20 ผลงานใหม่ ยอดอ่านสูงสุดของ The101.World เดือนกรกฎาคม 2564
เมื่อคนเป่านกหวีดไม่ขอรับผิดชอบกับระบอบประยุทธ์
แม้ว่าตอนนี้คนจำนวนมากที่เคยเข้าร่วม กปปส. จะออกมา ‘สารภาพบาป’ และขอโทษต่อสาธารณะถึงสิ่งที่เคยทำ แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่ไม่ตระหนักว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสียหายที่เกิดจากการบริหารของประยุทธ์ จันทร์โอชา
สมชาย ปรีชาศิลปกุล ตอบคำถามที่ว่า เหตุใดผู้ที่เคยร่วมเป่านกหวีดล้มประชาธิปไตยจึงต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้
“แน่นอนว่าการปูทางให้เกิดการรัฐประหารอาจไม่สามารถชี้ชัดว่าใครจะมาเป็นผู้นำในภายหลัง ดังนั้น จึงย่อมเป็นการถูกต้องที่บรรดาผู้นำหรือผู้เข้าร่วมการเป่านกหวีดจะบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนเลือกให้ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นผู้นำ”
“แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเข้าร่วมกับขบวนการที่มุ่งล้มล้างระบอบประชาธิปไตยก็คือเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้คณะรัฐประหารอันมี พล.อ.ประยุทธ์ ได้ปรากฏตัวขึ้นมาในการเมือง ก่อนที่จะนำความหายนะอย่างไพศาลมาสู่สังคมไทยดังที่ตำตากันอยู่ในปัจจุบัน”
“เราคงไม่อาจไปบีบบังคับให้ใครต้องสำนึกในสิ่งที่เขาไม่รู้สึกว่าเป็นความผิด แต่เช่นเดียวกันเราก็ย่อมมีสิทธิที่จะ ‘รำลึกถึงคืนวันอันหอมหวาน’ ของพวกเขาเพื่อตอกย้ำถึงบทบาทของกลุ่มคนเหล่านี้ได้เช่นกัน”
Exclusive เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ:
คำตอบในสายลมแห่ง ‘หน้าที่’ ผู้ว่าแบงก์ชาติ กลางพายุมหาวิกฤต
โดย กองบรรณาธิการ
101: คุณเคยเปรียบเทียบว่า ในทีมฟุตบอล แบงก์ชาติเปรียบเหมือนกองหลัง มีหน้าที่สร้างสภาพแวดล้อมให้ประเทศลุยไปข้างหน้าได้
เศรษฐพุฒิ: ใช่ ถึงกองหน้าจะเก่งแค่ไหน ถ้ากองหลังทำหน้าที่ไม่ดี ปล่อยให้เขายิงประตู เราก็แพ้ได้
101: ทีนี้เกมสมัยใหม่ก็เปลี่ยนไป เราอาจต้องการกองหลังแบบใหม่ที่เท่าทันยุคสมัยมากขึ้น แบงก์ชาติควรพัฒนาตัวเองให้เป็นกองหลังแนวไหนในโลกยุคใหม่
เศรษฐพุฒิ: เวลาลงสนาม เราจัดทีมได้หลายแบบนะ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และคู่แข่ง บางทีเล่นกองหลังสามตัวแล้วมีวิงแบ็ก บางครั้งจับกองหลังยืนสี่ตัว โดยรวมผมว่าเรามีกองหลังที่ค่อนข้างเหนียวนะ เล่นได้รัดกุมดี แต่ในแง่ความเป็นทีม ยังยิงประตูไม่ค่อยเก่ง
สำหรับประเทศไทย การรักษาเสถียรภาพอยู่ในดีเอ็นเอของเราแล้ว โอกาสเกิดวิกฤตเศรษฐกิจดิ่งลงมีไม่มาก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตดุลบัญชีชำระเงิน อัตราแลกเปลี่ยน หรือระบบธนาคาร แต่ปัญหาของเราคือฝั่งการเติบโตขาขึ้นมากกว่า เราโตช้า เหมือนหุ้นปันผลมากกว่าหุ้นเติบโตเร็ว
