แนวโน้มที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตั้งแต่ปลายปีก่อนเรารู้อยู่แล้วว่า
- ธุรกิจท่องเที่ยวต่างประเทศน่าจะฟื้นตัวเป็นลำดับท้ายๆ เพราะการเดินทางข้ามประเทศคือประเด็นละเอียดอ่อนในโลกโควิด ต้องทั้งคุมโรคอยู่ ตกลงกับประเทศต่างๆ ให้ได้ว่าจะลดจำนวนวันกักตัวให้กันและกัน มีระบบพาสปอร์ตสุขภาพที่ระบุข้อมูลการฉีดวัคซีนและประวัติการติดเชื้อโควิด ฯลฯ ที่ทุกฝ่ายยอมรับ เป็นต้น
- การส่งออกจะฟื้นตัวได้เร็วกว่ามาก เพราะวัคซีนจะกระจายไปยังสหรัฐฯ และยุโรปก่อน ในขณะที่จีนก็ฟื้นตัวได้ดีอยู่แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นตลาดใหญ่ที่นำเข้าสินค้าจากทั่วโลก
- เศรษฐกิจไทยอาจได้อานิสงส์จากการส่งออกจริง แต่ก็มีข้อเสียเปรียบตรงที่เราพึ่งพาการท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียมาก
แต่ในไม่กี่เดือนมานี้ มีปัจจัยความท้าทาย ‘3V’ เข้ามาทำให้ต้องปวดหัวมากกว่าที่เคยคิดไว้
V แรก ‘Variants’
ไวรัสเริ่มกลายพันธุ์ อย่างสายพันธุ์ที่พบในสหราชอาณาจักร (B.1.1.7) จนตอนหลังกลายพันธุ์ไปเป็นสายพันธุ์แอฟริกาใต้ (B.1.351) สายพันธุ์บราซิล (P.1) และล่าสุดคือสายพันธุ์ที่พบที่อินเดีย (B.1.617, B.1.618)
แม้ไวรัสจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่การกลายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วงคือการกลายพันธุ์แบบ E484K หรือที่มีชื่อเล่นว่า Eek (Eek Mutation)
แม้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังมีไม่มาก แต่หลักฐานเท่าที่พอมีชี้ให้เห็นว่าการกลายพันธุ์เช่นนี้จะสร้างความยุ่งยากเพราะ
- ทำให้ไวรัสแพร่ระบาดได้เร็วขึ้น
- มีความรุนแรงขึ้น (อัตราการป่วยรุนแรงสูงขึ้น)
- วัคซีนได้ผลน้อยลง
อย่างกรณีในบราซิล การศึกษาพบว่าเชื้อสามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดิมประมาณ 2 เท่า โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าเดิม 40-50% และที่แปลกคือ มีอาการรุนแรงในคนอายุน้อยมากกว่าคนสูงอายุ แตกต่างจากสายพันธุ์ดั้งเดิม
ในด้านการ ‘ดื้อ’ วัคซีน มีผลการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาใต้อาจลดประสิทธิภาพวัคซีน AstraZeneca ลงเหลือแค่ 10% เป็นต้น (แต่ขอย้ำนะครับว่าอย่าเพิ่งเชื่อผลนี้ 100% ทั้งหมดนี้คงต้องรอข้อมูลและการศึกษาเพิ่มก่อนจึงจะมั่นใจได้)
V ตัวนี้ทำให้โจทย์ทางเศรษฐกิจยากขึ้นเพราะ
- โจทย์การเปิดประเทศสำหรับการท่องเที่ยวซับซ้อนขึ้น เพราะเราอาจต้องรู้ว่านักท่องเที่ยวที่กำลังจะเข้ามามีความเสี่ยงจะนำเชื้อสายพันธุ์ที่อันตรายกว่าปกติและวัคซีนเอาไม่อยู่หรือไม่
- ภูมิคุ้มกันหมู่เกิดได้ยากขึ้น ที่เราได้ยินว่าต้องฉีดวัคซีนให้ได้ประมาณ 70% ของประชากรเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า วัคซีนทำให้เกิดภูมิคุ้มกัน 100% แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้แต่วัคซีนกลุ่ม mRNA ที่ว่ามีประสิทธิภาพสูงก็ใช่ว่าฉีดแล้วจะไม่ติดเชื้อเลย ยิ่งหากมีการกลายพันธุ์ที่ลดประสิทธิภาพของวัคซีน ยิ่งแปลว่าเราอาจต้องฉีดวัคซีนให้คนจำนวนมากกว่าเดิมเพื่อจะให้ 70% ของประชากรมีภูมิคุ้มกัน
