1. ทำไมอยู่ๆ ก็เกิดการปฏิวัติ 24 มิถุนา 2475
คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา และมักเป็นคำถามของผู้ที่ไม่ค่อยแฮปปี้ที่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครองครั้งนี้
แนวทางคำตอบมี 3 ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกัน ดังนี้
1) การเคลื่อนไหวเพื่อล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านคิดว่าสามารถเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยในยุคสมัย ร.6-ร.7 ได้หรือไม่
คำตอบที่ชัดเจนคือ ไม่สามารถเคลื่อนไหวล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเปิดเผยได้ ดังนั้นจึงต้องเคลื่อนแบบปิดลับ ซึ่งย่อมสัมพันธ์กับข่าวหรือบทความในหน้าหนังสือพิมพ์หรือวารสาร ซึ่งเป็นสื่อกระแสหลักช่องทางเดียวที่มีอยู่ในขณะนั้น
ถ้าท่านอยู่ในยุคนั้น ท่านคงไม่เห็นร่องรอยความคิดการนำเสนอการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองครั้งใหญ่จากข่าวสารตัวอักษรในสื่อสิ่งพิมพ์ของยุคสมัยดังกล่าว เพราะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งการเคลื่อนไหวแบบพรรคการเมืองด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย อันถือว่าเป็นกบฏ
ข่าวหนังสือพิมพ์ยุคนั้น ก็คงเป็นข่าวเศรษฐกิจฝืดเคือง การปลดข้าราชการออกจากงานนับหมื่นคนในช่วง 6 ปีในสมัยรัชกาลที่ 7 การที่ชาวบ้านถูกเรียกเก็บภาษีต่างๆ อย่างรุนแรง ซึ่งคงเป็นเสียงแห่งความทุกข์ไปทุกหย่อมย่าน ส่วนความโกรธความรู้สึกต่างๆ ก็คงคุยกันแบบกระซิบกระซาบ แบบลือกันให้แซดในแบบบ้านเมืองเป็นการปกครองแบบอำนาจรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ
2) ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดปฏิวัติ แต่คณะราษฎรจัดประชุมก่อตั้งคณะก่อนการปฏิวัติมาแล้ว 5 ปี คือประชุมกันที่ปารีสเดือนกุมภาพันธ์ 2469 (1927) โดยคนหนุ่ม 7 คน ได้แก่ ปรีดี แปลก ประยูร ตั้ว จำรูญ แนบ ทัศนัย ทีมคนหนุ่มทั้ง 7 นี้เคลื่อนไหวอย่างมุ่งมั่นที่จะปฏิวัติอย่างไม่ลดละ จนบรรลุความสำเร็จตามเจตจำนงเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 [1] ดังนั้น ท่านลองคิดดูว่า 5 ปีที่ดำเนินงานปิดลับใต้ดินจะรู้สึกตึงเครียดเพียงใด ทั้ง 7 จะรู้สึกต่อกันและสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเพียงใด
3) นอกจากนี้ เมื่อ 20 ปีก่อนหน้าปฏิวัติ 2475 มีความพยายามของกลุ่มทหารหนุ่ม ส่วนใหญ่อายุราว 18-25 ปี ยศร้อยตรีและร้อยโทเป็นส่วนใหญ่ ที่มีหมอเหล็ง หรือร้อยเอกเหล็ง ศรีจันทร์ หรือร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ เป็นหัวหน้าคณะ ต้องการล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของ ร.6 เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยแทน
แต่ความลับแตก สมาชิกคนหนึ่งที่เพิ่งสมัครเข้ามานำความลับของกลุ่มไปแจ้งฝ่ายเจ้า ฝ่ายทหารหนุ่มที่คิดปฏิวัติจึงถูกกวาดจับปลายกุมภาพันธ์ 2454 ราวร้อยคน ถูกตัดสินทั้งประหารชีวิต ทั้งจำคุกตลอดชีวิต และจำคุกจำนวนปีลดหลั่นกันไป
เราถูกทำให้จำว่านี้คือเหตุการณ์ ‘กบฏ ร.ศ.130’ แต่คณะทหารหนุ่มที่เตรียมปฏิบัติการสร้างชาติเรียกคณะตนเองว่าคณะ ‘ปฏิวัติ ร.ศ.130’ ไม่ใช่คณะที่มีความคิดยึดอำนาจจากกษัตริย์แบบรัฐประหารเปลี่ยนอำนาจรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศในทุกๆ ด้านอย่างลึกซึ้ง โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนระบอบการเมืองการปกครองของประเทศ [2] เป็นแนวคิดแบบเดียวกันของคณะราษฎร ปฏิวัติ 2475 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคือกุญแจที่ไขไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของไทย
นี่คืออีกหนึ่งหลักฐานว่า ความต้องการสร้างระบอบประชาธิปไตยในหมู่คนไทยนั้นมีมาแล้วก่อนปี 2475 โดยมีมาก่อนนี้อย่างน้อยๆ ก็ 20 ปีมาแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เกิดปรากฏการเปลี่ยนแปลงที่ตกลงมาจากฟ้าแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ความคิดและคำถามว่า อยู่ดีๆ ก็เกิดปฏิวัติ 2475 ขึ้นนี้ ที่ผ่านมาเป็นคำถามที่ได้ซ่อนนัยเบื้องหลังว่า ปฏิวัติ 2475 เป็นการกระทำของคนกลุ่มเดียว ที่ต้องการสถาปนาอำนาจของคนกลุ่มนี้เท่านั้น และเป็นเพียงการชิงสุกก่อนห่าม เพื่อมาสรุปว่าที่ไทยไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงในวันนี้นั้นเป็นเพราะการแย่งชิงอำนาจของคณะราษฎรเมื่อ 9 ทศวรรษก่อน โดยแสร้งแกล้งลืมว่าการรัฐประหาร 13 ครั้งของฝ่ายทหาร ฝ่ายกษัตริย์นิยมและอนุรักษนิยมที่มีมาตลอด 90 ปีนั้น คือสาเหตุสำคัญของการทำลายประชาธิปไตยเพื่อพิทักษ์รักษาอำนาจและผลประโยชน์ของฝ่ายเหล่านั้นต่างหาก
