Spotlight ประจำเดือนกันยายน 2564
ความน่าจะอ่าน 2021
ความน่าจะอ่าน 2021 – อ่านอะไรดีในปีแสนสาหัสยิ่งกว่า!
ความน่าจะอ่านดำเนินมาถึงปีที่ 5 แน่นอนว่าเรายังมีนายกรัฐมนตรีคนเดิม โดยที่นักประวัติศาสตร์อาจจะอยากเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ หรือนักรัฐศาสตร์อยากจะเขียนถึงประเด็นทางการเมืองใหม่ๆ แล้วก็ได้ แต่ก็อย่างที่รู้ นี่เป็นเรื่องที่หลายคนกำลังต่อสู้กันอยู่
ถ้าเราคิดว่าปี 2020 นั้นสาหัสแล้ว ปี 2021 ที่จุดบุหรี่รอซ้ำเติมคงยิ้มเยาะแล้วบอกเราว่า ที่เจอมานั่นยังไม่ใช่ของจริง เพราะดูเหมือนว่าความสาหัสจะไม่ได้จางหายไปไหน แต่ยิ่งทวีคูณความโหดร้ายขึ้นซ้ำๆ ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย เพราะมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐ จนทำให้ร้านค้าและผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียงานของตัวเอง ทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวเลขการฉีดวัคซีนขยับไปอย่างเชื่องช้า ยังไม่นับการจับกุมผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง และการทำร้ายผู้ชุมนุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงหลักสิทธิมนุษยชนที่ถอยหลังในประเทศไทย
เราเผชิญและ ‘อ่าน’ เรื่องราวเหล่านี้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บางคนถึงกับเปรียบเทียบว่า “เหมือนการซ้อมตกนรก” นั่นจึงทำให้เราเลือกที่จะตั้งคอนเซ็ปต์ของปีนี้ไว้ว่า ‘อ่านอะไรในปีแสนสาหัสยิ่งกว่า!’
เพราะว่าคำว่า ‘ยิ่งกว่า’ ไม่ใช่เรื่องเกินเลย หากมองจากสภาวการณ์ที่เรากำลังเผชิญในตอนนี้
ในความน่าจะอ่าน 2021 นี้ เรายังชวนเหล่าบรรณาธิการ ร้านหนังสือ และนักวาดภาพประกอบกว่า 60 ชีวิต มาเลือกหนังสือที่คิดว่า ‘น่าอ่าน’ ที่สุด จนได้หนังสือกว่า 130 เล่ม หลากหลายทั้งวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ การเมือง และการ์ตูน หลายเล่มช่วยต่อจิกซอว์ให้เราเข้าใจภาพใหญ่ของสังคมมากขึ้น หลายเล่มช่วยให้เราเห็นแก่นของปัญหา และอีกหลายเล่มก็ช่วยปลอบประโลมหัวใจเราในวันที่เหนื่อยล้า
20 ผลงานใหม่ ยอดอ่านสูงสุดของ The101.World เดือนกันยายน 2564
คนกระโปกแห่งยุคสมัย 199x ทำไมเด็กเจนวายไม่ยอมโต
โดย พิมพ์ชนก พุกสุข
“ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาในโลกทวิตเตอร์มีประเด็นเล็กๆ ที่น่าสนใจ เมื่อใครสักคนตั้งคำถามขึ้นมาว่า มีใครที่เกิดช่วงปี 1990-1999 แล้วยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่โตบ้างไหม”
คอลัมน์ PopCapture พิมพ์ชนก พุกสุข เขียนถึงสาเหตุสำคัญว่าเพราะอะไร ‘ชาวมิลเลนเนียลส์’ ถึงไม่อาจเติบโตได้อย่างที่ใจหวัง
“นึกย้อนไปสมัยที่ผู้เขียนยังเด็กมากๆ เวลาเห็นคนที่อายุ 25 ปีขึ้นไปมักให้ความรู้สึกของการเป็นผู้ใหญ่ หรือการแบกรับภาระหน้าที่บางอย่าง (ทั้งในเชิงการงานและการใช้ชีวิต) ได้อย่างดีเยี่ยมและน่ายกย่อง…จนกลายเป็นภาพจำของผู้เขียนที่รู้สึกว่า ถ้าวันไหนเราโตไปก็คงจะมีภาพแบบนั้นกับเขาเหมือนกัน”
“ตัดภาพมาที่ชีวิตจริง สิ่งเดียวที่มีพัฒนาการต่างไปจากตอนเด็กคืออาการติดกาแฟกับปวดหลัง ส่วนที่เหลือก็ยังใช้ชีวิต ‘ชุ่ย’ เหมือนเดิม”
“แต่เอาเข้าจริงๆ นี่นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ในต่างประเทศเองก็มีการศึกษาวิจัยว่ากลไกอะไรที่ทำให้คนรุ่นมิลเลนเนียลส์ หรือกลุ่มคนที่เกิดในกลางยุค 1980s จนถึงช่วงยุค 1990s นั้นรู้สึกว่าตัวเองไม่โต หรือถ้าโต ก็ไม่ใช่ภาพลักษณ์แบบที่ตัวเองเคยคิดไว้เมื่อสมัยยังเด็ก”
“ปรากฏการณ์ที่หนุ่มสาวชาวมิลเลนเนียลส์ในสหราชอาณาจักรยังพร้อมใจกัน ‘ไม่อยากโต’ นั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามีเงินและถือครองทรัพย์สิน ไม่ว่าจะบ้านหรือรถยนต์น้อยกว่าคนรุ่นพ่อแม่ หรือก็คือคนรุ่นบูมเมอร์ (กลุ่มคนที่เกิดหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง) ด้วยราคาที่ดินตลอดจนค่าภาษีในสหราชอาณาจักรแพงหูฉี่ การจะมีบ้านสักหลังหนึ่งจึงหมายถึงการต้องแบกรับภาระการเงินต่างๆ เหล่านี้จนหลังแอ่น”
เมื่อนักเขียนไทยเลี้ยวขวา และวรรณกรรมถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์ คุยกับชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์
“การเกิดขึ้นของรางวัลซีไรต์หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ไม่นาน ไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญ มีนักเขียนที่ได้รับสมญานามว่าเป็นฝ่ายซ้ายจำนวนมากได้รับรางวัลซีไรต์ต่อเนื่องกันในช่วง 10 ปีแรก
“กรณีของรางวัลซีไรต์หรือศิลปินแห่งชาติ คือทำให้นักเขียนที่เคยเป็นฝ่ายก้าวหน้าถูกยกย่องจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบ และทำให้กลายเป็นสถาบันขึ้นมาโดยยกย่องให้มีตำแหน่งแห่งที่ชัดเจน จนเป็นที่เคารพนับถือของคน“
101 ชวน รศ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาคุยว่าด้วยเรื่องลักษณะทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปของวงการวรรณกรรมไทย และคุณค่าความหมายของวรรณกรรมในโลกปัจจุบัน
“…การยกย่องงานเขียนเหมือนยกย่องเครื่องรางของขลัง ก่อให้เกิดภาวะงมงายในการมีปฏิสัมพันธ์กับวรรณกรรมที่ได้รับการยกย่อง
“มีการเชิดชูงานเหล่านี้ในระดับตัวบุคคลหรือในเชิงคุณค่าที่ตายตัวและหยุดนิ่ง ไม่ชี้ให้เห็นนัยหรือมิติที่สอดคล้องกับสังคมเท่าไหร่ ทำให้นัยของงานที่ควรจะเป็นการปลุกสำนึกของผู้อ่านหรือทำให้ผู้อ่านเกิดแรงบันดาลใจหายไปจากตัวงาน สิ่งเหล่านี้มีผลสำคัญมากต่อกระบวนการที่ทำให้วรรณกรรมไทยและนักเขียนไทยเลี้ยวขวาในระดับวัฒนธรรม”
“…ศิลปินแห่งชาติหลายคนอาศัยหลบซ่อนตัวเองอยู่ข้างหลังคุณสุชาติ (สวัสดิ์ศรี) ในฐานะศิลปินที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล พวกเขาไม่ต้องแสดงจุดยืนทางการเมืองของตัวเองให้ชัดเจนก็สามารถกล้อมแกล้มตบตาคนทั่วไปได้ว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย
แต่เมื่อคุณสุชาติถูกปลดออกไป ศิลปินแห่งชาติเหล่านี้ หากยืมคำที่คุณสุชาติชอบใช้ก็คือ ไม่สามารถทำตัว ‘เนียนเนียน เบลอเบลอ’ ได้อีกต่อไป ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายไหน
ต่อไปคนที่เชิญคนพวกนี้ไปเป็นกรรมการมูลนิธิหรือไปร่วมงานกับฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องคิดหนักขึ้น เพราะนับจากนี้ไปศิลปินแห่งชาติจะถูกตีตราว่าเป็นศิลปินของรัฐแถมยังเป็นรัฐเผด็จการอีกต่างหาก มิใช่ศิลปินของราษฎรอีกต่อไปแล้ว”
“ความวุ่นวายไม่ได้ทำให้สังคมล่มสลาย” ทบทวนนิยามสันติวิธี กับ ภัควดี วีระภาสพงษ์
“บางครั้งความวุ่นวายไม่ได้ทำให้สังคมล่มสลาย และมันสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมได้ .. ความปั่นป่วนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขั้นต้องปฏิเสธไม่ให้มีการประท้วงเกิดขึ้น”
จากเหตุการณ์ปะทะที่สามเหลี่ยมดินแดงและปฏิบัติการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐโดยกลุ่มเยาวรุ่นทะลุแก๊ส – ทะลุแก๊ซ ทำให้สังคมไทยกลับมาถกเถียงถึงหลักสันติวิธี นิยามความรุนแรงและความวุ่นวายอีกครั้ง
101 คุยกับ ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปล และนักวิชาการอิสระผู้ศึกษาการต่อสู้ด้วยสันติวิธีของขบวนการภาคประชาชนทั้งในและนอกประเทศ ผู้ที่ยืนยันว่าสันติวิธีไม่อาจถูกตีกรอบจำกัดจากคนวงนอกการปะทะ
“สันติวิธีเป็นเครื่องมือของคนที่อ่อนแอกว่าในการต่อสู้ โดยทั่วไป นักสันติวิธีสายปฏิบัติจึงพยายามนิยามให้กว้างที่สุดเพื่อเพิ่มอำนาจให้คนอ่อนแอ”
“ถ้าผู้ประท้วงบอกว่าจะชุมนุมโดยสันติ แต่โกรธเกรี้ยวและลุกขึ้นตอบโต้เมื่อมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ นั่นก็เป็นเรื่องปกติในโลกการต่อสู้ ปัญหาคือบางครั้งสังคมไทยเข้าใจว่าสันติวิธีต้องไม่ตอบโต้อะไรเลย … ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐยิงกระสุนยางมา เราโมโห ขว้างขวดน้ำกลับไป ซึ่งทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่คุณจะไม่นับว่าเป็นสันติวิธีหรือ? การตอบโต้เพราะความโกรธจากการถูกกระทำเป็นความรุนแรงในสายตาคุณหรือ?”