กองหลังแบบแบงก์ชาติอาจจะต้องขึ้นไปทำเกมตรงกลางสนามบ้างบางจังหวะ เน้นช่วยให้ทีมเล่นเกมรุกได้ดีขึ้นมากกว่าจะคอยยืนป้องกันประตูอย่างเดียว แต่จะให้ถึงกับพลิกบทบาทไปยืนหน้าประตูฝั่งตรงข้าม ทำตัวเป็นกองหน้า ก็คงไม่ขนาดนั้น
พลันที่ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยลำดับที่ 23 ประกาศเจตนารมณ์ว่าไม่ประสงค์จะรับตำแหน่งต่อเมื่อครบวาระในเดือนกันยายน 2563 ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่วังบางขุนพรหม – ด้วยความวิตกกังวล
ในช่วงเวลานั้น แม้ประเทศไทยจะได้รับการชื่นชมว่าสามารถรับมือกับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ระลอกแรกได้ดี หากวัดกันที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต แต่ก็ต้องแลกมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักหน่วงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ในสถานการณ์เช่นนี้ สังคมเศรษฐกิจไทยต้องการขุนพลเศรษฐกิจชั้นเยี่ยม – มือถึง
ชื่อของ “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” นักเศรษฐศาสตร์แถวหน้าของเมืองไทยอยู่ในใจของใครหลายคน
ต้นปี 2562 ทีม 101 สนทนากับเศรษฐพุฒิว่าด้วยโจทย์ท้าทายของเศรษฐกิจโลกและไทย ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนั้น เศรษฐพุฒิแซวตัวเองหลายครั้งว่าตัวจริงของเขาไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็น ‘เนิร์ดเศรษฐศาสตร์’
เวลาผ่านไป 2 ปี เศรษฐกิจโลกและไทยสับสนผันผวนกว่าเดิมมาก 101 ชวน ‘เนิร์ดเศรษฐศาสตร์’ คนเดิมกลับมาพูดคุยอีกครั้ง คราวนี้มาในหมวกใบใหม่ที่ใหญ่และยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว นั่นคือ ‘ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย’ – ใช่! ในที่สุด เขาตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการสรรหาหลังจากปราศจากชื่อของเขาลงสมัครในรอบแรก เป็นการยื่นใบสมัครในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของวันสุดท้ายในรอบขยายเวลา
ตลอด 3 ชั่วโมงครึ่งของการสนทนาตามประสา ‘เนิร์ดเศรษฐศาสตร์’ ด้วยกัน เราพูดคุยตั้งแต่เบื้องหลังการตัดสินใจลงสนามชิงตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ เบื้องลึกการทำนโยบายในภาวะวิกฤต การเปลี่ยนวัฒนธรรมเทคโนแครตของ ธปท. เทรนด์ใหญ่ของธนาคารกลางทั่วโลก และการตั้งหลักใหม่ของประเทศไทยแห่งอนาคต
8 เดือนของ ดร.เศรษฐพุฒิในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ฟังดูเหมือนสั้น แต่กลับเข้มข้นยิ่ง
เราช่วยเหลือตนเองอะไรได้บ้างเมื่อโรงเรียนปิดเกือบตลอดเวลา
อีกหนึ่งปัญหาชวนปวดหัวของผู้ปกครองช่วงโรคระบาดคือ จะทำอย่างไรเมื่อโรงเรียนปิดและลูกๆ ต้องอยู่ที่บ้าน?
นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ แนะนำแนวทางสร้างการเรียนรู้ที่บ้านสำหรับเด็กวัยอนุบาลและประถม เมื่อโรงเรียนจำเป็นต้องปิดยาวนานจนกระทบพัฒนาการเด็ก
“เด็กอายุประมาณ 4-6 ขวบ ช่วงชั้นนี้ชัดเจนว่าไม่ต้องเรียน ใครจะเรียนเราปล่อยเขาเรียนได้ แต่ถ้าบ้านเราทำอะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียน การเรียนหนังสือจริงจังมิใช่เรื่องสำคัญของเด็กวัยนี้ เรื่องสำคัญเป็นประเด็นพัฒนาการเตรียมความพร้อมหลายสิบประการที่เด็กๆ จำเป็นต้องพัฒนา”
“เด็กอนุบาลไม่จำเป็นต้องเรียนออนไลน์เลย สมมติจะเรียนก็ไม่ควรมากเกินไปเพราะไม่มีประโยชน์อะไร หากพวกเขามีความสุข พวกเขาจะขวนขวายอ่าน เขียน เรียนเลขด้วยการละเล่นและด้วยตนเองจนได้”
“วันที่รู้ว่าโดน 112 เหมือนโลกถล่มแผ่นดินทลาย”
ณัฏฐิกา วรธันยวิชญ์ กับชีวิตผู้ลี้ภัยในต่างแดน
โดย วจนา วรรลยางกูร
หลังเข้าเรือนจำ 71 วันจากการทำเพจ ‘เรารักพล.อ.ประยุทธ์’ และคดี ม.112 ณัฏฐิกา วรธันยวิชญ์ เลือกลี้ภัยไปอเมริกา และใช้เวลา 3 ปีกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการยื่นขอลี้ภัย
วจนา วรรลยางกูร คุยกับณัฏฐิกาถึงชีวิตของเธอในวันที่ความทุกข์ผ่านพ้นไปแล้ว บทบันทึกชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งเป็นภาพสะท้อนผลพวงจากการรัฐประหาร 2557 ที่ทำลายชีวิตผู้คนจำนวนมากต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
“เราโดนจับไปค่ายทหารหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นส่งตัวไปที่กองปราบฯ แล้วแจ้งว่าเราโดนคดี 112 ด้วย เหมือนโลกถล่มเพราะตอนนั้น 112 ดูรุนแรงมากเลย เราไม่เคยทำเพจล้มเจ้า ไม่เคยโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์เจ้า”
“เรือนจำเท่ากับความทุกข์…มันเต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วเหมือนเป็นโรคติดต่อ เราต้องพยายามไม่ร้องไห้ เพราะถ้าเราร้องไห้คนอื่นก็จะอยากร้องตาม”
“บางคนป่วยแล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่าอยากไปหาหมอ เขาก็ไม่สนใจ ถ้าไม่ให้ไปก็คือไม่ได้ไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าไม่เหลือความเป็นมนุษย์และความทุกข์นี้ติดตัวออกมาด้วย”
“112 ถูกใช้ทางการเมืองและใช้ฟ้องในคดีที่ไม่สมควรมานานแล้ว แต่ตอนนี้ถูกใช้ด้วยเหตุผลที่ไร้เหตุผลหนักขึ้นและเยอะขึ้น คล้ายเป็นการใช้อำนาจที่ลิดรอนอำนาจตัวเองไปด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้สูญเสียความชอบธรรม”
“คนที่โดน 112 แล้วลี้ภัยออกนอกประเทศ เขาได้สถานะผู้ลี้ภัยทุกคน เพราะต่างชาติไม่ได้มองว่ากฎหมายข้อนี้คือกฎหมายที่ชอบธรรม เป็นแค่เครื่องมือที่ใช้กำจัดฝ่ายตรงข้าม”
“เราต้องมานั่งคิดกันว่ามีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า ถ้ามีก็ต้องหาจุดร่วมเพื่อการอยู่ร่วมกัน ประเทศนี้ไม่ใช่ของใครคนเดียว ประเทศนี้เป็นของทุกคน เราต้องอยู่ร่วมกันให้ได้”
เศรษฐศาสตร์การเมืองไทยในระบอบประยุทธ์ กับ พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
โดย กองบรรณาธิการ
จากวิกฤตสาธารณสุข สู่วิกฤตเศรษฐกิจ ถึงวิกฤตการเมือง สังคมไทยภายใต้ระบอบประยุทธ์กำลังเผชิญความท้าทายที่แหลมคมที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ
ภายใต้มรสุมที่ถาโถม ระบอบประยุทธ์กลับถูกมองว่าไร้น้ำยาและกำลังจะนำพาประเทศไทยไปสู่ภาวะรัฐล้มเหลว
101 ชวน รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมืองของระบอบประยุทธ์ และภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ-การเมืองไทย ในวันที่คนไทยกำลังทุกข์ยากที่สุด
นรกไม่ใช่สถานที่แต่คือผู้คน: สำรวจนรกโชซ็อนของหนุ่มสาวเกาหลี
“สวรรค์อันเป็นนิรันดร์อาจไม่มีอยู่จริง แต่สังคมที่ไม่สามารถหล่อเลี้ยงความหวังของผู้อยู่อาศัยได้นั่นแหละคือนรกที่มีอยู่จริง”
ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันที่ชาวเน็ตไทยเปรียบว่ากำลัง ‘ซ้อมตกนรก’ เพ็ญพิชชา มุ่งงาม ชวนสำรวจ ‘นรกโชซ็อน’ ของหนุ่มสาวเกาหลีใต้ผ่านพัฒนาการทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เหตุใดประเทศที่เป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ของใครหลายๆ คนกลับกลายเป็นนรกของผู้อยู่?