- เลือกวัคซีนผิดชีวิตเปลี่ยน เพราะวัคซีนแต่ละประเภทอาจมีประสิทธิภาพในการรับมือเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ ต่างกัน อย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้นว่า งานศึกษาบางชิ้นชี้ว่าประสิทธิผลของวัคซีนบางตัวอาจร่วงมากกว่าตัวอื่น
- การกลายพันธุ์ยังไม่จบ ยิ่งสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในคนหมู่มาก อย่างเช่นในอินเดียที่ตอนนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกือบ 4 แสนคนต่อวัน ก็อาจยิ่งทำให้เกิดการกลายพันธุ์ต่อจนคาดเดาได้ยาก
V ที่ 2 ‘Vaccine’
วัคซีนอาจไม่ใช่ยาวิเศษที่ทำให้โควิดหายไป แต่วัคซีนยังคงสำคัญมากเพราะสามารถช่วยลด trade-off หรือความยากในการหาจุดสมดุลระหว่างขีดจำกัดด้านสาธารณสุขและการรักษาระบบเศรษฐกิจได้
โจทย์นโยบายที่ท้าทายที่สุดข้อหนึ่งในยุคโควิดคือ หากไม่เปิดประเทศรับการท่องเที่ยว เศรษฐกิจก็ไม่มีทางฟื้นเต็มที่
ธุรกิจไม่น้อยต้องล้มตาย คนจำนวนมากตกงาน แต่หากเปิดประเทศเร็วไป (หรือกลับมาปิดประเทศใหม่ช้าไป) จนเกิดการระบาดรุนแรงถึงขั้นล้นกำลังของระบบสาธารณสุข ยอดคนเสียชีวิตพุ่งจนสุดท้ายต้องปิดประเทศด้วยมาตรการที่รัดกุมกว่าเดิมจนอาจถึงขั้นล็อกดาวน์ ก็ทำให้ต้องทั้งสูญเสียชีวิตและเศรษฐกิจพัง การตัดสินใจทั้งหมดนี้มักต้องเกิดภายใต้สภาวะที่ข้อมูลไม่สมบูรณ์และผิดพลาด ตัดสินใจห่างกันไม่กี่วันก็ทำให้ได้ผลต่างกันราวฟ้ากับเหว
วัคซีนช่วยลดปัญหานี้ได้ด้วยการลดความเสียหาย (Downside) จากการที่ผู้วางนโยบายตัดสินใจพลาด ทำให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารเศรษฐกิจ-ระบบสาธารณสุขมากขึ้น
- วัคซีนทุกประเภทที่เรารู้จักกันตอนนี้ช่วยลดอัตราการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิผล หมายความว่าแม้อาจตัดสินใจพลาดเปิดเมืองเร็วไปบ้าง (หรือปิดใหม่ช้าไปบ้าง) ยอดคนที่จะป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลและ ICU ก็จะลดลงกว่าเดิมมาก ซึ่งลดความเสี่ยงที่ระบบสาธารณสุขรองรับจำนวนผู้ป่วยไม่ไหว
- แม้วัคซีนปัจจุบันอาจป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ได้น้อยลง แต่เท่าที่ทราบรายละเอียด วัคซีนยังสามารถลดความเสี่ยงที่จะป่วยหนักและเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิผลอยู่ (อย่างน้อยจากกรณีศึกษาที่ใช้ Novavax และ Johnson & Johnson)
- แน่นอนว่าหากฉีดวัคซีนได้มากเพียงพอจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ก็ย่อมยิ่งทำให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อเป็นวงกว้างต่ำลงจนสามารถทดลองการเปิดประเทศในรูปแบบใหม่ๆ และหากยิ่งเปิดรับนักท่องเที่ยวได้เร็ว เศรษฐกิจก็ยิ่งฟื้นตัวเร็วเช่นกัน
ยิ่งเศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ ประเทศนั้นก็ยิ่งต้องการวัคซีนมากขึ้นเท่านั้น
3 ด้านของยุทธศาสตร์วัคซีน : Supply – Distribution – Demand
ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศจึงให้ความสำคัญต่อยุทธศาสตร์วัคซีน โดยมี 3 มิติสำคัญ