“เราอยากเรียกร้องให้ประชาชนที่ลงไปปะทะมีโอกาสเป็นผู้นิยามสันติวิธีของตัวเอง เพราะเขามีประสบการณ์ สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกในตอนปะทะ ถ้าให้คนที่ลงไปปฏิบัติจริงเป็นผู้นิยามจะสร้างพื้นที่ของสันติวิธีในไทยได้มากกว่าเดิม”
“นักปฏิบัติการสันติวิธีต้องเป็นผู้นำของสังคมในการผลักให้เกิดมุมมอง ทัศนคติที่ต่างไปจากเดิมด้วย พูดง่ายๆ ว่านักสันติวิธีเชิงปฏิบัติคือคนที่สั่นคลอนสังคมให้คิดใหม่ มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การต่อสู้ ช่วงแรกคนในสังคมแทบทุกสังคมมักติดอยู่กับแนวคิดเดิมๆ กฎระเบียบเดิมๆ และนักสันติวิธีจะรับบทบาทท้าทาย ตั้งคำถามต่อสังคม ทำให้คนสะดุดกับความเชื่อเดิมจนต้องลุกขึ้นมาถกเถียงกันว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้ และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด”
[ความน่าจะอ่าน] ปรากฏการณ์ “ตาสว่าง” กับ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี’
โดย กษิดิศ อนันทนาธร
“ธงชัย วินิจจะกูล กล่าวถึงความสัมพันธ์ของอาการ ‘ตาสว่าง’ กับการ ‘อ่าน’ ประวัติศาสตร์ไว้ได้อย่างน่าสนใจในคำนำเสนอของหนังสือ ‘ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี’ ว่า เมื่อคนตาสว่างกับปัจจุบันแล้ว จึงย้อนกลับไปสอบสวนอดีต ความข้อนี้เองทำให้การศึกษาบทบาททางการเมืองของพระมหากษัตริย์และพวกนิยมเจ้าตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีข้อเสนอใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมาในวงวิชาการ”
กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึง ‘ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี’ ของ ณัฐพล ใจจริง 1 ใน 11 Top Highlights ‘ความน่าจะอ่าน 2021’ ที่ชวนคุณย้อนมองภาพประวัติศาสตร์การเมืองไทยใต้เงาอเมริกา พ.ศ.2491-2500
[ความน่าจะอ่าน] ‘เศรษฐศาสตร์ความจน’ ทำความเข้าใจความจน ก้าวพ้นมายาคติ
“หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจปัญหาความยากจน โดยเฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย เพราะนอกจากหนังสือเล่มนี้จะช่วยทำลายมายาคติเก่าๆ เกี่ยวกับความยากจนโดยการใช้เครื่องมือใหม่ๆ แล้ว ยังกระตุ้นให้เราพยายามทำความเข้าใจคนจนและกับดักความยากจน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในวิกฤติเช่นนี้”
อิสร์กุล อุณหเกตุ เขียนถึงหนังสือ ‘เศรษฐศาสตร์ความจน’ (Poor Economics) ผลงานจากสองนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล 1 ใน 11 Top Highlights ‘ความน่าจะอ่าน 2021’ ว่าด้วยมายาคติที่ฝังลึกเกี่ยวกับความยากจน และการก้าวข้ามกับดักความยากจน
“ไม่ใช่ว่าคอลเอาต์เพราะเป็นหน้าที่ดารา แต่เพราะสามัญสำนึกในความเป็นมนุษย์” – Daung นักแสดงพม่า
“ในฐานะสื่อ แน่นอนว่าเราต้องอยู่เคียงข้างประชาชน แล้วเราก็จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ต่อไปว่า ในวันนี้เราได้เลือกยืนอยู่เคียงข้างความถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งอันที่จริงผมว่ามันไม่ใช่อะไรที่เราต้องเลือกด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นจิตสำนึกพื้นฐานของคนอยู่แล้วที่จะต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด และการที่ดารานักแสดงพม่าหลายคนกล้าออกมาคอลเอาต์ก็เป็นเพราะพวกเขามีจิตสำนึกเหล่านี้อยู่แล้ว มันออกมาจากใจข้างใน มันไม่ใช่ว่าคอลเอาต์เพราะเป็นหน้าที่ที่ดาราต้องทำ แต่เป็นเพราะมีสามัญสำนึกในความเป็นมนุษย์ที่ต้องทำเพื่อความถูกต้อง”
101 สนทนากับดาง์ว (Daung) นักแสดงชื่อดังชาวพม่า ถึงความหาญกล้าแสดงจุดยืนต้านรัฐประหารเคียงข้างประชาชน พร้อมย้อนความทรงจำในวงการบันเทิงพม่า ท่ามกลางการเมืองที่ผันแปร
“ตัวผมเองคอลเอาต์เพื่อประชาธิปไตยมานานแล้ว โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งมีการเลือกตั้งใหญ่ หลังจากที่อยู่ภายใต้เผด็จการมายาวนาน ตอนนั้นผมเชิญชวนให้ทุกคนออกมาใช้สิทธิใช้เสียง เพราะการเลือกตั้งครั้งนั้นสำคัญมากจริงๆ เป็นจุดที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยได้ และก็เป็นเพราะผมเชื่อมั่นมาตลอดว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมาจากเสียงของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันหมด แล้วก็ไม่ใช่แค่ในปี 2015 เท่านั้น แต่ผมทำมาตลอด พอมาถึงการเลือกตั้งปี 2020 ผมก็ยังทำแบบเดียวกันอยู่”
“สำหรับผม คนที่เป็นดาราต้องไม่ใช่แค่แสดงให้คนดูหรือสร้างสรรค์ผลงานออกมาเพื่อความบันเทิงของผู้คนเท่านั้น แต่ต้องทำตัวเหมือน ‘เพชร’ ที่ไม่ใช่แค่สวยงาม แต่ต้องมีคุณค่าด้วย คนทั้งประเทศต้องได้รับคุณค่าจากสิ่งที่เราทำหรือสื่อสารออกมา นั่นถึงจะเรียกได้ว่าเราเป็นสื่อที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง”
“ณ ตอนนี้ เราไม่ควรห่วงแค่อาชีพของตัวเองอย่างเดียว แต่เราต้องมองส่วนรวม ในฐานะที่มนุษย์ต้องอยู่ในสังคมร่วมกันกับคนอื่น ถ้าในภาพรวม ประเทศเราไม่ดี ไม่เป็นประชาธิปไตย อาชีพหรือความฝันของเราก็ไม่มีทางไปรอดได้ ถ้าประชาชนไปไม่รอด วงการบันเทิงเราก็ไปไม่รอดเช่นกัน เพราะฉะนั้น การที่เราจะไปรอดได้คือทุกคนในสังคมต้องไปรอดเหมือนกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงต้องก้าวข้ามความกลัวแล้วออกมาต่อสู้ร่วมกัน”
“ผมมองว่าวงการบันเทิงหรือกระทั่งวงการศิลปะได้ถูกทำร้ายไปตั้งแต่ที่กองทัพเข้ามาทำรัฐประหาร มันจบสิ้นแล้ว ศิลปินไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะออกมาสร้างสรรค์ผลงานภายใต้รัฐบาลทหารอีกต่อไป เมื่อประชาชนไม่มีความสุข ศิลปินก็ไม่มีความสุขและไม่มีใจสร้างสรรค์งานไปด้วย เพราะฉะนั้น ผมว่าตราบใดที่ประเทศเรายังไม่เป็นประชาธิปไตย วงการนี้ก็ไม่มีทางอยู่ต่อไปได้แน่นอน”
“อนาคตอย่างเดียวที่ผมมองเห็นในตอนนี้คือการต่อต้านรัฐบาลรัฐประหารชุดนี้ ถ้าถามว่าอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าจะทำอะไร ผมก็ตอบว่าผมจะต่อต้านรัฐประหาร แล้วหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาผมทำอะไร ผมก็ต่อต้านรัฐประหารอยู่เหมือนกัน นี่คือสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ตอนนี้ ถ้าเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมาได้สำเร็จ ผมถึงค่อยกลับมาสร้างสรรค์ผลงานอีกครั้ง ผมคิดแค่นี้เลยในตอนนี้”
ภูมิรัฐศาสตร์เหนือลุ่มน้ำโขง: การแข่งขันของมหาอำนาจ
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี วิเคราะห์การต่อสู้ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่แข่งกันมีอิทธิพลในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
“กล่าวเฉพาะในลุ่มแม่น้ำโขง ถือได้ว่าจีนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสร้างการเชื่อมโยงและขยายอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง จีนมีการค้าและการลงทุนเป็นจำนวนมากในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ประสบความสำเร็จในการส่งออกเทคโนโลยีระบบรางให้กับลาวและไทย มีความสัมพันธ์ทางทหารและขายยุทโธปกรณ์ให้กับไทย พม่า และกัมพูชา และในทางกลับกันประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เช่น พม่า ไทย และกัมพูชา มีจีนเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับหนึ่ง”
“อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาต่างๆ ของจีนในลุ่มแม่น้ำโขงสร้างปัญหาให้ประเทศที่อยู่ปลายน้ำไม่น้อยเช่นกัน เฉพาะอย่างยิ่งโครงการเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าก่อให้เกิดผลกระทบด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก”
“โครงการของสหรัฐฯ ที่ทำในกรอบความร่วมมือสหรัฐฯ-แม่โขง ในการติดตามข้อมูลน้ำในแม่น้ำโขงที่สร้างความฉุนเฉียวให้กับจีนมากที่สุดคือ Monitoring the quantity of water flowing through the upper Mekong basin under natural (unimpeded) conditions ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาทางด้านภูมิอากาศ Eye on Earth ได้ศึกษาข้อมูลจากดาวเทียมและการวัดระดับน้ำในแม่น้ำโขงระหว่างปี 1992-2019 จนนำไปสู่ข้อสรุปว่า เขื่อนของจีนในแม่น้ำโขงมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้พื้นที่ทางตอนล่างของลุ่มน้ำโขงประสบกับภัยแล้ง”
“เมื่อรายงานออกเผยแพร่ในเดือนเมษายน 2020 สถานทูตจีนในกรุงเทพฯ ออกแถลงการณ์ตอบโต้รายงานดังกล่าวอย่างทันควัน โดยว่ามันถูกเขียนขึ้นด้วยแรงบันดาลใจทางการเมือง มุ่งโจมตีจีนด้วยเจตนาร้าย หนังสือพิมพ์ People’s Daily ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอ้างรายงานของจีนเองว่า เขื่อนมีส่วนในการช่วยขจัดภัยแล้งในแม่น้ำโขงต่างหาก การปะทะกันแบบนี้คงจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ตราบเท่าที่มหาอำนาจทั้งสองยังคงแข่งขันกันสร้างอิทธิพลเหนือลุ่มน้ำโขง”
เมื่อกองทัพ ‘แทรกซึม’ สังคม: มองอำนาจกองทัพ ‘นอกรัฐประหาร’ กับ พวงทอง ภวัครพันธุ์
“ที่ผ่านมา สังคมมักจะเข้าใจเพียงแค่ว่ากองทัพใช้การรัฐประหารเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อให้ชนชั้นนำเก่าและกองทัพเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองเท่านั้น … แต่ที่จริงแล้วระบอบประชาธิปไตยไทยไม่เคยลงหลักปักฐานเลย เพราะกองทัพมีอำนาจแทรกซึมในระบบการเมืองและสังคมตลอดเวลา รวมทั้งในยามที่เขาไม่ได้เป็นรัฐบาลด้วย”
ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สองที่สูญหายหลังอำนาจกองทัพครอบงำสังคมไทย 101 สนทนากับ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือ Infiltrating Society: The Thai Military’s Internal Security Affairs เพื่อเปิดอำนาจกองทัพในส่วนที่ยังซ่อนอยู่ในรัฐไทยอย่างแยบยล
“เราต้องมอง กอ.รมน.ในฐานะเครื่องมือทางการเมืองของรัฐไทยที่มีทหารครอบงำอยู่ ที่เอาไว้รับมือกับกลุ่มคนที่รัฐนิยามว่าเป็นศัตรูหรือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยคุกคามที่เกิดขึ้นภายในสังคมไทย รวมทั้งในฐานะเครื่องมือที่รัฐหวังใช้เพื่อที่จะแทรกซึมเข้าสู่สังคม … กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ องค์กรนี้มีไว้เพื่อให้ชนชั้นนำและกองทัพสามารถควมคุมทิศทางการเมืองและสังคม ซึ่งรวมถึงการควบคุมและปราบปรามประชาชนด้วย …”
“จะเห็นว่าหลังรัฐประหาร 2549 ชนชั้นนำเก่าเลือกกลับไปใช้กลไกเก่า [กอ.รมน.] ที่มีอยู่แล้วและขยายขอบเขตอำนาจโดยออกกฎหมายรับรอง ซึ่งจะเห็นความประจวบเหมาะพอดี คือกองทัพทำรัฐประหาร ผลักดัน พ.ร.บ. ออกมาและให้มีผลบังคับใช้ไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้งปี 2551 นี่ถือว่าเป็นมรดกชิ้นสำคัญของ คมช. และรัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
“กลไกแทรกซึมสังคมของ กอ.รนม. จะถูกใช้ควบคู่และทับซ้อนกับกลไกอื่นๆ ของหน่วยงานรัฐด้วย … ทำหน้าที่หลายอย่างและทำหน้าที่ร่วมกันไปเพื่อแทรกซึมลงไปให้ถึงระดับมวลชนรากหญ้า ทั้งกลไกการปกครองการพัฒนา กลไกการปราบปราม กลไกจิตวิทยาการเมือง กลไกปลูกฝังอุดมการณ์หลักของชาติ ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อการแย่งชิงฐานมวลชนทั้งในเชิงอุดมการณ์และเชิงการจัดตั้ง”
“การปฏิรูปกองทัพต้องเริ่มจากการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองทัพใหม่ว่าภารกิจเกี่ยวกับความมั่นคงมิติไหนบ้างที่ควรหรือไม่ควรอยู่ในมือกองทัพ ดิฉันเสนอว่าต้องนำทหารออกไปจากภารกิจความมั่นคงรูปแบบใหม่ทั้งหมด …
“การเปลี่ยนขอบเขตบทบาทอำนาจหน้าที่ของกองทัพจะนำไปสู่การตัดโครงการ หน่วยงานกิจการพลรือนในกองทัพและงบประมาณจำนวนมหาศาลที่เกี่ยวข้องกับกิจการความมั่นคงภายใน … และเมื่อตัดงบประมาณมหาศาลที่อยู่ในโครงการได้ ก็จะสามารถตัดตำแหน่งนายพลและกำลังพลที่ส่วนใหญ่รับผิดชอบงานความมั่นคงภายใน พอปัญหาความมั่นคงภายในในมือของกองทัพลดขนาดลง ก็จะยุบ กอ.รมน. ได้และให้สภาความมั่นคงแห่งชาติรับผิดชอบกิจการความมั่นคงภายในแทน ก็จะตัดอำนาจการแทรกแซงทางการเมืองและสังคมของกองทัพออกไปได้”
รัฐประหารในโลกเก่า กลไกเข้าสู่อำนาจที่บ่อนทำลายตัวเอง: อ่านประวัติศาสตร์อยุธยาด้วยแว่นเกมออฟโธรนส์
ในวาระใกล้ครบรอบ 15 ปีการรัฐประหาร 2549 ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ พาไปย้อนไปรู้จักรัฐประหารในสมัยอยุธยา ที่มาจากการแย่งชิงอำนาจของชนชั้นนำ
“หากบัลลังก์เหล็กแห่งเวสเทอรอสในเกมออฟโธรนส์จะเป็นเป้าหมายของตระกูลต่างๆ แล้ว เศวตฉัตรแห่งกรุงศรีอยุธยาก็อาจพออุปมาได้ถึงบัลลังก์อันเป็นที่หมายปองของชั้นนำในยุคดังกล่าว
“ในวัฒนธรรมร่วมสมัย การฉายภาพการชิงอำนาจของกษัตริย์อยุธยาอาจผ่านตามาแล้วบ้างจากในหนังสุริโยไท หรือล่าสุดคือละครย้อนยุคที่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อย่างบุพเพสันนิวาส ที่ตอนท้ายเรื่องเล่าถึงการรัฐประหารของพระเพทราชา ฆ่าพระปีย์และคอนสแตนติน ฟอลคอน เรียกได้ว่าการรัฐประหารนั้นแฝงอยู่ในวัฒนธรรมบันเทิงร่วมสมัยไทยแบบที่เราอาจจะไม่ทันรู้ตัว
“ข้อเขียนนี้จะชวนมองชนชั้นนำในฐานะมนุษย์ผู้มีเลือดมีเนื้อ และเป็นนักการเมืองผู้แสวงหาอำนาจภายใต้ความโลภ โกรธ หลงแบบปุถุชน มีการกระทำที่มีทั้งประสบความสำเร็จและความผิดพลาด บนสังเวียนของการชิงอำนาจในโลกการเมืองแบบหนึ่งที่อาจพอเทียบเคียงได้กับซีรีส์ชื่อก้องโลกอย่างเกมออฟโธรนส์ เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่มาสู่ราชธานีที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสยาม นั่นคือ ‘กรุงศรีอยุธยา’”
รัฐที่ไม่ (ต้อง) พัฒนา เพราะใช้งานอาสาเป็นเกราะกำบัง
โดย ฉัตร คำแสง
“ย้อนกลับไปเมื่อปี 2560 โครงการก้าวคนละก้าวได้สร้างปรากฏการณ์ระดับประเทศ พี่ตูน บอดี้สแลมวิ่งจากสุดเขตแดนใต้สู่สูงสุดแดนสยาม เพื่อระดมเงินบริจาคไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล 11 แห่งทั่วประเทศ ในวันนั้น เสียงชื่นชมพี่ตูนในฐานะฮีโร่ของสังคมไทยดังไปทั่วสารทิศ”
“เราต่างหวังว่าความพยายามที่ยิ่งใหญ่ครั้งนั้นจะช่วยแก้ปัญหาให้กับโรงพยาบาลได้ จากการช่วยเหลือเฉพาะจุด การชี้ให้ทุกคนเห็นถึงปัญหาในการบริหารจัดการระบบ และการจุดประกายให้ภาครัฐเริ่มพัฒนาระบบสาธารณสุขอย่างเข้มข้นถึงโครงสร้าง เพื่อไม่ต้องแบมือรอรับบริจาคอีก…แต่วิกฤตโควิด-19 ก็นำพาภาพเดิมๆ กลับมาอีก”
คอลัมน์ Policy Praxis เดือนนี้ ฉัตร คำแสง และเชษฐพันธุ์ ใจเปี่ยม เล่าถึงประเทศไทยที่มักมีเอกชนเข้ามาอาสาจัดการปัญหาแทนรัฐ แต่อีกด้านก็ทำให้ประสิทธิภาพของภาครัฐย่ำแย่ลง
“ที่ประเทศไทยในปัจจุบัน เราเห็นเพจ Facebook หรือกลุ่มจิตอาสาต่างๆ เข้ามามีบทบาทในการช่วยหาเตียงรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เพราะเขาเล็งเห็นว่าสายด่วนของภาครัฐมีคู่สายให้บริการจำนวนน้อย โทรติดยาก แต่ก็เป็นการให้บริการที่ทับซ้อนกันและมีหลายช่องทาง”