“…จริงที่ว่าชนชั้นยังบันซึ่งเป็นชนชั้นสูงในโชซ็อนไม่หลงเหลืออยู่ แต่เกาหลีก็ได้ยังบันในร่างจำแลงมาในรูปแบบแชโบล กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ขยายธุรกิจครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เป็นผลผลิตของกลไกการพัฒนาของรัฐในทศวรรษ 1960 ที่เน้น ‘โตก่อน กระจายทีหลัง’ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมเกาหลีมาจนถึงทุกวันนี้”
“แชโบลถูกเลือกให้เป็นผู้ชนะตั้งแต่แรกและกลายเป็นกลุ่มที่ผูกขาดความมั่งคั่งของประเทศแบบขาดกันไม่ได้ ซึ่งนั่นทำให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับภาคธุรกิจเริ่มกลับหัวกลับหาง ผลประโยชน์ของแชโบลกลุ่มเดียวมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐที่จะชี้ชะตาคนทั้งประเทศ”
“อีแจยอล อาจารย์ด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลชี้ว่า แม้เกาหลีจะได้รับการยอมรับจากจากนานาประเทศว่ามีความมั่งคั่งร่ำรวย แต่จิตใจของผู้คนจำนวนมากยังยากจน พวกเขามองว่าความสำเร็จเหล่านี้เป็นเรื่องราวของคนอื่น สังคมขาดการสร้างศักดิ์ศรีขึ้นมาร่วมกัน คนตัวเล็กตัวน้อยเป็นเหมือนหนูถีบจักรให้คนตัวใหญ่ออกไปประกาศความสำเร็จ”
“ปัญหาการทุจริต เอื้อประโยชน์ให้กันเองภายในหมู่ชนชั้นนำยังทำให้คนรุ่นใหม่ขาดความเชื่อมั่นในระบบและรัฐบาล พวกเขารู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แตกสลาย ไร้พลังและเป้าหมาย การมีอยู่ของวาทกรรมนรกโชซ็อนจึงเป็นเหมือนอาการของความป่วยไข้ที่ฟ้องออกมาว่าสังคมนี้ต้องพบแพทย์แล้ว”
มองสินมั่นคงผ่านแว่น Risk Management ทำไมไม่ระวังตั้งแต่แรก?
“กรณีประกันโควิด-19 นับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจและเป็นเครื่องเตือนใจชั้นดีสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าที่ซื้อประกัน บริษัทประกัน และสำหรับ คปภ.”
อิสริยะ สัตกุลพิบูลย์ ตั้งคำถามถึงการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยและคปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล จากกรณีสินมั่นคงประกันภัยบอกเลิกประกันโควิด-19
“ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่งและนักวิชาการด้านการจัดการความเสี่ยงและการประกันภัย อยากมาแชร์มุมมองและตั้งข้อสังเกตที่อาจจะเป็นคำถามไปยังบริษัทประกันภัย คปภ. ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิชาประกันภัยในอนาคต ดังนี้ครับ”
“ประเด็นแรก ตอนคำนวณเบี้ยประกันตัวนี้ บริษัทมีวิธีคิดอย่างไร? บริษัทมีการวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์กรณีที่โควิด-19 จะระบาดหนักหรือไม่? ทางบริษัทเตรียมแผนจัดการความเสี่ยงภายในอย่างไร?”
“ประเด็นที่สอง ตั้งแต่ตอนออกขายกรมธรรม์ตัวนี้ ทำไมทาง คปภ. จึงอนุมัติแบบ ‘เจอ จ่าย จบ’ ทั้งที่ความเสี่ยงที่จะถูกลูกค้าโกงสูง? หน่วยงานกำกับดูแลมีการพิจารณาความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด? ทำไมทางหน่วยงานกำกับดูแลหรือบริษัทเองปล่อยให้ขายต่อทั้งๆ ที่น่าจะเห็นผู้ติดเชื้อมีจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 เป็นต้นมา?”