2. ทำไม 2475 ถึงเปลี่ยนแปลงระบอบแค่แบบ constitutional monarchy ทำไมไม่เอาถึง republic เคยฟังบรรยายวิชาการว่า คณะ ร.ศ.130 ช่วงต้น ๆ แกนนำเอนไปทางแบบ republic ด้วย
คำถามข้อนี้ ขอตอบเฉพาะคณะปฏิวัติ ร.ศ.130 เป็นเบื้องต้น
ร.ศ.130 คือ ปฏิวัติประชาธิปไตยครั้งแรกของไทยสมัยต้น ร.6 แต่ล้มเหลว แผนแตก โดนกวาดจับฝ่ายปฏิวัติเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2454 หรือเป็นปีที่ 2 ของสมัย ร.6 ที่เพิ่งผ่านมาได้เพียง 4 เดือน
แผนปฏิวัติจะลงมือในวันถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในโบสถ์วัดพระแก้ว ต้นเมษายนที่กำลังจะมาถึง (1 เมษายน เป็นวันเปลี่ยนปีศักราชเป็น ร.ศ.131 โดย พ.ศ. จะเริ่มใช้ครั้งแรกในปี 2456)
ในบันทึก ปฏิวัติ ร.ศ.130 ของ ร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ และ ร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ ระบุเกี่ยวกับการประชุมและแนวทางระบอบการเมืองไว้ว่า [3]
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1 วันที่ 13 มกราคม 2454 บ้านหมอเหล็ง ร.อ.เหล็ง ศรีจันทร์ (ขุนทวยหาญพิทักษ์) หัวหน้าคณะ ที่ถนนสาธร
สรุปคือ เลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันหมายถึงระบอบกษัตริย์เหนือกฎหมาย มาเป็น ‘ประชาธิปไตยในรูปใดรูปหนึ่ง’
แบบหนึ่งคือระบอบสาธารณรัฐ (republic) อีกแบบคือระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy)
แต่ถกเถียงกันยังไม่ยุติว่าจะเอาระบอบใด
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 วันที่ 20 มกราคม ที่บ้านหมอเหล็ง เรื่องระบอบการปกครองว่าจะเอาระบอบใด ให้ไปประชุมครั้งต่อไป
ครั้งนี้สมาชิกในที่ประชุมได้ดูสมุดภาพการเปลี่ยนระบอบการเมืองของจีนที่ล้มการปกครองของราชวงศ์ชิงหรือล้มระบอบกษัตริย์เหนือกฎหมายที่มีมาเป็นพันปี สถาปนาระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบสาธารณรัฐ (republic) ตามแบบสหรัฐอเมริกา นำโดย ดร.ซุนยัตเซ็น ประธานาธิบดีสามัญชนคนแรกของจีน
การปฏิวัติจีนเมื่อ 1 ตุลาคม 2454 ที่เรียกว่า ปฏิวัติซินไฮ่ (ก่อนการประชุมครั้งนี้เพียง 3 เดือนกว่า) ซุนยัตเซ็นเดินทางกลับจากอเมริกาช่วงคริสต์มาส ขึ้นเป็นประธานาธิบดีชั่วคราวของสาธารณรัฐจีน (จงฮวาหมินกั๋ว : ประเทศจีน ประเทศของประชาชน) เมื่อ 1 มกราคม 1911 หรือก่อนการประชุมครั้งนี้เพียง 20 วัน
ตัวอย่างความสำเร็จของการสถาปนาสาธารณรัฐจีนสร้างความฮึกเหิมและกระตุ้นจิตใจสมาชิกคณะปฏิวัติ ร.ศ.130 อย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ยังบอกเล่าถึงการปฏิวัติที่นานาประเทศเคยทำกันมา ผู้บอกเล่าและเจ้าของแฟ้มภาพคือ หมออัทย์ นายพันตรี หลวงวิฆเนศร์ประสิทธิ์วิทย์ (อัทย์ หะสิตะเวช)
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3 วันอาทิตย์ 27 มกราคม ที่บ้านหมอเหล็ง ครั้งนี้ 1) กำหนดวันและแผนปฏิวัติ 2) ฝ่ายกฎหมายกำลังศึกษาและจัดทำรัฐธรรมนูญ “เพื่อให้เหมาะแก่สถานการณ์ของประเทศไทย” ไม่มีระบุในบันทึกนี้ว่าได้เลือกระบอบใด
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4 อาทิตย์ 3 กุมภาพันธ์ ที่โบสถ์ร้าง วัดช่องลม ช่องนนทรี พระนคร ที่ประชุมยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเลือกระบอบใด ระหว่าง ‘ลิมิเต็ดมอนากี้หรือรีปับลิค’
limited monarchy คือกษัตริย์มีอำนาจจำกัดอย่างมาก ถ้าเรียกแบบอังกฤษคือ constitutional monarchy หรือระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ
ข้อถกเถียงกันตอนนี้คือจะยังให้มีกษัตริย์ต่อไปอีกหรือไม่
ที่ประชุมตกลงรอคอยให้สมาชิกใหม่ๆ เข้าร่วมประชุมเพื่อเลือกอนาคตของประเทศร่วมกันในครั้งต่อไป
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5 กลางกุมภาพันธ์ ที่สวนของนายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ศาลาแดง พระนคร ครั้งนี้ “โต้เถียงกันนักหนา” โดย “ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญกำลังนำหน้าฝ่ายระบอบสาธารณรัฐด้วยคะแนนไม่สู้สูงกว่ากันมากนัก”
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ แผนแตก ฝ่ายปฏิวัติถูกจับ
หากดูตามบันทึกของสองแกนนำสำคัญในหนังสือ ‘ปฏิวัติ ร.ศ.130’ นี้ แนวโน้มที่น่าจะเป็นไปได้มากว่าคือ น่าจะเลือกระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarch หรือ limited monarchy) หลักสำคัญที่ฝ่ายปฏิวัติต้องพิจารณาคือ “เพื่อให้เหมาะแก่สถานการณ์ของประเทศไทย”