“สุดท้ายเมื่อบ้านไหนติดโควิด การปฏิบัติจริงก็คือไปรวบรวมช่องทางต่างๆ ในการหาเตียงและไล่ติดต่อไปในทุกช่องทางเหล่านั้น แม้ว่าจะมีคนรับสายและอาจมีความช่วยเหลือเบื้องต้นมาที่บ้าน แต่ก็ยังคงต้องรอเตียงอยู่ ความลักลั่นก็คือเอกชนเหล่านั้นก็ต้องกลับมาประสานงานกับหน่วยงานรัฐในท้ายที่สุด เพราะเตียงรักษาโควิด-19 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนั้นเป็นบริการของภาครัฐ แทนที่ทุกอย่างจะจบภายในหนึ่งระบบ กลายเป็นว่าจะต้องบริหารงานจากหลายระบบแทน โดยที่ระบบหลังบ้านของรัฐก็ยังเป็นคอขวดอยู่ดี”
“การเข้ามาของเอกชนจึงอาจแก้ปัญหาได้ในเบื้องหน้า แต่ก็ลดความจำเป็นที่รัฐจะต้องพัฒนาตัวเอง ซึ่งยังทำให้ระบบการหาเตียงนี้ไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็นอยู่ดี”
สิ้นสุด Merkelism?: 16 ปี เยอรมนีในมือ ‘อังเกลา แมร์เคิล’
ย่อมเป็นธรรมดาที่ตลอดช่วงระยะเวลา 16 ปีของแมร์เคิลจะมีทั้งขาขึ้นและขาลง ได้รับทั้งดอกไม้และก้อนหิน (แต่ส่วนมากเป็นดอกไม้) แนวทางการเมืองแบบ Merkelism ไม่ได้ประกันทุกสิ่ง แต่ตลอด 16 ปีที่ผ่านมา มรดกทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่แมร์เคิลฝากไว้อย่างแน่นอนคือ เสถียรภาพและการยึดรวมความต่างไว้ไม่ให้แตกสลายในแบบที่ยากจะเลียนแบบ
อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงแกร่งจากพรรคคริสเตียนเดโมแครตได้อำลาตำแหน่งอย่างเป็นทางการ (และตลอดกาล) ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2021 หลังจากครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อเนื่อง 4 วาระ เป็นเวลายาวนานถึง 16 ปีผ่านระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแรง ทนทาน และซับซ้อนมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จนกลายเป็นอีกหนึ่ง ‘ตำนาน’ ที่โลกต้องจารึก
นับตั้งแต่แมร์เคิลเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2005 คลื่นวิกฤตยักษ์ใหญ่หลายลูกกระหน่ำซัดเยอรมนีไม่ยั้ง เริ่มต้นจากวิกฤตการเงินโลกและวิกฤตยูโรโซนปี 2008-2009 ต่อด้วยวิกฤตผู้ลี้ภัยปี 2015 วิกฤตเสรีประชาธิปไตยหันขวาจากการผงาดขึ้นของพรรค AfD ปี 2017 และแน่นอน วิกฤตไวรัสโควิด-19 ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา
แต่กระนั้น แมร์เคิลยังคง ‘ยืนหนึ่ง’ อย่างสงบนิ่งท่ามกลางลมพายุการเมืองที่ปั่นป่วนและผันผวนที่สุดในโลกยุคหนึ่งจนขึ้นชื่อว่าเธอคือ ‘พลังแห่งเสถียรภาพ’ บ้างก็ว่าเป็น ‘ผู้จัดการวิกฤต’ หรือแม้กระทั่ง ‘ผู้นำแห่งโลกเสรี’ ที่พยุงเยอรมนี สหภาพยุโรปและโลกเสรีไว้ไม่ให้แหลกสลายในช่วงเวลาอันยากลำบาก
น่าฉงนว่าเธอทำเช่นนั้นได้อย่างไร สมดั่งฉายาแค่ไหน และเธอเปลี่ยนเยอรมนีไปอย่างไรบ้าง
[ความน่าจะอ่าน] เมื่อโลกซึมเศร้า: มันไม่ใช่ความผิดของคุณ
“‘เมื่อโลกซึมเศร้า’ อธิบายว่าภาวะการซึมเศร้ารวมหมู่อย่างที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนั้นไม่ได้เป็นผลจากความผิดพลาดเชิงปัจเจก แต่เป็นผลลัพธ์จากระบอบทุนนิยมต่างหาก ‘ทุนนิยมยุคปลายมีวิธีการทำให้ผู้คนป่วยอย่างเห็นเด่นชัดเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นวิธีรักษาที่สนใจแค่ระดับส่วนบุคคลอย่างเดียวจึงยังไม่พอ แต่จะต้องทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงสังคมวงกว้าง’
“ฉะนั้นการโทษตัวเอง หรือเฆี่ยนตีตัวเองด้วยมาตรฐานของโลกทุนนิยมนั้นไม่ใช่ทางออก มันกลับจะฝังเราลงไปในหลุมปัญหาให้ลึกขึ้นจนฉุดไม่อยู่ต่างหาก”
ทีปกร วุฒิพิทยามงคล เขียนถึงหนังสือ ‘เมื่อโลกซึมเศร้า: Mark Fisher, โลกสัจนิยมแบบทุน และลัดดาแลนด์’ ผลงานของสรวิศ ชัยนาม 1 ใน 11 Top Highlights ‘ความน่าจะอ่าน 2021’ ว่าด้วยโลกสัจนิยมแบบทุน และชวนตั้งคำถามว่าอาการซึมเศร้ารวมหมู่ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของปัจเจกหรือเรื่องของทุนกันแน่
อย่าประเมินสันติวิธีบวกเกินไป อย่าประเมินความรุนแรงลบเกินไป
สมชาย ปรีชาศิลปกุล ชวนมองการอ่านตำราของนักเรียนกฎหมายไทยที่มักพูดกันว่าต้องทุ่มเทอ่านหนังสือจำนวนมาก โดยเฉพาะในการสอบอัยการหรือผู้พิพากษา แต่การอ่านนั้นมุ่งให้จดจำความหมายและบรรทัดฐานที่ถูกต้อง แต่ไม่ทำให้มีโอกาสฝึกฝนตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อข้อพิพาทต่างๆ
“ตำรากฎหมายเหล่านี้มุ่งให้ผู้เรียนจดจำถึงความหมายและบรรทัดฐานที่ ‘ถูกต้อง’ งานที่นักเรียนกฎหมายต้องอ่านเพื่อให้ผ่านการสอบนั้น หัวใจสำคัญก็คือต้องสามารถอธิบายถึงกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นให้สอดคล้องกับแนวความคิดหลักที่อธิบายกันอยู่”
“การอ่านในแนวทางเช่นนี้จะทำให้นักเรียนกฎหมายไม่ได้มีโอกาสในการฝึกฝนตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อข้อพิพาทต่างๆ การอ่านในลักษณะเช่นนี้ ‘ซ้ำแล้วซ้ำเล่า’ ก็จะมีผลให้ผู้อ่านค่อยๆ สูญเสียทัศนะแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ลงไป จนในที่สุดก็จะกลายเป็นนักอ่านเซื่องๆ คนหนึ่ง”
มองปรากฏการณ์คนสามจังหวัดภาคใต้เชียร์ตาลีบัน: สำนึกร่วมของผู้ถูกกดขี่ การปลดแอก และความหลากหลายในกลุ่มมุสลิม
โดย พิมพ์ชนก พุกสุข
“ปฏิกิริยาต่อการเข้ายึดอำนาจของตาลีบันและการถอนกำลังของกองทัพสหรัฐฯ นั้นหลากหลาย โลกได้เห็นภาพผู้คนหนีออกนอกประเทศ ขึ้นเครื่องบินด้วยความจุเต็มจำนวนเพื่อไปแสวงหาชีวิตยังที่แห่งใหม่ พร้อมกันกับที่มีชาวอัฟกันจำนวนไม่น้อยที่แสดงความยินดีต่อการจากไปของกองทัพสหรัฐฯ อันหมายถึงการได้ปลดแอกตัวเองออกจากการปกครองของประเทศอื่นนานนับ 20 ปี ซึ่งสภาวะอย่างหลังนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นแต่ในกลุ่มชาวอัฟกันที่สนับสนุนตาลีบันเท่านั้น หากแต่อยู่ในแววตา อยู่ในน้ำเสียงของคนมุสลิมในเขตแดนอื่นๆ ทั่วโลก รวมทั้งคนในสามจังหวัดชายแดนใต้จำนวนไม่น้อย”
พิมพ์ชนก พุกสุข สนทนากับอสมา มังกรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และรุสนันท์ เจ๊ะโซ๊ะ อาจารย์คณะภาษาและภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมาลายา มองกระแสเชียร์ตาลีบันในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันสะท้อนสำนึกร่วมของผู้ถูกกดขี่ และความซับซ้อนของการเมืองเรื่องศาสนาในสังคมไทย
“การอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกมา 17 ปี รวมถึง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คนต้องเจอกับการเชิญตัวไปรีดเค้นข้อมูล หรือการซ้อมทรมานต่างๆ ตลอดมา สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นการยากที่จะไปลบล้างความรู้สึกของพวกเขาว่าไม่ได้ถูกกดขี่ เพราะเขาเห็นด้วยตาตัวเองมาโดยตลอด ไม่ใช่แค่จากคำบอกเล่า แล้วคนกลุ่มนี้ก็เชื่อมตัวเองเข้ากับพื้นที่มุสลิมอื่นๆ ทั่วโลกที่มีปัญหา โดยมีโซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญ จึงได้เห็นว่าตัวเองมีประสบการณ์คล้ายคลึงกันกับคนอีกหลายพื้นที่ เช่น กาซ่า-ปาเลสไตน์ อัฟกานิสถาน และมณฑลซินเจียง-จีน และประเทศมุสลิมก็มองเหตุการณ์ของมุสลิมที่ยังถูกกดขี่เหล่านี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่พวกเขาต้องพูดออกไป” – รุสนันท์
