” (2558-2559) ทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทุน Connective Art Histories ของ Getty Foundation ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย The Power Institute, University of Sydney ร่วมด้วย National Gallery Singapore และ Institute of Technology, Bandung
ช่วงหนึ่งของการเดินทางเป็นการลัดเลาะเข้าไปในชายแดนน่าน-ลาว บริเวณที่ในอดีตเคยเป็นเขตยึดครองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) อันที่จริงแล้วนี่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อวิจัยโดยตรง แต่ความที่เป็นคนชอบนั่งรถเรื่อยเปื่อย (ทั้งยังขับรถไม่เป็น) วันหนึ่งก็เลยตามลุง อส. (กองอาสารักษาดินแดน) ที่เจอในร้านกาแฟแถวทุ่งช้างขึ้นไปดูอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์และสำนัก 708 ที่บ้านน้ำรีพัฒนา (ผู้หญิงเดินทางคนเดียวต้องระวังตัวนะคะ แต่งตัวให้รัดกุม เชื่อในสัญชาตญาณ ถ้าเสียงเล็กๆ ในหัวบอกว่า ‘อย่า’ ก็คือ ‘อย่า’ และต่อให้รณรงค์กันว่า Don’t tell me how to dress, tell them not to rape ในทางปฏิบัติ เราก็ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน)
“เขตภูพยัคฆ์” นั้นมีลักษณะภูมิประเทศเป็นติ่งยื่นเข้าไปในดินแดนลาว มีกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่มากมายหลายกลุ่ม โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดเป็นม้งและลัวะ หลังจากสงครามระหว่างรัฐไทยกับคอมมิวนิสต์จบลง ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการก่อตั้งโครงการในพระราชดำริเพื่อการพัฒนาต่างๆ ในเขตป่าเขา สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามแนวพระราชดำริภูพยัคฆ์ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของโครงการประเภทนี้ อนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์และสำนัก 708 ตั้งอยู่บนภูเขาสูงถัดขึ้นไปจากสถานีฯ หากไม่นับการเดินเท้าที่คนสมัยก่อนทำกันแล้วก็น่าจะมีแต่รถโฟร์วีลกับมอเตอร์ไซค์ที่ผู้ขับขี่มีความชำนาญเท่านั้นที่จะขึ้นไปได้
ผู้เขียนได้เห็นอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์ ซึ่งเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประชาชนที่บอกเล่าประวัติศาสตร์การต่อสู้ในพื้นที่ มีสัญลักษณ์ดาวแดงขนาดใหญ่อยู่บนพื้นสนามหญ้าด้านหน้าอาคาร และได้เห็นสำนัก 708 ที่มีกระท่อมลุงไฟ (นายผี อัศนี พลจันทร) กับกระท่อมลุงคำตัน (พันโทโพยม จุลานนท์) ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ตามต้นแบบเดิม
สองอย่างนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นักวิจัยมือใหม่เนื้อเต้น (ทุนวิจัยที่ว่าเขาให้พวกที่เป็น early career researcher) เพราะส่วนที่สนุกที่สุดของการทำงานวิจัยนั้นคือช่วงออกภาคสนามเก็บข้อมูลนั่นเอง (อีกช่วงหนึ่งที่หลายคนคงชอบเหมือนกันคือการสืบค้นเอกสารจากแหล่งต่างๆ อ่านนู่นนี่ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความสนุกจะคงอยู่อย่างนั้นตราบเท่าที่เรายังไม่ได้ลงมือเขียน ซึ่งก็คือการผัดวันประกันพรุ่งแบบหนึ่งนั่นเอง เรารู้สึกผิดน้อยลงด้วยการหลอกตัวเองว่าที่นั่งอ่านอยู่นี้เป็นการทำงาน ไม่ใช่การอู้งาน)