งานศึกษาของวรางคณา จรัณยานนท์ เรื่อง ‘คณะ ร.ศ.130 : ชีวิต อุดมการณ์และการจัดตั้ง’ ได้ศึกษาว่าสมาชิกคณะ ร.ศ.130 มีความคิดหรือนิยมต่อระบอบการเมืองใหม่แบบใดมีจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ศึกษาจากเอกสารคำให้การของทหารฝ่ายปฏิวัติที่ถูกจับ เอกสารนี้อยู่ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ผู้ศึกษาพบว่าสมาชิกคณะ ร.ศ.130 เลือกนิยมในระบอบ republic จำนวน 10 คน นิยมในระบอบ limited monarchy จำนวน 12 คน โดยอีก 96 คนที่ถูกจับไม่แสดงความคิดเห็นว่านิยมระบอบใด แต่จะแสดงว่าตนวิจารณ์อะไรมากกว่า ทั้งนี้มีถึง 28 คนที่เขียนเล่าเกี่ยวกับหัวหน้าคณะ คือ ร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ ว่าเป็นผู้นิยมในระบอบ republic อย่างเข้มแข็ง [4]
ผมขอสรุปดังนี้ว่า ในบริบทยุคทศวรรษ 2440-2450 นั้น แม้ประเทศที่ใหญ่ๆ จะเปลี่ยนแปลงเพื่อล้มเลิกกษัตริย์ สถาปนาระบอบสาธารณรัฐ เช่น จีน อีกไม่กี่ปีก็เป็นประเทศเยอรมนีและโซเวียต (สาธารณรัฐคอมมิวนิสต์) แต่สำหรับสยามที่เพิ่งเข้าสู่สมัยใหม่เมื่อปฏิรูปการปกครองปี 2435 หรือเพิ่งเข้าสู่สมัยใหม่ได้เพียง 20 ปี สังคมไทยจึงยังไม่ได้มีข้อถกเถียงเกี่ยวระบอบการปกครองต่างๆ อย่างเข้มข้นมากนัก
อย่างไรก็ตาม บันทึก ปฏิวัติ ร.ศ.130 นี้ระบุไว้ว่า หากจำเป็นต้องเปลี่ยนประมุขแห่งรัฐจากกษัตริย์เป็นประธานาธิบดี ฝ่ายทหารบกจะให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์เป็นประธานาธิบดี ฝ่ายทหารเรือจะให้เจ้าฟ้าบริพัตรเป็นประธานาธิบดี ฝ่ายพลเรือนจะให้กรมหลวงราชบุรีเป็นประธานาธิบดี
ถ้าจากข้อมูลนี้ ฝ่ายทหารบกชนะแน่ๆ เพราะคณะปฏิวัตินี้ส่วนใหญ่คือทหารบกหนุ่ม
สรุป ดูจะเป็นไปได้ว่า คณะ ร.ศ.130 มีสองแผน แผน 1 แนวโน้มคือเปลี่ยนประเทศเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แผน 2 คือ เปลี่ยนประเทศเป็นระบอบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขรัฐและประมุขฝ่ายบริหาร
3. ทำไมคณะราษฎรเลือกระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ไม่เลือกระบอบสาธารณรัฐ
การประชุมก่อตั้งคณะราษฎรของสมาชิก 7 คนที่ปารีส ฝรั่งเศส รวม 5 วัน เมื่อกุมภาพันธ์ 2469 นั้น กล่าวได้ว่าสมาชิกได้สนทนาปรึกษากันทุกด้าน ทั้งปัญหาและแนวทางแก้ไข ทั้งด้านระบอบการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมว่าต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้างและสร้างอะไรกันใหม่บ้าง ของเดิมจะเอาไว้แค่ไหนอย่างไร ซึ่งปรากฏแนวทางสรุปเป็นนโยบายสร้างชาติไทย 6 ข้อหรือหลัก 6 ประการของคณะราษฎร แต่น่าเสียดายที่ไม่มีบันทึกในรายละเอียดของการประชุมนี้
ปรีดี พนมยงค์ บันทึกไว้ว่า [5] ที่ประชุมตกลง “เปลี่ยนการปกครองของกษัตริย์เหนือกฎหมายมาเป็นการปกครองที่มีกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย” หรือที่เรียกชื่อให้ดูดีสวยงามขึ้นคือระบอบ ‘ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ’
ประยูร ภมรมนตรี บันทึกไว้ว่า [6] คณะราษฎรมีวัตถุประสงค์จะเปลี่ยนแปลงเป็น “ประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ” แต่มีข้อความต่อมาอีกว่า “โดยงดเว้นการมีสาธารณรัฐโดยเด็ดขาด”
ถ้าตั้งคำถามว่า ในการประชุมผู้ก่อตั้งคณะราษฎรของคนหนุ่ม 7 คนที่อายุระหว่าง 26-29 ปี ในดินแดนฝรั่งเศสที่มีระบอบการปกครองสาธารณรัฐ ทั้งยังมีประวัติศาสตร์การปฏิวัติ 1789 อันลือลั่นนั้น จะมีการปรึกษากันถึงแนวทางสาธารณรัฐที่ไม่มีกษัตริย์หรือไม่ เมื่อพิจารณาเทียบกับการประชุมของทหารหนุ่ม ร.ศ.130 เมื่อ 20 ปีก่อน เสียงของทหารหนุ่มยังมีความคิดระบอบสาธารณรัฐ โดยเฉพาะในตัวหมอเหล็งหัวหน้าคณะ ดังนั้น การประชุมของคณะราษฎรย่อมคาดได้ว่าต้องมีการพูดถึงระบอบสาธารณรัฐที่ไม่มีกษัตริย์อย่างแน่นอน เพราะการพูดคุยทำความเข้าใจว่าระบอบการปกครองมีแบบใดบ้างเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน เหมือนกับความรู้พื้นฐานในวิชากฎหมายมหาชนหรือกฎหมายปกครองของนิติศาสตร์