“มันเป็นสำนึกร่วมกันในอุดมการณ์ชาตินิยมและความรู้สึกของการเป็นผู้ถูกกดขี่หรือเป็นพลเมืองชั้นสอง พวกเขาอยากเป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่ได้แปลว่าเขาเห็นด้วยกับเหตุการณ์ความรุนแรงทั้งหมด ส่วนตัวไม่คิดว่าพลวัตของสังคมวัฒนธรรมในสามจังหวัดชายแดนใต้จะไปสุดขั้วทางด้านศาสนาอย่างตาลีบัน” – อสมา
“เรื่องนี้เชื่อมโยงกับประเด็นภาพตัวแทน สังเกตว่าการกระทำของมุสลิมบางกลุ่มมักถูกนับเป็นตัวแทนของอิสลามโดยอัตโนมัติ ซึ่งแปลกไปจากศาสนาอื่นมาก… สิ่งที่ตาลีบันกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการไม่ให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ การบังคับผู้ชายให้ไว้หนวดเครายาวๆ หรือการใช้กฎหมายต่างๆ อย่างเข้มงวดมากนั้น ไม่ใช่ว่าคนด่าตาลีบัน แต่ด่าอิสลาม แล้วคนก็ไปมองว่าตาลีบันคือตัวแทนอิสลาม นี่คือสิ่งที่ต้องระวังทั้งสองฝั่ง ฝั่งคนข้างนอกที่มองเข้าไปก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าแต่ละสิ่งเป็นที่อิสลามหรือเป็นที่ตัวบุคคลกันแน่ ขณะที่ฝั่งมุสลิมก็ยิ่งต้องระวัง เพราะคนข้างนอกมักมองเราในฐานะตัวแทน” – รุสนันท์
“มุสลิมบ้านเราอาจต้องจับตามองและถามตัวเองดีๆ ว่าสนับสนุนอะไร เพราะอะไร การที่ตาลีบันเคลมว่าใช้ชารีอะห์ ซึ่งมุสลิมยอมรับว่าเป็นสัจธรรม ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ตาลีบันถูกต้องชอบธรรมสมบูรณ์แบบไปโดยอัตโนมัติ เพราะเราต้องอย่าลืมว่าชารีอะห์กับการปฏิบัติใช้ชารีอะห์นั้นแตกต่างกัน” – อสมา
The King and I(ndonesia): การเสด็จชวาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสชวาถึง 3 ครั้ง โดยการเสด็จชวาครั้งแรกถือเป็นการเสด็จ ‘ต่างประเทศ’ ครั้งแรกของพระองค์ด้วย และแรงบันดาลใจในการพัฒนาสยามให้ทันสมัยก็เป็นผลมาจากการเสด็จชวา ไม่ใช่ยุโรปดังที่หลายคนเข้าใจกัน
อรอนงค์ ทิพย์พิมล เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์การเสด็จประพาสชวา (อินโดนีเซีย) 3 ครั้งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลังจากเสด็จชวามีการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปสยามครั้งใหญ่ เช่นในปี 2415 สองปีหลังจากกลับจากเสด็จชวาครั้งแรก ได้มีการปรับปรุงการทหาร สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษขึ้น และการปฏิรูปการบริหารบ้านเมืองอื่นๆ ในสยามให้ทันสมัย ตลอดจนการก่อสร้างอาคารตึกแถว และถนนหนทางต่างๆ ซึ่งคาดว่ามาจากการที่ทรงได้ไปเห็นการบริหารงานการปกครองที่ฮอลันดาใช้ในปัตตาเวีย
หลังการเสด็จชวาครั้งแรก ด้วยทรงรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรัฐบาลอาณานิคมฮอลันดา รัชกาลที่ 5 จึงทรงส่งรูปปั้นช้างสำริดมอบให้เป็นของขวัญแก่ปัตตาเวีย ในปัจจุบัน รูปปั้นดังกล่าวตั้งอยู่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ณ กรุงจาการ์ตา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงมีชื่อเล่นว่า ‘พิพิธภัณฑ์ช้าง’ ในทางกลับกัน รัชกาลที่ 5 ก็ทรงได้รับ ‘ของขวัญ’ จากการเสด็จชวากลับมาสยามเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าเรื่องการแลกเปลี่ยน ‘ของขวัญ’ ระหว่างราชาจากสยามกับเจ้าอาณานิคมฮอลันดาจะเป็นความเจ็บปวดในใจลึกๆ ของชาวอินโดนีเซียที่ความรู้สึกว่าสูญเสียโบราณวัตถุของ ‘ชาติ’ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม อาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่าการแลกเปลี่ยนนั้นถูกกระทำในช่วงเวลาที่ชาวพื้นเมืองอินโดนีเซียถูกปกครองโดยเจ้าอาณานิคมดัตช์ พวกเขาไม่ได้มีสิทธิมีเสียง ไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับอินโดนีเซีย”
15 ปี 19 กันยา: ย้อนเปิดบันทึก ‘ปิยบุตร’ เคยอ่านการเมืองไทยไว้อย่างไร หลังรัฐประหาร 49
โดย กองบรรณาธิการ
15 ปีเต็มที่การเมืองไทยไร้รัฐประหารนับจาก รสช. 23 กุมภาพันธ์ 2534 จนหลายคนคิดว่าการรัฐประหารไม่มีวันหวนกลับคืนสู่สังคมไทยอีกแล้ว … รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็เกิดขึ้น!
15 ปีผ่านไป จาก 2549 ถึง 2564 สังคมไทยก็ยังอยู่ภายใต้มรดกคณะรัฐประหาร จาก คมช. สู่ คสช. บางมิติพันลึกขึ้นเรื่อยๆ บางมิติก็สว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีการเลือกตั้งในปี 2562 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ก็ยากที่จะกล่าวถึงประเทศไทยในตอนนี้ว่าอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ บางคนอาจกล่าวกระทั่งไม่แน่ใจว่าใช่ ‘ประชาธิปไตย’ หรือไม่ด้วยซ้ำไป
ในวาระครบรอบ 15 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 101 เปิดกรุต้นฉบับเก่า ชวนย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ ว่าด้วยทหาร-รัฐประหาร-ประชาธิปไตยไทย ในฐานะบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคปลายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ต่อยุคต้นรัฐบาล คมช.
งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในเว็บไซต์โอเพ่นออนไลน์ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2549 (สัมภาษณ์โดยกองบรรณาธิการประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังรัฐประหาร) ขณะนั้น ‘ปิยบุตร’ ในวัย 27 ปี เป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอยู่ระหว่างการลาศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่ประเทศฝรั่งเศส
“ผมเสียดายที่สุดคือ ค่านิยมทหารไม่ยุ่งการเมือง ทหารไม่ยึดอำนาจ ที่สังคมไทยช่วยกันฟูมฟักมา 15 ปี มาวันนี้หายไปหมด ตลอด 15 ปี บางช่วงก็พอมีข่าวมาบ้างว่าทหารจะออกมา แต่เราก็ช่วยกันสร้างค่านิยมนี้จนทหารเป็นทหารอาชีพมากขึ้น รัฐประหาร 19 กันยา ทำเอาค่านิยมนี้ไร้ความหมายไปเลย หมายความว่าต่อไปอีก 3 ปี 5 ปี หากเราไม่พอใจรัฐบาล หากทหารเกิดขัดแย้งกับรัฐบาล ก็อาจมีรัฐประหารอีก เพราะครั้งล่าสุดเพิ่งผ่านไปไม่นาน รัฐบาลต่อไปก็ต้องพึ่งกองทัพ ต้องประนีประนอมกับกองทัพ คงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะฟื้นฟูให้ค่านิยมทหารไม่ยุ่งการเมืองกลับมาปักหลักได้อีก”
“ผลจากรัฐประหารครั้งนี้ ถามว่าคู่กรณีที่ทะเลาะกันมาปีกว่าๆ ใครชนะ ผมว่าแพ้หมด ทักษิณแพ้ พันธมิตรแพ้ ฝ่ายค้านแพ้ ที่สำคัญสังคมไทยแพ้ ผมคิดว่าสังคมสมัยใหม่เราหนีความขัดแย้งไปไม่พ้น วิธีการจัดการความขัดแย้งมีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีใช้กำลังหรือกดปุ่มรีเซ็ต สังคมไทยควรโตพอที่จะเรียนรู้กันเสียทีว่ารัฐประหารไม่ใช่ยาวิเศษที่รักษาโรคร้ายให้หายขาดในเร็ววัน จะอัศวินม้าขาว จะอัศวินควายดำ จะอัศวินเสื้อเขียว เสื้อเหลือง ไม่มีจริงทั้งนั้น”
ประชาธิปไตยไร้รัฐ: ณ ที่นี้ ประชาชนออกคำสั่งและรัฐบาลเชื่อฟัง
โดย วริษา สุขกำเนิด
วริษา สุขกำเนิด ชวนทำความเข้าใจ ‘สังคมประชาธิปไตยไร้รัฐ’ ผ่านการพูดคุยกับ ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลผู้สนใจศึกษาแนวคิดอนาธิปไตย และเฮวาล ทาคุชิน สมาชิกฝ่ายการทูตจากเขตปกครองตนเอง AANES หรือ ‘โรจาวา’ สังคมไร้รัฐในปัจจุบัน
“ประชาธิปไตยแบบไร้รัฐนั้นเป็นไปได้ มีมาแล้วและมีอยู่ในตอนนี้ เช่น ซาปาติสตาในเม็กซิโก โรจาวาในซีเรีย เพียงแต่กระบวนการตัดสินใจจะมีหน้าตาแตกต่างจากกระบวนการประชาธิปไตยที่เราคุ้นเคยกัน ดังนั้น เราอาจต้องเริ่มต้นด้วยการรื้อสร้างนิยามของ ‘ประชาธิปไตย’ เสียก่อน”