ยุทธศาสตร์อาวุธนิวเคลียร์ในศตวรรษที่ 21:
มหาอำนาจยังสะสมอาวุธนิวเคลียร์ไปทำไม
“ในขณะที่ภาพความเสียหายจากการทิ้งระเบิดอาวุธนิวเคลียร์ในสงครามโลกครั้งที่สองที่ฮิโรชิมะและนางาซากิยังเป็นที่จดจำในประวัติศาตร์โลก ทำไมมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และรัสเซียถึงยังไม่หยุดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และยังต้องแข่งกันเพิ่มจำนวนและอัพเดตคุณภาพเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์อีก? เราจะเข้าใจพฤติกรรมการแข่งขันการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพนี้ได้อย่างไร?”
จิตทิพย์ มงคลชัยอรัญญา เขียนถึง ยุทธศาสตร์อาวุธนิวเคลียร์แบบ ‘บังคับให้ทำตาม’ (compellence) ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่มหาอำนาจโลกยังคงเดินหน้าเพิ่มจำนวนและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่อไปมากกว่าที่จะลดอาวุธตามสูตรยุทธศาสตร์อาวุธนิวเคลียร์แบบ ‘ป้องปราม’ (deterrence) รวมทั้งสำรวจถกเถียงต่อยุทธศาสตร์เหล่านี้ว่า เป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ
“หากใช้ในแง่การข่มขู่เจรจาต่อรอง อาวุธนิวเคลียร์อาจมีประสิทธิภาพในแง่การป้องปราม … ความเป็นไปได้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะกล้าใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการโจมตีอีกฝ่ายก่อนจะต่ำมาก เนื่องจากหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ออกไป อีกฝ่ายอาจโต้กลับด้วยอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน … นั่นแปลว่า แท้จริงแล้ว แต่ละรัฐไม่จำเป็นที่จะต้องมีอาวุธนิวเคลียร์จำนวนมากหรือแข่งขันกันเป็นที่หนึ่งด้านอาวุธนิวเคลียร์เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องปราม”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่มหาอำนาจนิวเคลียร์เหล่านี้ยังต้องการเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของอาวุธนิวเคลียร์แบบที่เราเห็นในข่าวอีก?”
“หากรัฐไหนครอบครองจำนวนนิวเคลียร์มากกว่าและมีเทคโนโลยีเหนือกว่า รัฐนั้นยิ่งมีโอกาสที่จะใช้รองรับการโจมตีและตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ได้ดีกว่าหากมีการแลกเปลี่ยนนิวเคลียร์กันจริง ซึ่งนั่นหมายความว่ามีโอกาสในการชนะสงครามมากกว่า และการมีโอกาสในการชนะสงครามนิวเคลียร์มากกว่า จะแสดงให้เห็นถึงความยึดมั่นว่าเราพร้อมจะสู้ (resolve) ในสงครามมากกว่า ดังนั้น เมื่อคู่ขัดแย้งของเราประเมินได้เช่นนี้ คู่ขัดแย้งของเราจึงควรยอมจำนนต่อสิ่งที่เราเรียกร้อง”
วาทกรรมเฟกนิวส์กับบรรยากาศแห่งความ(ไม่)กลัว
โดย พิรงรอง รามสูต
นอกจาก โดนัลด์ ทรัมป์ และ โรดริโก ดูเตอร์เต ที่มักเรียกข่าวที่เขาไม่ชอบว่า ‘เฟกนิวส์’ แล้ว อีกหนึ่งผู้นำที่มักพูดถึงเฟกนิวส์คือประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะมาตรการล่าสุดที่หวังควบคุม ‘ความจริง’ เกี่ยวกับการบริหารจัดการโควิด
พิรงรอง รามสูต ตั้งคำถามต่อมาตรการจัดการเฟกนิวส์ เมื่อสิ่งที่รัฐบาลพุ่งเป้าไปนั้นอาจไม่ใช่ ‘ดิสอินฟอร์เมชัน’ ในนิยามสากล