แต่การตกลงใจเลือกระบอบ ‘กษัตริย์ใต้กฎหมาย’ น่าจะอยู่ในแนวทางเดียวกันกับคณะปฏิวัติ ร.ศ.130 คือ ‘เพื่อให้เหมาะแก่สถานการณ์ของประเทศไทย’ เพราะหากเลือกระบอบที่ล้ำยุคไปกว่าที่คนไทยโดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการคนชั้นกลางและคนไทยทั่วไปจะสามารถเข้าใจและยอมรับได้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ย่อมจะล้มเหลวและถูกต่อต้านอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน เมื่อเลือกแนวทางระบอบ ‘กษัตริย์ใต้กฎหมาย’ นี้ ภาพการกลับเข้าช่วงชิงอำนาจจากฝ่ายกษัตริย์ก็ย่อมจะสามารถนึกเห็นได้จากประวัติศาสตร์หลังการปฏิวัติของฝรั่งเศสที่ต่อสู้กันยาวมาอีกศตวรรษ เหมือนดังที่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้กล่าวไว้ในสภาผู้แทนราษฎรว่าการต่อสู้ระหว่างระบอบเก่ากับระบอบใหม่จะยังต่อสู้กันถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมก่อตั้งคณะราษฎรน่าจะได้ปรึกษากันถึงวิธีการรักษาระบอบใหม่ที่จะไม่ให้ฝ่ายกษัตริย์หวนคืนอำนาจ หรือคิดว่าจะเอาอยู่หรือจัดการได้ ปรีดีเรียกว่า “พลังตกค้างแห่งระบบเก่า” และ “พวกปฏิกิริยา” ซึ่ง “ต้องการเหนี่ยวรั้งระบบสังคมเก่าให้คงอยู่กับที่หรือให้ถอยหลังยิ่งขึ้นไปอีก”[7]
ในประกาศคณะราษฎร 24 มิถุนายน 2475 คำขู่ในประกาศนี้ ระบุว่า ถ้าพระปกเกล้า รัชกาลที่ 7 “กษัตริย์ตอบปฏิเสธ หรือไม่ตอบภายในกำหนด” คณะราษฎรก็เห็นว่า “เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา” ซึ่งในรูปนี้ ระบอบการปกครองที่เรียกว่าประชาธิปไตยก็คือระบอบสาธารณรัฐ [8]
แต่หนังสือที่คณะราษฎรมีไปถึงพระปกเกล้าขณะประทับที่วังไกลกังวล หัวหิน ในเช้าวันต่อมา โดยการนำไปถวายของนายนาวาตรี หลวงศุภชลาศัย ระบุไว้ว่า ระบอบที่คณะราษฎรจะสถาปนาขึ้นคือระบอบรัฐธรรมนูญหรือกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ถ้าพระปกเกล้าตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนด ฝ่ายคณะราษฎรจะเดินหน้าประกาศใช้รัฐธรรมนูญ “โดยเลือกเจ้านายพระองค์อื่นที่เห็นสมควรขึ้นเป็นกษัตริย์” [9]
กล่าวสรุป คณะราษฎรเลือกระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่การประชุมก่อตั้ง แต่ความคิดระบอบสาธารณรัฐหรือรีปับลิก (republic) มีอยู่ในหมู่สมาชิกอย่างแน่นอนและอาจเป็นไปได้เหมือนกับกลุ่มทหารหนุ่ม คือระบอบรีปับลิกอาจเป็นทางเลือกท้ายสุด เพราะทางออกเบื้องต้นหากพระปกเกล้าปฏิเสธที่จะเป็นกษัตริย์ในระบอบใหม่ คือหาเจ้านายพระองค์ใหม่มาเป็นกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญแทน
4. มีเจ้านายที่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
ความเป็น ‘เจ้า’ ถูกกำหนดโดยสายเลือดที่สัมพันธ์กับสถานภาพของบิดาที่เป็นราชวงศ์และมารดาทั้งที่เป็นราชวงศ์และสามัญชน โดยพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 กำหนดว่านับความเป็นเจ้า 3 ลำดับชั้น จากสูงลงล่าง ได้แก่ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า
ทั้งนี้ความเป็นเจ้านั้นสามารถสถาปนาแบบเลื่อนชั้นขึ้นได้ หรือลงโทษเลิกสถานะความเป็นเจ้าก็ได้ ทั้งนี้โดยตามพระราชอัธยาศัยของกษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปลี่ยนรัชสมัย หรือในอดีตเช่นยุคอยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ ก็คือเมื่อมีการรัฐประหารหรือกบฏ
แต่ในยุครัชกาลที่ 4 ได้สถาปนาเพื่อให้เห็นสถานภาพที่เป็นเชื้อสายแห่งราชวงศ์อีก 2 ชั้น ได้แก่ ม.ร.ว. และ ม.ล. แต่รัชกาลที่ 4 ทรงไม่ให้นับชั้นความเป็นเจ้า แต่ทว่าในทางวัฒนธรรมที่พัฒนามาถึงทุกวันนี้ก็นับถือว่าเป็น ‘ชั้นเจ้าใหม่’ ในยุคปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญฉบับแรกหลังปฏิวัติ 2475 คือฉบับ 27 มิถุนายน กำหนดให้ มาตรา 7 ระบุว่า “การประทำใดๆ ของกษัตริย์ ต้องมีคณะกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ” ซึ่งตีความรวมถึงอำนาจสถาปนาเลื่อนชั้นเจ้านายด้วย แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 (10 ธันวาคม) ตัดมาตรานี้ทิ้ง ดังนั้น เราจึงได้เห็นการสถาปนาเลื่อนชั้นเจ้าเพิ่มขึ้นจากสมัยรัชกาลที่ 8 เป็นต้นมา
แต่หลังรัฐประหาร 2490 เพื่อกำจัดอำนาจของคณะราษฎร และฟื้นฟูพระราชอำนาจของกษัตริย์ รัฐธรรมนูญฉบับ 2492 ระบุไว้ในมาตรา 12 ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์” ซึ่งพระราชอำนาจนี้ถูกดำเนินในแบบตามพระราชอัธยาศัย ดังนั้น กระบวนการสร้างเครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเติบโตและขยายตัวในช่วงทศวรรษ 2490 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
หากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ปี 2490 ที่ยังคงใช้มาถึงปัจจุบันและยังไม่มีการแก้ไขแม้แต่ตัวอักษรเดียว (ขณะที่ไทยฉีกและสร้างรัฐธรรมนูญใหม่จากปี 2490 ถึงวันนี้มีรวม 17 ฉบับ) ระบุไว้ว่าทุกภารกิจที่จักรพรรดิดำเนินงานที่เกี่ยวกับกิจการของรัฐ ซึ่งมี 10 ภารกิจ (มาตรา 7) จักรพรรดิไม่มีอำนาจที่จะดำเนินการตามอัธยาศัย แต่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำและความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ‘เพื่อประชาชน’ ภารกิจด้าน ‘การสถาปนาเกียรติยศและพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์’ จักรพรรดิไม่สามารถกระทำตามพระราชอัธยาศัยได้