หนึ่ง ซัพพลาย (Supply) – วัคซีนควรมีจำนวนมากพอและหลากหลายยี่ห้อ จริงๆ แล้วหากมองในมุมการบริหารความเสี่ยง การมีจำนวนวัคซีนเหลือดีกว่าขาด เพราะอาจต้องมีการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อให้ภูมิคุ้มกันอยู่ต่อเนื่องและไม่เสื่อมหายตามเวลา ความหลากหลายของประเภทวัคซีนเองก็สำคัญ เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าวัคซีนชนิดไหนจะรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ได้อยู่หมัด จึงต้องมีการกระจายความเสี่ยงบ้าง
สอง การกระจายวัคซีน (Distribution) – รัฐบาลต้องกำหนดลำดับขั้นตอนการฉีดวัคซีนว่าใครจะมีสิทธิได้รับวัคซีนก่อนหรือหลัง อย่างเช่น วิธีของสหราชอาณาจักรที่เน้นฉีดเข็มแรกเป็นวงกว้างก่อนในยามที่ปริมาณวัคซีนมีจำกัดก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะการศึกษาชี้ให้เห็นว่าลดอัตราการป่วยหนักได้ดี
นอกจากนี้ ยังต้องรักษาสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายวัคซีนกับการช่วยให้คนเข้าถึงระบบดิจิทัลได้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้ระบบ เพราะคนกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการฉีดวัคซีน อย่างในสิงคโปร์ นอกจากจะเปิดให้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนทางเว็บไซต์แล้ว ยังมีการแต่งตั้งคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจคนรุ่นใหญ่ให้ทำหน้าที่ ‘ยุวทูตสีเงิน’ (Silver Generation Ambassador) ไปช่วยผู้ใหญ่ลงทะเบียนตามที่พักและสโมสรต่างๆ
สาม ดีมานด์ (Demand) ซึ่งเป็นด้านที่ยังไม่มีการพูดถึงกันมาก ปัญหาที่หลายประเทศพบคือ เมื่อเริ่มมีการทยอยฉีดวัคซีนล็อตแรกๆ แล้ว ความต้องการในการฉีดวัคซีนอาจลดลง เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากหรือไม่กล้าฉีดวัคซีน ส่วนหนึ่งเพราะกลัวความเสี่ยงจากผลข้างเคียง (แต่ข่าวปลอมก็สะพัดมากเช่นกัน) บางส่วนเพราะไม่เข้าใจความสำคัญ หรือบางส่วนเพราะความเชื่อ
ดังนั้นการสื่อสาร ‘ทำแคมเปญ’ ให้คนเข้าใจประโยชน์พร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องเผชิญในการฉีดวัคซีน รวมทั้งแยกแยะข่าวจริง-ปลอมจึงสำคัญมาก โดยในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ประชาชนไปฉีด มักมีการใช้ Influencers หรือคนที่สามารถสื่อได้กับคนรุ่นนั้นๆ เป็นผู้ช่วยกระจายข้อความ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาชื่อดัง (สหรัฐฯ) ผู้นำด้านศาสนา (อิสราเอล) ฯลฯ ทั้งยังมีการให้แรงจูงใจเสริม อย่างล่าสุดในสิงคโปร์ เริ่มมีการพูดคุยกันว่าจะอนุญาตให้คนที่ฉีดวัคซีนแล้วไปเที่ยวต่างประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำไม่ต้องกักตัวตอนกลับเข้าประเทศ
V ที่ 3 ‘Vulnerable’
V ตัวที่ 1+2 ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความเปราะบาง (vulnerable) เพราะอาจต้องหันกลับมาต่อสู้กับการระบาดเป็นระยะๆ ได้เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น สำคัญปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้กลุ่มเปราะบางที่ชอกช้ำอยู่แล้วถูกซ้ำเติมจนบาดแผลลึกขึ้นและหายช้าลง เพราะเปิดประเทศได้ช้าลง และเงินเก็บยิ่งหมดลง
