ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย เรื่องและภาพ
ทุกครั้งเวลาออกเดินทาง ฉันมักจะวูบไหวในอกแปลกๆ จะว่าตื่นเต้นเพราะกำลังจะได้เจอสิ่งใหม่ก็ไม่เชิง เป็นความรู้สึกคล้ายๆ การยืนทรงตัวบนเก้าอี้ ไม่แน่นอน แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงจนเราควบคุมไม่ได้
การเดินทางให้ความรู้สึกไม่มั่นคงบางแบบ และเรายิ่งต้องทำใจตัวเองให้มั่นคง เพื่อรับมือกับเรื่องที่คาดเดาไม่ได้
1
กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หน้าหนาวไม่มาตามนัด แต่ฉันเดินทางไปน่านตามนัด เพื่อไปฟังกวีในงานน่านโปเอซี ที่ห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ บทกวีนั้นเยี่ยมยอด ส่วนบรรยากาศนั้นยอดเยี่ยม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ดื่มเบียร์แกล้มบทกวี เครื่องดนตรีลดบทบาทเป็นพระรอง แล้วบทกวีถูกขับเน้นขึ้นมา กล่อมค่ำคืนด้วยความงามของถ้อยคำ และเติมรสด้วยน้ำเสียงของผู้อ่านกวี
ฉันเมามาย – ไม่ใช่เพราะเบียร์ซะทีเดียว แต่เพราะความงามของวงกตภาษา ฉันนั่งดื่มด่ำกับหลากถ้อยคำนั้น คิดในใจว่า กวีกลายพันธุ์เข้าได้กับทุกอย่างอย่างน่าเหลือเชื่อ ในภาษาไทยเราเล่นล้อกับวรรณยุกต์และตัวสะกด ในภาษาอังกฤษเล่นล้อกับคำที่ใกล้เคียง หรือในภาษาญี่ปุ่น แค่วลีสั้นๆ ก็กลายเป็นกวีที่เรียบง่ายแต่สะเทือนเลือนลั่นได้ ไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน ไม่มีกฎข้อบังคับตายตัว
จะว่าไป ฟังกวีแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเดินทาง
ในวัยหนุ่มสาวที่กำลังตามหาความมั่นคงของชีวิต การออกเดินทางเพื่อให้ตัวเองรู้สึกไม่มั่นคงเสียบ้างก็ช่วยเราได้เยอะ — ไม่ได้พูดเล่น เหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง เหมือนกินเหล้าเมาแล้วตื่นเช้ามาต้องถอนนั่นแหละ เอาความไม่มั่นคงไปดวลกับความวูบไหวของหัวใจ แล้วเราอาจรู้จักตัวเองดีขึ้น แต่ที่แน่ๆ เราได้รู้จักโลกข้างนอกมากขึ้นด้วย
การฟังกวีก็ให้ความรู้สึกแบบนั้น เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ฟังแล้วรู้สึกถึงใจ บ้างฟังแล้วไม่เห็นด้วย บางบทฟังแล้วน่าเบื่อ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความหลากหลาย กวีไม่ได้มีแบบเดียว และชีวิตก็ไม่ได้มีแบบเดียว การเอาตัวเองไปปะทะกับความหลากหลาย ทำให้เราเข้าใจความแตกต่างมากขึ้น สัมผัสรายละเอียดของโลก แล้วประกอบการรับรู้เหล่านั้นเป็นภาพใหญ่ เป็นการรับรู้ชีวิตในแบบที่หาไม่ได้จากการทำอะไรซ้ำๆ แบบเดิมแบบเดียว
2
ฉันแน่ใจว่าชีวิตตัวเองค่อนข้างน่าเบื่อ ใช้ชีวิตแบบเดิมซ้ำๆ ทำงาน กลับบ้าน ทำงาน นอน ทำงาน ขับรถไปตามถนนเส้นเดิม หมุนพวงมาลัยด้วยความเคยชิน ฟังวิทยุช่องเดิม ในช่วงเวลาเดิมๆ หันมองรถคันข้างๆ ที่ติดแหง็กด้วยกันในเมืองหลวง แล้วก็ได้แต่ปลอบใจทั้งเขาและเรา
ชีวิตคนเราก็เท่านี้