นอกจากการออกภาคสนามจะพาเราไปเจอวัตถุดิบใหม่ๆ แล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการปะทะกับพื้นที่ บรรยากาศ และผู้คนก็มีส่วนสำคัญในการตั้งประเด็น สร้างข้อถกเถียง หรือเป็นอะไรบางอย่างที่คนเขียนรู้อยู่คนเดียวในความนึกคิด ทุกวันนี้ผู้เขียนยังนึกย้อนกลับไปอยู่เสมอว่างานวิจัยชิ้นนั้นคงจะออกมาแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ หากไม่ได้นั่งรถ บขส. แดงแล่นไปตามเส้นทางอันคดเคี้ยวของแนวเขา ไม่ได้กอดเป้สะพายหลังนั่งไปตามจังหวะอันโคลงเคลง ไม่ได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์ลุงผ่านหมู่บ้านเล็กหมู่บ้านน้อย ไม่ได้เห็นความทะมึนเขียวครึ้มของป่าเขาขณะเดินย่ำใบไม้แห้งเข้าไปในเขตงานเก่า
จินตภาพเป็นส่วนสำคัญของการเริ่มต้นและระหว่างกระบวนการทำงาน ในกรณีนี้ ภูมิทัศน์ชายแดนไทย-ลาวที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นป่าทึบและหุบเขาที่ยากแก่การเข้าถึงมีส่วนอย่างมากในการก่อรูปความคิดและยังตกค้างต่อมาหลังการเดินทาง
เมื่อกลับลงมายังตัวเมืองน่าน ผู้เขียนได้ไปเจอหนังสือสองเล่มคือ ตำนานดาวพราวไพรที่…ภูแว ภูพยัคฆ์ เล่ม 2 (2552) จัดพิมพ์โดยคณะกรรมการดำเนินงานจัดสร้างโครงการอาคารอเนกประสงค์รำลึกประวัติศาสตร์ประชาชนจังหวัดน่าน กับ ตำนานดาวพราวไพรที่…ภูแว ภูพยัคฆ์ ฉบับชนชาติลัวะและม้ง เนื่องในโอกาส 10 ปีอนุสรณ์สถานภูยัคฆ์ จังหวัดน่าน (2557) จัดพิมพ์โดยคณะกรรมการดำเนินงานจัดงานอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์ เจอข้อมูลและภาพถ่ายที่น่าตื่นเต้นเพิ่มขึ้นอีกว่า ประธานในพิธีเปิดอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์เมื่อปี 2548 คือพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นลูกชายของ “ลุงคำตัน”
นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเรื่อง พคท. คงไม่รู้สึกตื่นเต้น เพราะความตื่นเต้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ที่สำคัญ เรื่องที่ดู ‘ใหม่’ สำหรับคนหนึ่งก็อาจจะใหม่เฉพาะคนนั้นคนเดียว แต่คนอื่นเขารู้กันนานแล้วก็เป็นได้ การอ้างว่าอะไรใหม่เป็นสิ่งพึงระวัง เพราะสิ่งที่นึกว่าใหม่นั้นอาจไม่ใหม่จริง การเริ่มต้นทำงานจึงไม่สามารถละเลยการสำรวจว่ามีใครเคยเขียนอะไรไปแล้วบ้างในเรื่องนั้นๆ ขั้นตอนดังกล่าวจำเป็นมากสำหรับคนที่ข้ามมาจากสายงานอื่น
แต่ถึงจะตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้พบเห็นมาเพียงไร ผู้เขียนก็ตระหนักดีว่านี่อยู่นอกขอบเขตของงานวิจัยอันมีโฟกัสอยู่ที่อนุสาวรีย์ที่สร้างโดยฝ่ายรัฐและมีระยะเวลาเพียงหนึ่งปีชิ้นนี้ ข้อมูลดังกล่าวจึงลงเอยด้วยการเป็นบทส่งท้ายสั้นๆ ในงานวิจัยภาคภาษาอังกฤษ และลดรูปกลายเป็นเพียงเชิงอรรถหมายเลข 29 ในบทความภาคภาษาไทยชื่อ แผ่นดินไทยใต้ร่มพระบารมี: อนุสาวรีย์อันเนื่องมาแต่การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในภาคเหนือตอนบนกับปฏิบัติการสร้างความทรงจำของรัฐไทย ใจความว่า
“29 ในขณะที่รัฐไทยสร้างอนุสาวรีย์ผู้เสียสละในหลายพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงทำสงคราม กับคอมมิวนิสต์ในทศวรรษ 2520 ฝ่ายอดีตคอมมิวนิสต์เพิ่งมีการสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อบอกเล่าความทรงจำจากฝั่งของตนเมื่อไม่นานมานี้เอง เช่น การเปิดอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์และการฟื้นฟู สำนัก 708 ที่บ้านน้ำรี จังหวัดน่านเมื่อปลายปี 2548 อย่างไรก็ดี การรื้อฟื้นความทรงจำของ พคท. ในเขตภาคเหนือตอนบนผ่านการสร้างอนุสรณ์สถาน พิพิธภัณฑ์ และงานรำลึกวีรชนเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สมควรได้รับการอภิปรายอย่างจริงจังในโอกาสอื่น” (หน้า 30)