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ [10] ได้ศึกษาเครือข่ายเจ้านายในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง ระบุว่า พระจอมเกล้าฯ มีโอรส 39 ธิดา 43 รวม 82 องค์ พระจุลจอมเกล้าฯ มีโอรส 32 ธิดา 44 รวม 76 องค์ เมื่อรวมสองรัชสมัยในช่วงกว่าครึ่งศตวรรษ (2394-2453) ก็มีเครือข่ายเจ้านายเพิ่มขึ้นถึง 158 องค์ ในปี 2472 พระปกเกล้าฯ ให้มีการจัดทำทะเบียน ‘ราชสกุลวงศ์’ และให้มีการสำรวจว่าเจ้าตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้ารับราชการอยู่จำนวนเท่าใด พบว่ามีเจ้ารับราชการถึง 144 องค์ โดยเป็นทหารมากที่สุด 44 องค์
ไม่มีข้อมูลว่ายังมีเจ้าที่ไม่ได้รับราชการอยู่อีกสักเท่าไหร่ แต่คาดได้ว่าเกือบทั้งหมดน่าจะเป็นเจ้าผู้หญิง และเจ้าจำนวนมากที่สุดนั้นคือชั้นหม่อมเจ้า ซึ่งจะมีการสถาปนาเลื่อนขั้นเจ้ากลุ่มนี้ที่รับใช้สอยใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ในแต่ละรัชสมัยให้เป็นพระองค์เจ้าแต่งตั้งหลายองค์ด้วยกัน
ดังนั้น ปัญหาสำคัญของราชการกรมกระทรวงต่างๆ ที่เจ้าเป็นผู้บริหารในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ ข้าราชการต้องทำตามพระอัธยาศัยของเจ้ากรมเจ้ากระทรวง และเกิดระบบอุปถัมภ์ในแบบ ‘เลือกที่รักมักที่ชัง’ อยู่โดยทั่วไป
ด้วยปัจจัยดังกล่าว เจ้าโดยทั่วไปย่อมนิยมชมชอบที่จะรักษาระบอบกษัตริย์เหนือกฎหมายนี้ไว้ให้นานที่สุด แต่เจ้ารุ่นใหม่หลายคนก็ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยตามตะวันตก แต่ก็ไม่อาจละทิ้งบริบททางสังคมเศรษฐกิจของตนเองได้ ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายผัวเดียวเมียเดียวนั้นไม่อาจประกาศใช้ได้ในยุคนี้ เพราะทั้งเจ้านายและข้าราชการขั้นสูงต่างมีเมียจำนวนมากและอยู่ในเขตรั้วบ้านใหญ่เดียวกัน ทว่าเมื่อเป็นยุคคณะราษฎร กฎหมายผัวเดียวเมียเดียวถูกประกาศใช้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะชนชั้นนำเป็นคนละบริบททางวัฒนธรรม และปลดปล่อยให้ผู้หญิงมีสิทธิเสรีภาพเพิ่มสูงมากตลอดมา [11]
หลังปฏิวัติ 2475 มีเจ้า 2 องค์ที่ได้ชื่อว่าช่วยเหลืองานของรัฐบาลคณะราษฎรมีตำแหน่งและมีชื่อเสียง หนึ่งคือ ม.จ.วรรณไวทยากร วรวรรณ อีกหนึ่งคือ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
พระองค์วรรณ (2434-2519) หรือ ม.จ.วรรณไวทยากร วรวรรณ หรือศาสตราจารย์ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ [12] เป็นโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ (เป็นโอรสพระจอมเกล้าฯ ลำดับที่ 56) เสด็จพ่อมีหม่อมหรือภริยา 13 คน มีโอรสธิดา 35 องค์
พระองค์วรรณได้ทุนหลวง (King’s scholarship) ไปเรียนที่อังกฤษ จบปริญญาตรีและโทที่คณะบูรพคดีศึกษา (Oriental Studies) สาขาวิชาภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ที่สถาบันตะวันออก มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ท่านจึงมีความสามารถในการบัญญัติศัพท์ ศัพท์การเมืองสมัยใหม่จำนวนมากของไทยมาจากท่านบัญญัติ
พระองค์วรรณเรียนจบก็เข้ารับราชการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศในช่วงสองปีท้ายสมัยรัชกาลที่ 6 พอเปลี่ยนเป็นสมัยรัชกาลที่ 7 ก็เปลี่ยนตัวปลัดกระทรวงเป็นพระยาศรีวิสารวาจา พระองค์วรรณจึงได้ไปเป็นอัครราชทูตไทยประจำอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม ปี 2473 กลับมาสอนหนังสือที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ แสดงว่าย้ายออกจากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ว่าเผชิญหน้ากับปัญหา ‘เลือกที่รักมักที่ชัง’ ในหมู่เจ้า
หลังปฏิวัติ พระองค์วรรณเป็นนายทุนเจ้าของหนังสือพิมพ์ประชาชาติ (เปิด 1 ตุลาคม 2475) หนังสือพิมพ์ฝ่ายก้าวหน้าเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ระดมนักหนังสือพิมพ์มาที่นี่ เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ มาลัย ชูพินิจ สนิท เจริญรัฐ เฉวียง เศวตะทัต อบ ไชยวสุ โชติ แพร่พันธุ์ หรือยาขอบ ส่วนพระองค์วรรณก็แปลคำทางการเมืองหรือบัญญัติศัพท์ใหม่ๆ เช่น ปฏิวัติ ประชาชาติ รัฐธรรมนูญ ทั้งเขียนและพูดเพื่อความรู้เกี่ยวกับระบอบการเมืองประชาธิปไตย [13]