“หากคิดว่าเมื่อไม่มีรัฐแล้วมนุษย์จะแก่งแย่งฆ่าฟันกันเอง ป่านนี้มนุษยชาติก็คงสูญพันธุ์ไปตั้งแต่หลายหมื่นปีที่แล้ว” – ภัควดี วีระภาสพงษ์
“ใน AANES ทุกคนในเมืองรู้จักกันหมด แม้แต่คนที่ปกครองเมืองก็เป็นเพื่อนกับแทบทุกคนที่อยู่ในเมือง และด้วยชีวิตของคนโรจาวาไม่ใช่ชีวิตที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าทำงานและกลับบ้านตอนเย็นจนไม่มีเวลาได้พูดคุยกับใคร ผู้คนในเมืองนี้จึงพูดคุยกันตลอดเวลา”
“ไม่มีการแบ่งแยกทางสังคมระหว่างชนชั้นปกครองและคนธรรมดา เพราะความเป็นเพื่อนเหนียวแน่นกว่าชนชั้น และความเป็นเพื่อนนำไปสู่การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และนี่คือสิ่งประชาธิปไตยแบบล่างขึ้นบนที่ควรจะเป็น”
“โอชาลัน อดีตผู้นำการปฏิวัติของโรจาวาบอกว่า ‘ความเป็นชาติสร้างปัญหามากกว่าศาสนาดั้งเดิมเสียอีก’ วิธีคิดเช่นนี้คือการมองว่าความเป็นชาติเปรียบเสมือน ‘ศาสนาสมัยใหม่’ รัฐชาติและแนวคิดชาตินิยมทำให้เกิดการเข่นฆ่าและกระทำความรุนแรงต่อชาติพันธุ์กลุ่มน้อย ดังนั้นผมจึงไม่ต้องการรัฐชาติ”- เฮวาล ทาคุชิน
ซ้าย Accelertationism และงูของ Nick Land
คอลัมน์ ‘ช่วยด้วยเพื่อนฉันเป็นฝ่ายซ้าย’ ตอนใหม่ พลอยใจ ปิ่นตบแต่ง เขียนถึง เจมส์ เพื่อนผู้วิพากษ์ผับนายทุนว่า “ไร้จิตวิญญาณ” และฝ่ายซ้ายสาย accelertationist ผู้สนใจงานของ Nick Land นักปรัชญาสุดเพี้ยนที่ ‘เลื้อย’ ขึ้นเวทีประชุมนานาชาติและเขียนงานชื่นชมรัฐบาลจีนที่ประสบความสำเร็จในการผนวกรวมอุดมการณ์แบบมาร์กซิสม์เข้ากับระบอบทุนนิยม
“เจมส์อธิบายให้ฟังว่าผับในอังกฤษส่วนใหญ่ตอนนี้เป็นผับแบบ Wetherspoons กล่าวคือมีบริษัทใหญ่เป็นเจ้าของและเพียงแต่ขยายสาขากระจายไปตาม high street ของแต่ละเมือง ทางตอนใต้ของอังกฤษนั้นมีบริษัท brewery ซึ่งเป็นเจ้าของเบียร์แบรนด์ใหญ่ๆ และที่ดินก็จะขาย franchise ผับให้ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจร้านอาหารโดยมีข้อแม้ว่าต้องขายเครื่องดื่มของบริษัทเท่านั้น … เจมส์ทำตาโตพร้อมป้องปากกระซิบดังๆ ว่า “Wetherspoons ไม่มีจิตวิญญาณ รู้สึกได้ใช่ไหม”
“เจมส์ใช้งานของนักปรัชญาหลายคนในโปรเจ็กต์ของเขาแต่คนที่เขาพูดถึงบ่อยที่สุดคือนิก แลนด์ (Nick Land) เพราะเป็นสมาชิกของ CCRU ที่ ‘เพี้ยน’ ที่สุด เจมส์บอกว่าเหตุผลที่เขาพูดถึงแลนด์บ่อยที่สุดนั้นเป็นเพราะพวกเราชาว Hive จะได้จำได้ว่าเส้นที่กั้นระหว่างความบ้าและหมกมุ่นทางวิชาการนั้นบางกว่าที่คิด”
“ต่างจากฟิชเชอร์ซึ่งมองว่าอาจยังพอมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แม้พัฒนาการของเทคโนโลยีสร้างสิ่งที่ฟิชเชอร์เรียกว่าสัจนิยมแบบทุนนิยม (Capitalist Realism) ซึ่งทำให้เราไม่สามารถจินตนาการการเมืองแบบอื่นนอกเหนือไปจากเสรีนิยม-ทุนนิยมได้ แลนด์เห็นว่าปัญหาของพวก left-accelerationist แบบฟิชเชอร์และเจมส์คือมองไม่เห็นว่าเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนตัวเองได้ (Self-propelling technology) นั้นเป็นเนื้อเดียวกันกับระบอบทุนนิยมอย่างแยกไม่ออก นี่คือเหตุผลที่ปัจจุบันแลนด์เขียนงานชื่นชมรัฐบาลจีนและจีนยุคใหม่ในฐานะรัฐที่ประสบความสำเร็จในการผนวกรวมอุดมการณ์แบบมาร์กซิสม์เข้ากับระบอบทุนนิยม”
“แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่เพี้ยนที่สุดของแลนด์”
“เจมส์เล่าต่อไปว่ากลุ่ม CCRU เคยเป็นที่เกลียดชังของภาคปรัชญาที่วอร์ริกมากไม่ใช่แค่เพราะพวกเขา ‘วิจัย’ เกี่ยวกับเรื่องแปลกๆ เช่น วัฒนธรรม cyberpunk และดนตรี jungle แต่เพราะแลนด์เคยย้ายเข้าไปอยู่ในห้องศูนย์วิจัยและตากกางเกงในบนเครื่องทำความร้อนคณะ แม้ว่าตามบันทึกทางการของมหาวิทยาลัยจะระบุว่าแลนด์ลาออก แต่เจมส์บอกว่าเขารู้จักอาจารย์ที่เคยเรียนกับแลนด์และบอกว่าเหตุผลจริงๆ เกิดจากการที่แลนด์ ‘เลื้อย’ ขึ้นเวทีประชุมนานาชาติ”
โดย โตมร ศุขปรีชา
กระดูกของดันเต้: ว่าด้วยอำนาจวรรณกรรม – จากสันตะปาปาถึงมุสโสลินี
คอลัมน์ ‘The Scythe’ สัปดาห์นี้ โตมร ศุขปรีชา เขียนถึง ดันเต้ กวีชื่อดังชาวอิตาเลียนเจ้าของมหากาพย์ Divine Comedy ผู้มีชะตาชีวิตหลังความตายอันแปลกประหลาด เพราะเถ้ากระดูกของเขาถูกช่วงชิง ฝังแล้วขุด ขุดแล้วฝังอยู่หลายครั้งตลอดหลายร้อยปี เพราะ ‘อำนาจวรรณกรรม’ ที่เขาเขียนขึ้นเองกับมือ
ม็อบหนุ่มสาว อนาคตประเทศไทย และกรอบรูป
แม้ว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายถึงความล้มเหลวของรัฐบาลด้วยข้อมูลมากมายเพียงไร แม้ว่าประชาชนจะออกมาประท้วงเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร แต่รัฐบาลนี้ก็ไม่ไหวติง มีเพียงความขัดแย้งภายในพรรคที่ปรากฏ
อายุษ ประทีป ณ ถลาง เขียนถึงสภาพน่าเศร้าใจของบ้านเมืองที่ไม่เคยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ตกอยู่ในวังวนเผด็จการทหารและทุจริตคอร์รัปชันที่นำความเสื่อมถอยมาให้แก่บ้านเมือง
รายการและคลิปวิดีโอยอดนิยม เดือนกันยายน 2564
101 POSTSCRIPT คุยข่าวนอกสคริปต์ กับ วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์
101 POSTSCRIPT คุยข่าวนอกสคริปต์ กับ วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ : EP.1 จัดกระดานการเมืองใหม่ จากรัฐประหาร 2549 ถึงเลือกตั้ง 2565?
โดย กองบรรณาธิการ
– ครบรอบ 15 ปี รัฐประหาร 2549 เมื่อทหารล้มกระดานแล้วไม่ปล่อยมือออกจากการเมืองไทย
– ผลสะเทือนเกมอภิปรายไม่ไว้วางใจสร้างรอยร้าวในพรรคพลังประชารัฐ นำไปสู่สัญญาณการปรับ ครม. และการจัดทัพใหม่ของ พปชร.
– เปลี่ยนกติกาแก้รัฐธรรมนูญ เดินหน้าเลือกตั้งบัตรสองใบ ฤดูโยกย้ายนักการเมืองพรรคเล็กซบพรรคใหญ่ ส่อแววเลือกตั้ง 2565?
ร่วมล้อมวงคุย โดย วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ สื่อมวลชนอิสระ, สมคิด พุทธศรี บรรณาธิการบริหาร The101.world และภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์ กองบรรณาธิการ The101.world
101 POSTSCRIPT คุยข่าวนอกสคริปต์ กับ วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ EP.2 สัมพันธ์ร้าว 3 ป.?
โดย กองบรรณาธิการ
– 2 ป. ลงพื้นที่วัดพลัง 55 ส.ส.พลังประชารัฐแห่รับป้อมชื่นมื่น ตู่เหงา สัญญาณเขย่าพรรค ส่งซิกสู่เลือกตั้ง
– การลงพื้นที่สำคัญอย่างไรในทางการเมือง มองท่วงทีการจัดการความสัมพันธ์ทางอำนาจแต่ละยุค-วิเคราะห์ลีลาแต่ละพรรคการเมือง
ร่วมล้อมวงคุย โดย วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ สื่อมวลชนอิสระ, สมคิด พุทธศรี บรรณาธิการบริหาร The101.world และภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์ กองบรรณาธิการ The101.world
101 POSTSCRIPT คุยข่าวนอกสคริปต์ กับ วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ EP.3 การเมืองเรื่องน้ำและสายธารของรัฐราชการไทย
โดย กองบรรณาธิการ
– การเมืองเรื่องน้ำ เมื่อน้ำไม่ได้ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แต่ผันไปจากที่มีอำนาจสูงไปที่มีอำนาจต่ำ
– ทบทวน 10 ปีน้ำท่วม 2554 กับแผนจัดการน้ำที่ไปไม่ถึง
– 30 ก.ย. เกษียณอายุข้าราชการ สำรวจเส้นทางหลังเกษียณของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในรัฐราชการแบบไทย
ร่วมล้อมวงคุย โดย วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ สื่อมวลชนอิสระ, สมคิด พุทธศรี บรรณาธิการบริหาร The101.world และภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์ กองบรรณาธิการ The101.world