‘โอกาสอื่น’ ที่ว่านั้นก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ มีอย่างหนึ่งที่สำคัญพอๆ กับการเลิกผัดวันประกันพรุ่งแล้วลงมือเขียนเสียทีก็คือการรู้จัก ‘ตัด’ สิ่งที่เขียนออกไปเมื่อพบว่าสิ่งนั้น ‘ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้’ เราอาจเสียดายวันคืนที่นั่งพิมพ์ไปเป็นร้อยเป็นพันคำ แต่เชื่อเถิดว่าหากไม่ยอมตัดร้อยคำพันคำที่ควรตัดออกไปนั้น สุดท้ายแล้วเราจะรู้สึกเสียดายมากกว่า
สมัยเรียนปริญญาเอกที่อังกฤษปีแรก อาจารย์ที่ปรึกษา (ผู้กลับบ้านเกิดที่ไซปรัส แต่ในที่สุดก็ไม่หายสาบสูญอีกต่อไปแล้ว พบตัวในช่วงเดียวกับที่ผู้เขียนทวงใบปริญญาที่มหาวิทยาลัยลืมส่งมาหลังจากเรียนจบมาแล้วหกปี) มอบหมายให้เขียนอะไรที่สัมพันธ์กับวิทยานิพนธ์ที่วางแผนไว้ประมาณ 10,000+ คำเพื่อเข้ารับการประเมินที่เรียกกันอย่างลำลองว่าการ ‘upgrade’ เมื่อผ่านการประเมินแล้วเราจึงจะเรียกตัวเองว่าเป็น PhD candidate ได้ จากนั้น ข้อเขียน 10,000+ คำที่ว่านั่นก็จะเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ต่อไป
อย่างไรก็ดี ในปีสุดท้ายของการเรียน ผู้เขียนกลับพบว่าต้องตัดออกเกือบทั้งหมด เพราะระหว่างทางนั้นโครงสร้างของวิทยานิพนธ์เปลี่ยนไปจากที่ตั้งไว้แต่ต้นมาก (เป็นเรื่องปกติ) สิ่งที่เคยเขียนไว้จึงไม่มีที่ทางในนี้อีกต่อไป สำหรับนักเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง การตัดสิ่งที่เขียนไปแล้วทำให้ความรู้สึกเจ็บเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณเท่าหนึ่ง
หลังจากนั่งทำใจอยู่สักพัก ผู้เขียนก็ตัดส่วนนั้นออกไปสร้างเป็นไฟล์ใหม่เก็บไว้โดยคิดว่าคงจะได้ใช้ในโอกาสอื่น ซึ่งก็ได้ใช้จริงๆ ในอีกสองปีต่อมาด้วยการเอาไปเขียนเป็นบทความในนิตยสารภาษาอังกฤษ ได้ค่าเขียนตั้งหลายร้อยปอนด์แน่ะ 555
ทุกคนคะ ทุกอย่างที่เราเขียนมานั้นตัดได้ ไม่ต้องไปเสียดาย ตัดแล้วไม่ต้องทิ้ง แต่อย่าลืมก็แล้วกันว่าเอาไปเก็บไว้ตรงไหน
เรื่องอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์และสำนัก 708 ที่เก็บไว้นี้ก็เช่นกัน ในขณะที่อ่านหนังสือ Moments of Silence: The Unforgetting of the October 6, 1976, Massacre in Bangkok ของ อ.ธงชัย วินิจจะกูล ก็พบการอธิบายว่าหลังจากงานครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี 2539 การรื้อฟื้นอดีตเกี่ยวกับ พคท. การค้นหาผู้เสียชีวิตตามพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งในเขตป่าเขา การทำบุญอุทิศส่วนกุศลและการจัดกิจกรรมรำลึกซึ่งรวมถึงการตั้งอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์ต่างๆ ได้เกิดขึ้นตามมามากมาย รายชื่อของสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นรวมถึงอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์ได้รับการบรรจุไว้ในอ้างอิงท้ายเรื่องหมายเลข 42 ของบทที่ 6 Commemoration (คนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะรู้ว่าส่วนอ้างอิงท้ายเรื่องจะแยกเป็นบทๆ เมื่อขึ้นบทใหม่ก็จะกลับไปเป็นหมายเลข 1 ใหม่)