ดังนั้นนอกจากยุทธศาสตร์วัคซีนแล้ว นโยบายเศรษฐกิจมหภาคยังมีหน้าที่สำคัญในการ ‘ซื้อเวลา’ ต่อชีวิตให้กลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็น แรงงานนอกประกันสังคมที่ไม่มีตาข่ายทางสังคมรองรับ ครัวเรือนที่ต้องแบกรับภาระหนี้สูง ธุรกิจ SMEs ที่สายป่านหมดจนอาจต้องปิดกิจการถาวร หรือเด็กนักเรียนจำนวนมากที่จำต้องออกจากระบบการศึกษา ฯลฯ
นโยบายการคลัง ‘ยุคสงคราม‘
นโยบายการคลังควรเป็นทัพหน้าและมีนโยบายการเงินคอยสนับสนุน
อาจต้องยอมรับความจริงที่ว่า พรก. เงินกู้ 1 ล้านล้านที่เหลืออยู่กว่า 2-3 แสนล้านนั้นอาจไม่เพียงพอกับการต่อสู้สงครามเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อครั้งนี้ ฉะนั้นการกู้เพิ่มอาจเป็นสิ่งจำเป็น
ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีช่องทางในการกู้เพิ่มได้แม้หนี้สาธารณะอาจต้องสูงขึ้นจนแตะ 60% ของ GDP ที่เป็นกรอบวินัยการคลังก็ตาม เพราะ เรากำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ดอกเบี้ยทั่วโลกต่ำลงมากซึ่งช่วยลดภาระการชำระหนี้ และที่สำคัญคือ หากยิ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เร็ว การจัดเก็บภาษีก็จะฟื้นตัวกลับสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น
เพียงแต่การใช้กระสุนการคลังชุดใหญ่ หรือ ‘บาซูก้า‘ นั้นต้องยึดหลักการ ‘5T‘ อย่างที่ผมเคยได้เขียนไว้ตั้งแต่ปีก่อนคือ ใหญ่พอ (Titanic) รวดเร็ว (Timely) ตรงเป้า (Targeted) โปร่งใส (Transparent) และชั่วคราว (Temporary)
พูดถึงนโยบายที่ตรงเป้า ผมอยากหยิบยกสิ่งที่เคยเสนอไปมาใช้อีกครั้ง เช่น นโยบายรัฐสนับสนุนค่าจ้างหรือรายได้แรงงานเพื่อให้ธุรกิจที่ไม่มีรายได้ไม่ต้องไล่คนออก ซึ่งใช้กันทั้งในเยอรมนี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร แคนาดา และสิงคโปร์อย่างได้ผลมาแล้วตลอดหนึ่งปีที่สู้กับโควิดมา
ภายใต้โครงการเช่นนี้ แทนที่ธุรกิจที่ขาดกระแสเงินสดจะต้องลดคนงานไปแล้วรีบจ้างแรงงานใหม่เมื่อเศรษฐกิจฟื้น สิ่งที่ธุรกิจเหล่านี้สามารถทำได้คือ ลดจำนวนชั่วโมงทำงานลงและใช้ค่าจ้างที่อุดหนุนโดยรัฐบาลช่วยจ่ายชดเชยบางส่วนเพื่อให้คนทำงานที่รายได้ลดลงพออยู่ได้ เมื่อ ‘เปิดเมือง’ คนทำงานก็ไม่ต้องหางานใหม่ สามารถทำงานเดิมต่อได้เลยเพราะไม่ได้ถูกปลด โดยส่วนตัวผม มองว่ารัฐบาลควรพิจารณานโยบายนี้อย่างน้อยกับภาคการท่องเที่ยวที่ต้องเผชิญศึกโควิดยืดเยื้อกว่าใคร
สุดท้าย จุดร่วมที่ 3V มีเหมือนกันคือ มันเตือนเราว่าโลกกำลังเผชิญ ‘ภาวะความไม่แน่นอน’ ที่สูงมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดในสภาวะเช่นนี้คือ ‘การบริหารความเสี่ยง’ (Risk management) ทั้งในแง่คนและองค์กร ประเทศที่เข้าใจและให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง รู้จักเผื่อเหลือเผื่อขาด วางแผน วางฉากทัศน์เป็น ใช้ข้อมูลประเมินผลตลอดเวลา ยอมรับผิดปรับตัวได้เร็ว จะเป็นผู้ที่ได้ ‘V’ ตัวสุดท้าย คือ Victory หรือชัยชนะในสงครามโควิดก่อนใคร
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