101 Gaze Ep.5 “หรือเรากำลังอยู่ใน ‘ดิสโทเปีย’ ?
โดย กองบรรณาธิการ
คุณมองเห็นภาพอะไรเมื่อนึกถึงประเทศไทยในปีที่ผ่านมา
ก. ผู้คนมากมายเจ็บป่วยและล้มตายเพราะโรคระบาด
ข. ผู้คนต้องทรมานและดิ้นรนทุกวิถีทางเพราะพิษเศรษฐกิจ
ค. ผู้คนถูกรัฐบาลสอดส่องและควบคุมแบบ (เกือบ) เบ็ดเสร็จ
ง. ถูกทุกข้อ
ไม่ว่าคุณจะเลือกข้อไหน ทุกคำตอบช่างตรงกับลักษณะของนวนิยาย ‘ดิสโทเปีย’ หรือเรื่องราวของสังคมอันไม่พึงปรารถนา ที่สร้างความทุกข์ระทม หดหู่ และสิ้นหวังให้กับผู้คน ในแบบที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นจริง
แต่ ณ เวลานี้ สังคมไม่พึงปรารถนาที่ว่าอาจไม่ได้อยู่แค่บนหน้ากระดาษอีกต่อไป
101 Gaze ชวนสำรวจสังคมไทยในวิกฤตโรคระบาดและการเมือง เราสอบผ่านความเป็นดิสโทเปียหรือไม่ และความหวังของผู้คนในห้วงเวลามืดมนนี้จะส่องประกายอย่างไร หาคำตอบไปกับ ผศ.ดร.คารินา โชติรวี อดีตอาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา
“เรามาไกลเกินกลับไปนับหนึ่ง” ม็อบ 3 กันยาฯ ราชประสงค์
โดย กองบรรณาธิการ
3 กันยายน 2564 ที่แยกราชประสงค์ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ร่วมกับ กลุ่มทะลุฟ้า นัดชุมนุม ‘#ม็อบ3กันยา ราษฎรไม่ไว้วางใจมึง’ โดยแกนหลักสำคัญคือการย้ำหลักสันติวิธีในการต่อสู้ เพราะหลักสันติวิธีจะช่วยรักษาความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวและลดทอนการใช้ความรุนแรงจากภาครัฐ อีกทั้งยังคงย้ำถึงความหวังของประชาชนในการต่อสู้ ที่ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงในภายภาคหน้า ก็ขอให้ยืนหยัดสู้กันต่อ
“ต่อให้วันพรุ่งนี้ ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะยังไม่ออกไป แต่เราจะต้องสู้ต่อไป จัดการกับเหล่านายทุน ขุนศึกและศักดินาที่คอยค้ำจุนประยุทธ์ จันทร์โอชาอยู่ เรามาไกลเกินกว่าจะนับหนึ่งใหม่แล้ว” เบนจา อะปัญ แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ กล่าวระหว่างปราศรัย
(แก๊ส)น้ำตาในชุมชน : คำถามจากชาวดินแดงที่ยังไม่มีใครตอบ
โดย กองบรรณาธิการ
ช่วงเวลาบ่าย ณ บริเวณย่านดินแดง เงียบเหงากว่าที่เคย ชนิดที่ว่าหากไร้ร่องรอยเศษซากพลุไฟ ปลอกกระสุนแก๊สน้ำตา ความเสียหายตามบ้านเรือน และความเจ็บปวดที่สะท้อนผ่านแววตาของชาวบ้านย่านดินแดง คงยากที่จะเชื่อว่าค่ำคืนที่ผ่านมาพื้นที่แห่งนี้เพิ่งจะประสบกับการเป็น ‘พื้นที่ปะทะ’ ระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) กับกลุ่มผู้ชุมนุมอิสระ
เป็นระยะเวลากว่า 1 เดือนเต็มที่พื้นที่บริเวณดินแดงถูกบังคับเปลี่ยนสถานะชั่วคราว จากย่านที่อยู่อาศัยกลายมาเป็นพื้นที่เสี่ยงในการปะทะและการสลายการชุมนุม ส่งผลให้ชาวบ้านกว่าหลายร้อยชีวิตต้องแบกรับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ล่าสุดมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ตั้งโต๊ะรับเรื่องราวร้องทุกข์จากชาวดินแดงที่ได้รับผลกระทบ เพื่อนำข้อมูลไปยื่นต่อกรมคุ้มครองสิทธิฯ กระทรวงยุติธรรม ให้เข้ามาดูแลชดเชยผู้ได้รับความเสียหายจากการปะทะและการสลายการชุมนุม แต่ก็ต้องผ่านขั้นตอนสำรวจและประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นเสียก่อน จึงจะสามารถพิจารณามาตรการเยียวยาต่อไปได้
พลอย เจ้าของร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ใต้แฟลตดินแดง 1 คือหนึ่งตัวอย่างของผู้ได้รับผลกระทบ แม้ตัวเธอเองจะเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ต้องสลายการชุมนุม แต่ก็เกิดคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องปฏิบัติการรุนแรงถึงขนาดนี้ พลอยยังสะท้อนอีกว่า ทุกครั้งที่มีปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ คฝ. ไม่เคยลงมาสื่อสารกับชุมชนว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร หรือมีข้อควรระวังอะไรบ้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและดำเนินไปอย่างไร้การรับฟังความเห็นจากชุมชน
สิ่งที่หลงเหลือไว้ให้พลอยหลังจากการสลายการชุมนุมในทุกค่ำคืน จึงมีเพียงร่องรอยความเสียหายภายในร้านและความกังวลที่ก่อขึ้นภายในจิตใจของเธอ เช่นเดียวกับอีกหลายครอบครัวในชุมชนย่านดินแดงที่เกิดคำถามว่า ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ?
ในวันที่การเรียนออนไลน์ไม่ใช่ทางออกของการศึกษาไทย
โดย กองบรรณาธิการ
นักเรียนไทยต้องหยุดเรียนเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 มากว่าร่วมปี โดยมีการเรียนออนไลน์เป็นความหวังว่า นักเรียนจะยังคงได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แม้ในวันที่การปฏิสัมพันธ์แบบออฟไลน์เป็นเรื่องยากลำบาก
ทว่าระบบการเรียนออนไลน์ก็ไม่อาจตอบโจทย์การเรียนรู้ได้ทั้งหมด ยิ่งภาครัฐล้มเหลวในการบริหารจัดการ ดอกผลของการเรียนออนไลน์ยิ่งจำกัด อีกทั้งยังสร้างปัญหาใหม่ๆ ตามมาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น การเข้าไม่ถึงระบบการเรียนออนไลน์อย่างทั่วถึง สภาวะเครียดของเด็กและครูที่ต้องอยู่บนหน้าจอกว่าวันละ 8 ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การเรียนรู้ของนักเรียนไทยจะถดถอย และครูก็ไม่ได้มีความสุขมากนักกับการทำงาน
ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่ม ‘นักเรียนเลว’ ได้จัดแคมเปญ “Strike! หยุดเรียน #ไม่เรียนออนไลน์เเล้วอิสัส” เพื่อส่งเสียงไปยัง ‘ผู้ใหญ่’ ให้ลงมาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง 101 ชวนฟังเสียงของ ‘มิน-ลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ’ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม ‘นักเรียนเลว’ ผู้ริเริ่มแคมเปญประท้วงหยุดเรียนออนไลน์ และชวนฟังเสียง ‘ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล’ ว่าคิดเห็นอย่างไรกับการประท้วงออนไลน์ของนักเรียนที่เกิดขึ้น
ตั้งแต่ ‘เคี้ยว’ ยัน ‘ขาย’ ในวันที่ปลดล็อกเสรี ‘พืชกระท่อม’
โดย กองบรรณาธิการ
ภายหลังจากที่ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2564 และปลดล็อก ‘พืชกระท่อม’ ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ก็ทำให้คนไทยสามารถปลูก เคี้ยว ต้ม หรือซื้อขายพืชชนิดนี้ได้อย่างเสรีและไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป
หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์กว่าที่จะปลดล็อกเสรีพืชกระท่อมพบว่า เป็นเวลากว่า 80 ปีที่สมุนไพรดังกล่าวถูกควบคุมโดยรัฐไทยนับตั้งแต่ปี 2486 เมื่อได้มีการตรา ‘พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. 2486’ ขึ้นโดยระบุว่า ห้ามปลูกและครอบครอง รวมทั้งห้ามจำหน่ายและเสพใบกระท่อม ก่อนที่ในปี 2522 กระท่อมจะถูกขึ้นบัญชีเป็นพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
ถึงแม้จะผิดกฎหมาย แต่กระท่อมก็ไม่ได้หายหน้าหายตาไปจากวิถีชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงานและคนเฒ่าคนแก่ที่ยังคงเคี้ยวใบกระท่อมหรือดื่มน้ำกระท่อม เพื่อเป็นยาชูกำลังให้คึกคักซู่ซ่า สามารถทำงานได้ทนและเยอะมากขึ้น อย่างไรก็ดี กระท่อมไม่ได้ถูกนำไปใช้เป็นยาอย่างเดียว แต่ยังถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับนำไปต้มสารเสพติด 4×100 อีกด้วย และจากการบริโภคที่ผิดวิธีก็ทำให้กระท่อมถูกแปะป้ายว่าเป็น ‘พืชเสพติด’ ประจำสังคมไทยและกลายเป็นภาพจำที่เด่นชัดตลอดมา
ในวันที่กฎหมายเปิดให้ปลูก-เคี้ยว-ขายกระท่อมได้อย่างไม่มีอะไรขวางกั้น ชนิดที่ว่าจากที่เคยเป็น ‘พืชเสพติด’ มาวันนี้กระท่อมถูกวาดฝันให้กลายเป็น ‘พืชเศรษฐกิจใหม่’ ของไทย เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านของสังคมก็ยังคงตั้งคำถามต่อความปลอดภัยและวิธีการนำไปใช้
101 เดินทางไปยังตลาดดินแดงเพื่อทำความรู้จักพืชกระท่อมกับ คิว-กษาปณ์ พุ่มพวง เจ้าของธุรกิจค้าใบกระท่อม ที่หอบเอาใบกระท่อมสดๆ จากภาคใต้หลายร้อยกิโลกรัมมาเปิดขายถึงในใจกลางเมืองหลวง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นธุรกิจค้าขายกระท่อม ภาพจำของการถูกมองว่าเป็นพืชเสพติด และชวนมองถึงอนาคตของตลาดใบกระท่อม เพราะถึงแม้วันนี้จะขายได้ แต่ก็ยังแปรรูปเป็นสินค้าอื่นไม่ได้
เสียงจากผู้ค้า-ผู้ส่งของออนไลน์ เมื่อโรคระบาดทำขนส่งอัมพาต
โดย กองบรรณาธิการ
การระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต จาก ‘ออกนอกบ้าน’ ไปซื้อของ กลายเป็น ‘นั่งอยู่บ้าน’ เพื่อช้อปปิงออนไลน์แทน ธุรกิจขนส่งจึงกลายเป็นที่พึ่งสำคัญต่อทั้งเจ้าของกิจการและผู้บริโภคในภาวะวิกฤตเช่นนี้
กระนั้นนับตั้งแต่เกิดการระบาดและปิดเมืองหลายครั้ง เรากลับได้ยินปัญหาของระบบขนส่งอยู่เนืองๆ เช่น ส่งของล่าช้า สินค้าค้างสต็อก ส่งของไม่ตรงตามสั่ง เป็นต้น โดยไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางส่งของที่ดู ‘ล่องหน’ ก่อนจะถึงมือเรา ต้องเจอปัญหาจุดไหนบ้าง
หลายคนมองว่า การขนส่งสินค้าเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ แต่ยิ่งรัฐบาลแก้ไขสถานการณ์ได้ช้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม แน่นอนว่าภาคขนส่งย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย
101 ชวนฟังเสียงของพนักงานขนส่งและผู้ประกอบการที่พึ่งพาระบบขนส่ง เล่าถึงปัญหาที่พวกเขาเจอในช่วงโควิด และสิ่งที่พวกเขาต้องการให้รัฐช่วยคลี่คลาย ก่อนปัญหาจะบานปลายจนถึงทางตัน
‘ความน่าจะอ่าน 2021 : Final Round’ อ่านอะไรดีในปีแสนสาหัสยิ่งกว่า!