ปริศนาที่คาใจมาหลายปีได้รับการไขให้กระจ่างจากหนังสือเล่มนี้เอง ตอนที่ผู้เขียนกำลังทำวิจัยชิ้นนั้น ยังนึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดการสร้างอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ตามจังหวัดต่างๆ จึงเกิดขึ้นมากมายในอีกหลายสิบปีให้หลัง (ส่วนการสร้างอนุสาวรีย์ของฝ่ายรัฐที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนั้นไม่มีอะไรให้สงสัย เช่น อนุสาวรีย์วีรกรรมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ทุ่งช้าง สร้างในปี 2519 เพียงหนึ่งปีหลังจากการปะทะกันที่บ้านห้วยโก๋นในปี 2518) ข้อสันนิษฐานคร่าวๆ มีอยู่ว่า เป็นเพราะความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับคอมมิวนิสต์ผ่านพ้นไปหลายปีแล้ว บาดแผลไม่สดใหม่อีกต่อไป อดีต พคท. หลายคนกลายเป็นคนมีฐานะ มีหน้ามีตาในสังคม และมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะรวมตัวกันจัดงานรำลึกและสร้างสิ่งเหล่านี้ได้
ที่สำคัญ มันอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานฉันท์ระหว่างทั้งสองฝั่ง ในหนังสือ ตำนานดาวพราวไพรที่…ภูแว ภูพยัคฆ์ เล่ม 2 ได้ลงคำกล่าวของประธานในพิธีเปิดอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์คือพลเอก สุรยุทธ์ เมื่อปี 2548 ดังนี้
“สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นเพราะความเดือดร้อน และความไม่เป็นธรรมในแผ่นดินไทย จนทำให้มีการจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ซึ่งผมพยายามพูดอยู่เสมอว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราอีก แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่สิ้นสุดไปสักที ยังมีปัญหาที่เกิดจากความไม่เป็นธรรม ไม่เท่าเทียมกันในสังคม และในบางพื้นที่ก็ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตาย” (หน้า 81)
นัยยะของการเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้วกับความสำคัญของการปรองดองยังปรากฎอยู่ในข้อเขียนส่วนอื่นในเล่มเดียวกัน
“เป็นเรื่องโชคดีอย่างหนึ่งที่สังคมไทยเรามีความสามารถในการปรับตัวเข้าหากัน แม้อดีตจะเคยมีความขัดแย้งต่อกัน แต่เราก็สามารถสร้างความสมานฉันท์ปรองดองกันขึ้นมาได้ อนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์จึงเป็นประจักษ์พยานแห่งความสมานฉันท์ปรองดอง” (หน้า 82)
ข้อความลักษณะนี้อยู่ประปรายในหนังสือทั้งสองเล่ม ขณะที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์การสู้รบในพื้นที่ เรื่องราวของผู้คนที่เกี่ยวข้อง คำอธิบายว่าทำไมคนถึงเข้าร่วมกับ พคท. บันทึกความทรงจำของอดีต พคท. บางคน ข้อเขียนเกี่ยวกับการสำรวจพื้นที่เมื่อครั้งวางแผนโครงการก่อสร้างอนุสรณ์สถาน และงานศึกษาเกี่ยวกับลัวะและม้ง ผู้เขียนพบข้อความที่บอกถึงความอัดอั้น ความเจ็บปวด ความขมขื่น และความระมัดระวังในการแสดงออกผ่านการเขียนกระจายอยู่ทั่วไปหมด เหล่านี้บ่งบอกว่าความปรองดองสมานฉันท์ไม่ใช่เรื่องง่าย และการจัดวางที่ทางของความทรงจำฝ่าย พคท. อันเป็นปฏิปักษ์กับรัฐไทยนั้นยังคงเป็นเรื่องยาก อย่างมากที่สุด อนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์เป็น “ประจักษ์พยานแห่งความสมานฉันท์ปรองดอง” แต่อาจจะยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็น counter memory ของประวัติศาสตร์และความทรงจำที่ผลิตขึ้นโดยฝ่ายรัฐ เราจึงได้เห็นพลเอก สุรยุทธ์ ผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีในขณะนั้น (พลเอกสุรยุทธ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานองคมนตรีในอีกสิบห้าปีต่อมา) ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ จริงอยู่ว่าพลเอกสุรยุทธ์เป็นบุตรของ “ลุงคำตัน” ผู้มีกระท่อมพำนักอยู่บนสันเขาเหนืออนุสรณ์สถานขึ้นไป แต่พลเอกสุรยุทธ์ก็เป็นตัวแทนของรัฐไทยใต้ร่มพระบารมีด้วย