หลังปฏิวัติ 2475 ฝ่ายคณะราษฎร ตั้งแต่สมัยพระยาพหลเป็นนายกรัฐมนตรี พระองค์วรรณเป็นที่ปรึกษาที่สำคัญโดยเฉพาะด้านการต่างประเทศ แต่ด้วยข้อห้ามเจ้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ พระองค์วรรณจึงไม่มีตำแหน่งทางการเมืองอย่างเป็นทางการ
หลังรัฐประหาร 2490 ยุคฟื้นฟูพระราชอำนาจ พระองค์วรรณก็ยังเป็นผู้มีบทบาทที่โดดเด่นในฐานะเจ้าผู้ทรงภูมิความรู้และน่าเคารพยกย่องด้วยเช่นกัน สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร พระองค์วรรณเป็นทั้งรองนายกรัฐมนตรีและอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ยุติบทบาททางการเมืองและการบริหารตั้งแต่ปี 2514
ด้านหม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภา (2447-2489) [14] เป็นโอรสองค์แรกของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เนื่องจากมารดาสังหารตัวตายด้วยน้อยพระทัยสามี รัชกาลที่ 5 จึงทรงนำมาเลี้ยงดูด้วยความสงสาร และสถาปนาให้เป็น พระองค์เจ้า เคยเรียนชั้นมัธยมที่อเมริกา ต่อมาย้ายมาเรียนที่อังกฤษ จบมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ทั้งปริญญาตรีและโทด้านการปกครอง
ปี 2470 กลับมาไทย พระองค์เจ้าอาทิตย์รับราชการมหาดไทย ปี 2473 จนถึงวันปฏิวัติ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ขณะอายุ 28 ปี ตอนแรกคณะราษฎรหาว่าพูดจาต่อต้านการเปลี่ยนแปลง แต่ต่อมาพระองค์เจ้าอาทิตย์แสดงตนโดยระดมข้าราชการประชุมและประกาศสนับสนุนคณะราษฎร
ในช่วงแห่งความผันแปรนี้ได้แสดงตนสนับสนุนระบอบใหม่อย่างเต็มที่ ถึงกับเขียนหนังสือเรื่อง ประวัติศาสตร์สมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส และสมัยนโปเลียน โบนาปารฺต ภาค 1 พิมพ์ปี 2477 เพื่อชี้ให้เห็นว่าการปฏิวัติล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นเป็นพลังชัยชนะของประชาชนที่มีสาเหตุมาจากความเหลวแหลกด้านการบริหารและความไม่ยุติธรรมของชนชั้นสูง ซึ่งโดยนัยคือการเปรียบการปฏิวัติของไทยผ่านประวัติศาสตร์การปฏิวัติของฝรั่งเศสนั่นเอง หนังสือพิมพ์ครั้งแรกมีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี) เขียนคำนำให้
ต่อมา พระองค์เจ้าอาทิตย์ได้รับการยอมรับจากคณะราษฎรให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ 8 ตั้งแต่มีนาคม 2478 เป็นยุคที่มีความสนิทสนมกับจอมพล ป. พิบูลสงครามอย่างยิ่ง และได้ลาออกจากตำแหน่งไปพร้อมๆ กับการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพล ป. เมื่อสิ้นกรกฎาคม 2487 ในปีสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
จากตัวอย่างของสองเจ้า ที่มีกำเนิดในฐานะ หม่อมเจ้า ที่ได้รับสถาปนาเป็น พระองค์เจ้า น่าจะกล่าวได้ว่า เป็นเพียงเจ้าจำนวนน้อยนิดมากที่หันมาสนับสนุนระบอบใหม่ ดังนั้น เจ้านายทุกระดับจึงยังคงอยู่กับความฝันในการฟื้นฟูปรับปรุงระบอบเก่าให้ดูมีภาพลักษณ์ทันสมัยมากกว่าที่จะสนับสนุนการสร้างประชาธิปไตยหรือระบอบใหม่โดยคณะราษฎร
5. คณะราษฎรสิ้นสุดเมื่อไหร่กันแน่ ระหว่างสิ้นสุดปีรัฐประหาร 2490 หรือสิ้นสุดปีรัฐประหาร 2500
แนวคำอธิบายถึงระยะเวลายุคสมัยของคณะราษฎรที่น่าจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากที่สุด เป็นข้อเสนอของอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ จากงานเรื่อง ประวัติการเมืองไทยสยาม พ.ศ.2475-2500 (พิมพ์เอกสารโรเนียวครั้งแรกปี 2533) และการนำเสนอผ่านการอภิปรายและข้อเขียนของอาจารย์ ซึ่งผมได้สรุปไว้ใน ‘คำนำ’ ที่ผมได้เขียนให้กับหนังสือเล่มนี้เมื่อพิมพ์เป็นเล่มปี 2544
ในคำนำของผมกล่าวว่า “อาจารย์ชาญวิทย์คือผู้ที่ทำให้การเมืองไทยถูกจัดแบ่งออกเป็น 4 ยุคสมัยใหญ่ๆ คือ ยุคสมัยคณะราษฎร (2475-2490) ยุคสมัยคณะรัฐประหาร (2490-2500) ยุคสมัยคณะปฏิวัติ (2500-2516) และยุคสมัยปัจจุบัน นับแต่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา” [15]
ชื่อสามยุคแรกรวมระยะเวลา 41 ปีนั้น เห็นได้ว่าอาจารย์ชาญวิทย์ตั้งชื่อตามชื่อของคณะที่เข้ามามีอำนาจทางการเมือง ได้แก่ คณะราษฎร คณะรัฐประหาร และคณะปฏิวัติ แต่สำหรับยุคสมัยปัจจุบันที่มาถึงวันนี้มีระยะเวลานานถึงครึ่งศตวรรษนั้น อาจต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อยุคกันอีกครั้งหนึ่ง
หากพิจารณายุคสมัยคณะราษฎร 15 ปีนี้พบว่า นายกรัฐมนตรีนั้นเป็นสมาชิกคณะราษฎร ได้แก่ พระยาพหลพลพยุหเสนา หลวงพิบูลสงคราม หรือจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายทวี บุณยเกตุ นายควง อภัยวงศ์ นายปรีดี พนมยงค์ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