เสวนาออนไลน์ ‘ความน่าจะอ่าน 2021 : Final Round’ อ่านอะไรดีในปีแสนสาหัสยิ่งกว่า!
หลังจากเปิดเผยรายชื่อ ‘ความน่าจะอ่าน 2021’ ที่คัดเลือกโดยคนในวงการหนังสือไปแล้วกว่า 140 เล่ม จากตัวแทนกว่า 60 สำนักพิมพ์ ก็ถึงเวลาตั้งวงเสวนาว่าด้วยการ ‘อ่านอะไรดีในปีแสนสาหัสยิ่งกว่า!’ พร้อมคุยประเด็นจากหนังสือ ‘ในแดนวิปลาส: บันทึกบาดแผลสามัญชนบนโลกคู่ขนาน’ ของรัช ที่ถูกเลือกมาเป็นอันดับหนึ่ง และหนังสือ Top Highlights เล่มอื่นๆ
แวดวงการอ่านเขียนเผชิญความสาหัสอะไรบ้างในปีที่ผ่านมา ทิศทางการอ่านของสังคมเชื่อมโยงกับสภาพสังคมโดยรวมอย่างไรบ้าง รายชื่อหนังสือที่คนในวงการหนังสือและนักอ่านเลือกมาสะท้อนภาพอะไรในสังคม และเราควร ‘อ่าน’ อะไรในห้วงเวลาเช่นนี้
ร่วมเสวนาโดย ไอดา อรุณวงศ์ บรรณาธิการวารสารและสำนักพิมพ์อ่าน, อำนาจ รัตนมณี เจ้าของ ‘ร้านหนังสือเดินทาง’, โตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการ นักเขียน นักแปล, จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์ บรรณาธิการบริหารนิตยสาร a day เจ้าของนามปากกา jirabell
ดำเนินรายการโดย ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย
101 One-on-One Ep.238 มองการเมืองไทยหลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ กับ ชลน่าน ศรีแก้ว
ศึกที่กำลังรายล้อมรัฐบาลตอนนี้สะท้อนออกมาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ควบคู่ไปกับการเมืองบนท้องถนนที่แสดงเจตจำนงให้ประยุทธ์และคณะลาออก
ศึกนอกน่าหวั่นเกรงแล้ว แต่ที่หนักหนากว่าคือศึกภายในพรรคที่ส่งสัญญาณเตือนสะเทือนเอกภาพ
โจทย์ที่ใหญ่กว่าคือการแก้มหาวิกฤตจากโรคระบาดที่ส่งผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า โจทย์ที่สำคัญกว่าคือการรักษาชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน โจทย์การเมืองไทยจะเดินไปอย่างไร ผลของศึกอภิปรายฯ สะท้อนถึงอะไร และหมากต่อไปของฝ่ายค้านเป็นแบบไหน
101 ชวน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย มองการเมืองไทยหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เปิดเผยหลากปมปัญหาอันนำพาสังคมไทยมาสู่จุดวิกฤตในปัจจุบัน
ดำเนินรายการโดย กรรณิการ์ กิจติเวชกุล
101 One-on-One Ep.239 ‘เศรษฐกิจไทยกับทศวรรษที่สองของการสูญหาย’ กับ กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์
1 ทศวรรษหลังรัฐประหาร 2549 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียงปีละ 3.2% เป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในหมู่ประเทศอาเซียน ไม่ต้องพูดถึงว่า การเติบโตดังกล่าวต่ำกว่าเมื่อครั้งที่ไทยยังเป็น ‘ว่าที่เสือตัวที่ 5’ อย่างเทียบไม่ได้ นี่คือ ‘ทศวรรษที่สูญหาย’ ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
หากยังนับรัฐประหาร 2549 เป็นหมุดหมาย เศรษฐกิจไทยกำลังสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเข้าสู่ทศวรรษที่สองของการสูญหาย วิกฤตการณ์เมืองก็ยังไม่คลี่คลาย ไหนจะวิกฤตสุขภาพและวิกฤตเศรษฐกิจที่เข้ามาซ้ำเติม สังคมไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคิดใหม่และปรับใหญ่เรื่องเศรษฐกิจการเมือง
101 ชวน กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ร่วมตีโจทย์เศรษฐกิจไทยเพื่อหาคำตอบว่าเราจะพาเศรษฐกิจหลุดพ้นจากสองทศวรรษแห่งการสูญหายนี้ไปได้อย่างไร
ดำเนินรายการโดย จิรัฐิติ ขันติพะโล
101 One-on-One Ep.240 ทำความเข้าใจม็อบดินแดง มองก้าวต่อไปขบวนการ กับ สมบัติ บุญงามอนงค์
ควันจากแก๊สน้ำตาที่คลุ้งแยกดินแดงอันเกิดจากการสลายการชุมนุมนั้น นอกจากทำให้วิสัยทัศน์ไม่ชัดเจนแล้ว ยังสะท้อนภาวะความเข้าใจของสังคมที่มีต่อการชุมนุมแยกดินแดง
เกิดคำถามจำนวนมากต่อรูปแบบการประท้วงของกลุ่มผู้ชุมนุมอิสระที่มักรวมตัวกันยามเย็นเพื่อไปให้ถึงบ้านพักพล.อ.ประยุทธ์ เกิดคำถามจำนวนมากต่อการรับมือด้วยความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน
ควันไฟ พลุไฟ ประทัดยักษ์ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ลูกแก้ว รถจีโน่ หลากอาวุธที่ถูกหยิบใช้ในการปะทะกันยิ่งทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยในทั้งสองฝ่าย
101 ชวน สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด นักกิจกรรม คุยเพื่อทำความเข้าใจม็อบดินแดง ผู้ชุมนุมกลุ่มนี้มาจากไหน สังคมควรมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร เหตุใดการโต้ตอบของเจ้าหน้าที่จึงออกมาในระดับนี้ และปรากฏการณ์นี้จะนำขบวนการเคลื่อนไหวไปสู่สิ่งใด
ดำเนินรายการโดย วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์
101 One-on-One Ep.241 การเมืองเยอรมนีหลัง Merkelism กับ จันจิรา สมบัติพูนศิริ
อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งเยอรมนี ได้อำลาตำแหน่งอย่างเป็นทางการ (และตลอดกาล) ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2021 หลังจากครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อเนื่อง 4 วาระ เป็นเวลายาวนานถึง 16 ปี
นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2005 แมร์เคิลผ่านวิกฤตใหญ่ระดับโลกมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตซับไพรม์โลกและวิกฤตยูโรโซนปี 2008-2009 ต่อด้วยวิกฤตผู้ลี้ภัยปี 2015 วิกฤตเสรีประชาธิปไตย และวิกฤตสหภาพยุโรปในปี 2016 กระนั้นวิถีทางแบบแมร์เคิล (Merkelism) ก็สามารถนำเยอรมนีผ่านวิกฤตเหล่านี้ได้อย่างมีเสถียรภาพ
ด้วยสถานะของเยอรมนีบนเวทีโลก สื่อตะวันตกถึงกับยกย่องให้แมร์เคิลให้เป็น ‘ราชีนีแห่งยุโรป’ (Queen of Europe) หรือกระทั่งเป็น ‘ผู้นำโลกเสรี’ (Leader of the Free World) ในวันที่สหรัฐอเมริกาถดถอย การลงจากตำแหน่งของแมร์เคิลจึงส่งผลต่อทั้งการเมืองเยอรมนี การเมืองยุโรป และการเมืองโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้
101 ชวน ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิจัยประจำสถาบัน German Institute of Global and Area Studies (GIGA) และสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาวิเคราะห์การเมืองเยอรมนีและการเมืองโลกในยุคหลัง Merkelism
ดำเนินรายการโดย กรรณิการ์ กิจติเวชกุล