สิ่งที่ Moments of Silence: The Unforgetting of the October 6, 1976, Massacre in Bangkok ช่วยให้ความกระจ่างแก่ผู้เขียนก็คือการเชื่อมโยงอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่รำลึกถึงความทรงจำของ พคท. เข้ากับงานครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี 2539 การ ‘break the silence’ 20 ปีภายหลังของวาระดังกล่าวนำไปสู่การรื้อฟื้นขนานใหญ่ (แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย) ที่ประกอบด้วยกระบวนการจัดการกับความทรงจำอันเจ็บปวด การสืบค้นหาข้อมูลและผู้คนที่สูญหายในหลายจังหวัดทั่วประเทศ การสร้างตัวตนในประวัติศาสตร์ด้วยเสียงของฝั่งตัวเองภายใต้สภาวะอันจำกัด และการเยียวยาจิตใจด้วยกิจกรรมที่มีความหมายเชิงจิตวิทยาอย่างการทำบุญอุทิศส่วนกุศล อนุสาวรีย์หลายแห่งที่มีรูปทรงคล้ายสถูปเป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งของภาวะนั้น
ที่เขียนมานี่เรียกว่าเป็นการ ‘อภิปรายอย่างจริงจัง’ ได้หรือยัง? ยังหรอกค่ะ ‘โอกาสอื่น’ ที่ทิ้งค้างไว้นานแล้วก็ยังมาไม่ถึงอยู่ดี นี่เป็นเพียงส่วนขยายของเชิงอรรถหมายเลข 29
ผู้เขียนเริ่มต้นงานวิจัย Re-Establishing the Kingdom: The Anti-Communist Monuments in the Thai Highlands ด้วยคอนเซ็ปต์เรื่อง ‘ภูมิกายา’ (geo-body) ของชาติกับแผนที่ของ อ. ธงชัย บางทีอาจจะได้เริ่มต้น (หรืออีกนัยหนึ่งคือปิดจ๊อบ) ด้วย Moments of Silence: The Unforgetting of the October 6, 1976, Massacre in Bangkok
แต่ระหว่างที่ยังไม่ได้เขียนเพราะยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสเขียน ระหว่างที่การสร้าง counter memory ต่อประวัติศาสตร์และความทรงจำโดยรัฐยังอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัวหลังจากหลายสิบปีของความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างที่คำว่า ‘สมานฉันท์ปรองดอง’ ยังค้ำคอและทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังบางอย่างในการสร้างความทรงจำทางการเมือง ผู้เขียนก็ขอโพสต์ภาพ พลเอกสุรยุทธ์ กับ ลุงธง แจ่มศรี อดีตเลขาธิการ พคท. ในพิธีแจกทุนการศึกษาให้เด็กๆ ในพื้นที่บ้านน้ำรีพัฒนาไปพลางๆ
หมายเหตุ
บทความวิจัย “Re-Establishing the Kingdom: The Anti-Communist Monuments in the Thai Highlands” ตีพิมพ์ในหนังสือรวมบทความ Ambitious Alignments: New Histories of Southeast Asian Art, 1945-1990. Edited by Stephen H. Whiteman, Sarena Abdullah, Yvonne Low and Phoebe Scott, 2018, Sydney: Power Publications and National Gallery of Singapore, p. 165-195.
บทความภาคภาษาไทยตีพิมพ์ในชื่อ “แผ่นดินไทยใต้ร่มพระบารมี: อนุสาวรีย์อันเนื่องมาแต่การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในภาคเหนือตอนบนกับปฏิบัติการสร้างความทรงจำของรัฐไทย” ใน ธนาวิ โชติประดิษฐ, จวบจันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง: ศิลปะและศิลปินแห่งรัชสมัยรัชกาลที่ 9, 2563, นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, หน้า 4-31.