แต่ที่ไม่ใช่สมาชิกคณะราษฎรมี 2 คน ได้แก่ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช โดยพระยามโนฯ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกโดยการสนับสนุนของคณะราษฎรเพื่อประนีประนอมกับระบอบเก่าในยุคเปลี่ยนผ่านระบอบการเมือง ส่วน ม.ร.ว.เสนีย์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการสนับสนุนของคณะราษฎรและเสรีไทยเพื่อประสานกับมหาอำนาจโลกใหม่คือสหรัฐอเมริกาที่ช่วยให้ไทยไม่ตกเป็นประเทศผู้แพ้สงครามและประนีประนอมกับฝ่ายกษัตริย์นิยม
ทว่าเมื่อนายควง อภัยวงศ์ที่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นขึ้นมาในฐานะผู้นำกลุ่มการเมือง ส.ส. ไม่ใช่ในฐานะสมาชิกคณะราษฎรอีกต่อไป (นี่คือจุดเริ่มของพรรคประชาธิปัตย์)
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พลังอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎรได้ถูกเบียดขับจากกลุ่มการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว
นอกจากนี้ หากพิจารณาการเสนอนโยบายรัฐบาลต่อสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลพระยามโนฯ รัฐบาลพระยาพหลฯ รัฐบาลหลวงพิบูลฯ และรัฐบาลนายควง จาก 2475-2487 ต่างมีคำว่า ‘หลัก 6 ประการ’ ซึ่งเป็นนโยบายสร้างชาติ 6 ข้อของคณะราษฎรระบุกำกับไว้ด้วย ได้แก่ หลักเอกราช หลักความปลอดภัยหรือหลักความสงบภายใน หลักการศึกษา หลักสิทธิเสมอภาค หลักเสรีภาพ และหลักการศึกษา
แต่เมื่อสิ้นสุดสงคราม การแถลงนโยบายรัฐบาลของนายทวี ม.ร.ว.เสนีย์ นายควง นายปรีดี และพลเรือตรีถวัลย์ ระหว่างปี 2488-2490 ไม่มีคำว่า ‘หลัก 6 ประการ’ อยู่ในคำแถลงนโยบายรัฐบาลอีกเลย [16] ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า สมาชิกคณะราษฎรได้แปรรูปตนเองไปสังกัดกลุ่มหรือพรรคการเมืองต่างๆ ที่แข่งขันกันเป็นรัฐบาลด้วยการเลือกตั้ง หรือนัยหนึ่ง ความเป็นคณะราษฎรได้อ่อนพลังลงหรือสลายตัวลงไปในทางนิตินัยแล้ว
ที่สงสัยกันคือหลังรัฐประหารปลายปี 2490 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ต้นเมษายน 2491 อยู่ยาวนานสิบปีถึงกลางปี 2500 จึงถูกรัฐประหาร จอมพล ป. คือผู้นำคณะราษฎร ดังนั้น ย่อมเท่ากับคณะราษฎรก็ยังมีชีวิตสืบต่อมา ยังไม่หมดสิ้นอำนาจทางการเมืองใช่หรือไม่
ถ้าเราเริ่มต้นเข้าใจว่า การรัฐประหาร 2490 คือการกำจัดคณะราษฎรที่มีนายปรีดีเป็นผู้นำ กำจัดกลุ่มเสรีไทยในประเทศ เราก็จะเห็นว่า การกลับคืนสู่อำนาจของจอมพล ป. ในครั้งนี้ไม่ได้อ้างความเชื่อโยงกับคณะราษฎรอีกเลย แต่จะอ้างความเชื่อมโยงในฐานะผู้นำกองทัพไทยเป็นสำคัญ ดังนั้น การแถลงนโยบายและการกล่าวใดๆ ของจอมพล ป. จึงไม่เอ่ยว่าตนคือคณะราษฎรอีกต่อไป อีกทั้งยังลดทอนวันสำคัญของชาติที่คณะราษฎรสร้างขึ้น นั่นคือวันชาติ 24 มิถุนายนและวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ที่เคยมีวันหยุด 3 วันนั้นให้เหลือวันหยุดเพียงวันเดียว
ข้อที่น่าสงสัยต่อคือ รัฐประหารเงียบปลายเดือนพฤศจิกายน 2494 ได้มีการนำรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญฉบับของคณะราษฎร สิ่งนี้ยิ่งไม่ตอกย้ำหรือว่าคณะราษฎรยังอยู่และอยู่ยาวจนถึงปี 2500
ต่อคำถามนี้เราต้องเข้าใจก่อนว่า การที่คณะทหารนำรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 กลับมาใช้ เป้าหมายของการรัฐประหารนี้คือเพื่อกำจัดพลังอำนาจของฝ่ายกษัตริย์นิยมที่กำลังขยายตัวและมีบทบาทตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2492 นั่นคือฝ่ายทหารต้องฉีกรัฐธรรมนูญนี้ทิ้งเพื่อยับยั้งอำนาจของฝ่ายกษัตริย์นิยม ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคมจึงตอบโจทย์ต่อการที่จะให้ฝ่ายทหารรัฐประหารที่ยังเป็นข้าราชการประจำสามารถเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและจำกัดบทบาทของพระมหากษัตริย์ที่กำลังเสด็จกลับมาประทับในประเทศที่จะถึงไทยในอีกไม่กี่วัน
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมจนหน้าตาเนื้อหาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนั้น โดยฝ่ายทหารต้องประนีประนอมกับฝ่ายกษัตริย์นิยม มีการนำมาตราต่างๆ เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2492 กลับคืนมาทั้งสิ้น ก็ยิ่งเน้นย้ำว่าคณะราษฎรได้สูญเสียบทบาทและอำนาจไปนานแล้ว
ดังนั้น เพื่อความเข้าใจที่ดีและถูกต้อง เราควรเรียกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2494 แก้ไขเพิ่มเติม 2495 แทนการเรียกว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 แก้ไขเพิ่มเติม 2495 อันทำให้เราเข้าใจผิดพลาดไปได้ว่า คณะราษฎรยังมีบทบาทต่อมาในทศวรรษ 2490 โดยผ่านกลุ่มจอมพล ป.