แต่ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง ฉันพบว่าชีวิตคนเราไม่ได้มีเท่านี้ มีคู่หนุ่มสาวที่เขียนหนังสือและกวี บางคนเรียนจบใหม่แล้วออกตามหาชีวิตที่ต้องการ เลือกที่จะไม่ทำงานประจำ แม้ว่าชีวิตต้องใช้เงินเป็นประจำ แว่วว่ากำลังหาช่องทางทำเครื่องหนังขาย คู่รักสาวชาวไทยกับหนุ่มต่างชาติที่ย้ายบ้านทุก 3 ปี ตอนนี้เขาและเธอพร้อมสุนัข 1 ตัว เช่าบ้านร้างแล้วปรับปรุงตกแต่งใหม่ จากบ้านไม้ทรุดโทรม ตอนนี้กลายเป็นบ้านไม้สีขาว มีผ้าม่านปลิวไสวหลังกระจกใสสะอาด ปลูกผักสวนครัว ทำร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆ สวยจนใครเดินผ่านก็ต้องมอง
ฯลฯ
ทุกคนต่างก็เผชิญภาวะเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ และกังวลกับอนาคตทั้งนั้น แต่หลายครั้งพวกเขาก็เลือกใช้ชีวิต แบบที่รู้สึกได้ว่ามี ‘ชีวิต’ จริงๆ
3
จากน่าน ฉันนั่งรถเลาะเขาไป 6 ชั่วโมงจนถึงเชียงใหม่ คราวนี้มาเพื่อทำงานสัมภาษณ์
สั่งกาแฟมานั่งกินที่ร้านกาแฟร่ำเปิง หลังสัมภาษณ์เสร็จ พี่ชวด – ผการัมย์ งามธันวา ศิลปิน กวี และนักดนตรีเจ้าของร้านเข้ามานั่งคุยด้วย เพื่อนหนุ่มตามมาสมทบ และยังไม่ทันหัวค่ำดี พี่ชวดพาพวกเราไปลองเหล้าตอง
เหล้าตองหรือเหล้าตวง เป็นบาร์เล็กๆ ปูหลังคาสังกะสี มีเหล้าประมาณ 3-4 ชนิดให้เลือก จะเหล้าสี เหล้าขาว หรือเหล้าต้ม ก็แล้วแต่รสนิยม ใครใคร่โซดา ซื้อ ใครใคร่น้ำเปล่า หยิบ มีคุณลุงนั่งอยู่ก่อนแล้วประมาณ 2-3 คน ทั้งหมดมีท่าทีสบายๆ ฉันอ่านคำที่ติดอยู่ด้านหน้าขวดเหล้า ‘สุราสิวะดี’ นั่งคิดอยู่นานว่านี่คือคำโบราณล้านนาแบบใดหนอ ค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า นี่เป็นคำที่เรียบง่าย ทรงพลัง จริงแท้ และเป็นกวีที่สุดคำหนึ่ง
โดยไม่ต้องตีความให้วุ่นวาย เหล้าต้มสีใสขนาดหนึ่งจอกอยู่ตรงหน้าฉันแล้วเรียบร้อย
“ชาวบ้านเขากินกันแบบนี้ บางที 2-3 เป๊กก็กระชุ่มกระชวย บางคนแวะซื้อกับข้าวกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านแวะไป 6 เหล้าตอง” พี่ชวดว่าแล้วก็รินเหล้าสีลงแก้ว เสียงน้ำไหลเสนาะหู ฉันหัวเราะ แล้วกลั้นใจกระดกเหล้าแม่ปิงตามไป ใสสะอาด หอม แต่แรง
นั่งมองวิถีชีวิตที่ต่างออกไป เวลานี้ที่กรุงเทพฯ รถไฟฟ้าคงกำลังเบียดแน่น แต่เดี๋ยวสัก 2-3 ทุ่ม ร้านเหล้าก็คงเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาว ในบางบาร์คงเล่นเพลงแจ๊สสนั่น บางร้านมีดนตรีสดเล่นเพลงสตริง หรือกับบางร้านเปิดเพลงช้าเหงาๆ ไม่รบกวนฟองเบียร์ในแก้ว
แต่กับที่บาร์เหล้าตอง ความเงียบอาจไม่จำเป็นเท่าความเร็ว
“จะมีคนประเภทที่เรียกว่า เสือปืนไว คือรินเหล้า กระดก จ่ายตังค์ แล้วไปเลย” พี่ชวดเล่า ว่าแล้วก็ทำตัวเหมือนเสือปืนไวเสียเองให้ดูเป็นตัวอย่าง
หมดแม่น้ำปิงไปหนึ่งจอก ฉันคงขอถอนตัวแต่เพียงเท่านี้ พอพลบค่ำ เรากลับไปนั่งที่ชานบ้าน ก่อไฟย่างเนื้อ มีเสียงกีตาร์ของพี่ชวด และเสียงร้องของลูกสาวคลอตลอดมื้ออาหาร เราไม่ได้มีบทสนทนามากมายนัก แต่บรรยากาศทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น
จนถึงท่อนที่ร้องว่า “Lord I’m five hundred miles, away from home.”
ฉันรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน.
illustrated by ภาพิมล หล่อตระกูล