นอกจากนี้ รัฐบาลจอมพล ป. ที่จัดตั้งขึ้นปี 2491, 2494, 2495, 2500 ในการแถลงนโยบายรัฐบาลนั้นไม่มีคำว่า ‘หลัก 6 ประการ’ แม้แต่คำเดียว [17]
ยุคทศวรรษ 2490 จึงเป็นทศวรรษของคณะรัฐประหารที่มีการแข่งขันชิงอำนาจและผลประโยชน์ในกลุ่มทหารบก 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่กลุ่มจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลุ่มซอยราชครูของจอมพลผิน ชุณหะวัณและพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ กลุ่มสี่เสาเทเวศร์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยมีฝ่ายกษัตริย์นิยมมุ่งชิงพื้นที่สร้างเสริมพลังอำนาจและผลประโยชน์เพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่มด้วย [18]
สรุป คณะราษฎรสิ้นสุดบทบาททางการเมืองอย่างสิ้นเชิงเมื่อมีการรัฐประหาร 2490
หมายเหตุ: ทั้ง 5 คำถามนี้ ต้องขอบคุณคำถามจากสมาชิกในไลน์กลุ่มปิดของธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
↑1 | ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, 2475 และ 1 ปีหลังการปฏิวัติ (กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2543), หน้า 13-14. |
---|---|
↑2 | เหรียญ ศรีจันทร์ และเนตร พูนวิวัฒน์, ปฏิวัติ ร.ศ.130 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2556). ณัฐพล ใจจริง บรรณาธิการ. หนังสือเล่มนี้ฉบับพิมพ์ครั้งแรกปี 2484 ใช้ชื่อว่า ‘ปฏิวัติ ร.ศ. 130’ ต่อมาปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อพิมพ์แจกในงานศพหมอเหล็ง หัวหน้าคณะเมื่อปี 2503 ใช้ชื่อว่า ‘หมอเหล็งรำลึก : ประวัติปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ.130’ |
↑3 | เพิ่งอ้าง, หน้า 49-63, 71. |
↑4 | วรางคณา จรัณยานนท์, “คณะ ร.ศ.130 : ชีวิต อุดมการณ์และการจัดตั้ง,” (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาไทยศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2549), หน้า 128-129. |
↑5 | ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: แม่คำผาง, 2553), หน้า 60. |
↑6 | ประยูร ภมรมนตรี, ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า (กรุงเทพฯ: บพิตรการพิมพ์, 2525), หน้า 51. |
↑7 | ปรีดี พนมยงค์, อ้างแล้ว, หน้า 64, 67-68. |
↑8 | “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1,” ใน สถาบันปรีดี พนมยงค์ (เข้าถึงเมื่อ 11 มิถุนายน 2565). |
↑9 | ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, อ้างแล้ว, หน้า 84-85. |
↑10 | นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ร่วมกับ โครงการ 60 ปีประชาธิปไตย, 2535), หน้า 23, 35-36. |
↑11 | “เปิดจุดเสื่อมระบบ ‘ผัวหลายเมีย’ ไทยผ่านอะไรบ้างกว่าจะมีกฎหมาย ‘ผัวเดียวเมียเดียว’,” ใน ศิลปวัฒนธรรม (เข้าถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2565); ดูรายละเอียดใน สุรเชษ์ฐ สุขลาภกิจ, ผัวเดียว เมีย…เดียว อาณานิคมครอบครัวในสยาม (กรุงเทพฯ: มติชน, 2561). ดูบทที่ 2 และบทที่ 3. |
↑12 | “130 ปี พระองค์วรรณ ภารกิจ “ประชาชาติ” บนความเปลี่ยนแปลง,” ใน ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (25 สิงหาคม 2564). (เข้าถึง 11 มิถุนายน 2565) |
↑13 | “กรมหมื่นนราธิปฯ กับการบัญญัติศัพท์ในภาษาไทย และการก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ‘ประชาชาติ’,” ใน ศิลปวัฒนธรรม (25 สิงหาคม พ.ศ.2564). (เข้าถึง 11 มิถุนายน 2565); ณัฐพล ใจจริง, “คู่มือระบอบใหม่: หนังสือพิมพ์ประชาชาติกับการเสริมพลังให้ประชาชน,” ใน มติชนสุดสัปดาห์ (27 สิงหาคม – 2 กันยายน 2564). (เข้าถึง 11 มิถุนายน 2565) |
↑14 | กษิดิศ อนันทนาธร, “พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ‘เจ้าที่รักชาติ…เป็นเยี่ยงอย่างแก่เจ้าอื่นๆ ได้’,” ใน the101.world (5 เมษายน 2565). (เข้าถึง 11 มิถุนายน 2565) |
↑15 | ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย 2475-2500, พิมพ์ครั้งที่ 7 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2560), หน้า (9). |
↑16 | ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517) (กรุงเทพฯ: กลุ่มรัฐกิจเสรี, 2517), หน้า 46-51, 78, 113, 148-149, 250-256, 281, 440, 471, 476, 500, 506, 537, 552-557, 571-575. |
↑17 | เพิ่งอ้าง, หน้า 614-617, 649-656, 716-718, 730-733, 870-873. |
↑18 | ณัฐพล ใจจริง, ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี : การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500 (กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2563), หน้า 265-270. |