“การที่รัฐไทยสถาปนาเฟกนิวส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ดิสอินฟอร์เมชัน’ ขึ้นมาเป็นวาทกรรม สะท้อนความพยายามในการสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวด้วยการอ้างการลงโทษตามข้อกฎหมาย ซึ่งหากทำได้สำเร็จก็น่าจะส่งผลในทางลบต่อการสื่อสารที่เสรี บรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการตรวจสอบอำนาจบนฐานแห่งข้อมูลและการปรึกษาหารือในระบอบประชาธิปไตย”
“การตีตราทุกคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือแสดงทัศนะอันกังขากับแนวทางการจัดหาและจัดสรรวัคซีนไปจนถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่ากำลังบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและกำลังสร้างเฟกนิวส์นั้น นอกจากจะไม่ใช่แนวทางที่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นเสมือนการราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชนอยู่แล้ว เพราะสะท้อนให้เห็นกรอบคิดว่ารัฐเท่านั้นที่มีความชอบธรรมในการนิยามความจริง”
ล่องหนไปจากหน้ากระดาษ: เสียงชาวบ้านกับอนุสาวรีย์ที่ไม่ได้สร้าง
ธนาวิ โชติประดิษฐ เล่าถึงการเดินทางตามอนุสาวรีย์เสียงชาวบ้าน ที่ปรากฏอยู่ในหน้ากระดาษ แต่ไม่มีอยู่จริง
“ผู้เขียนเดินเข้าไปแล้วเล่าว่าตัวเองเป็นนักวิจัยมาตามหาอนุสาวรีย์เสียงชาวบ้านที่สร้างขึ้นจากเหตุการณ์ในปี 2520 ทุกคนทำหน้างง บอกว่าไม่รู้จักอนุสาวรีย์ชื่อนี้ มีแต่ “อนุสาวรีย์ u9vj&*&*%””
“สรุปว่ารอบนี้เป็นการไปตามหาอนุสาวรีย์ที่ไม่ได้สร้าง แต่ได้เจออย่างอื่นแทน “อนุสาวรีย์ u9vj&*&*%” ที่ว่านั้นคือ “ศาลารำลึกวีรกรรม ดอยยาว ดอยผาหม่น” เพิ่งสร้างเมื่อปี 2549”
“โครงการสร้างอนุสาวรีย์เสียงชาวบ้านที่ล้มพับไปกับการสร้างศาลาวีรกรรมแสดงให้เห็นว่าความตายแบบใดที่รัฐไทยนับว่าเป็นวีรกรรม ใครบ้างที่เป็นวีรชน และสมควรได้รับสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นที่รำลึกถึง”
วาระใหม่ประเทศไทยในโลกหลังโควิด-19 กับ สุวิทย์ เมษินทรีย์
101 ชวนสำรวจวาระประเทศไทยทั้งปัจจุบันและอนาคตหลังโควิด-19 กับ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อตั้งโจทย์ใหม่ของประเทศไทยในโลกที่กำลังผันผวน
“นอกจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาเร่งด่วนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ก็ต้องคิดว่าหลังโควิดเราจะเดินหน้าประเทศต่อไปอย่างไร…ผมเคยพูดอยู่เสมอว่าเราอยู่ในโลกที่ ‘One world One destiny’ หรือหนึ่งโลกหนึ่งชะตากรรมร่วม สุขก็สุขด้วยกัน ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน จากนี้ไป ผมถือว่าวิกฤตจะกลายเป็น new normal จบโควิดก็อาจมีวิกฤต climate change และวิกฤตอื่นๆ อีกมากมาย เราจะช่วยกันรับมืออย่างไร”
“การปฏิรูปที่แท้จริงทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม แต่การปฏิรูปที่ผ่านมาเป็นการปฏิรูปที่ขีดๆ เขียนๆ โดยคนไม่กี่คน ประชาชนแทบไม่มีส่วนร่วมเลย เราไม่เคย empower ภาคประชาชนให้แข็งแรง โอกาสที่จะผลักดันให้เกิดผลจึงยากมาก”
“ในที่สุดเราต้องตั้งหลักใหม่ว่าจะอยู่ร่วมกันในสังคมแบบนี้อย่างไร ในสังคมที่คนบางกลุ่มอยากจะคงสถานะ มองว่าอยู่ในสภาพเดิมดีแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็มีคนที่รู้สึกว่าโลกเปลี่ยนไปตั้งนานแล้วและเขาอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ในสถานการณ์แบบนี้คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองกลุ่มก้อนต้องพาเขามาเจอกัน ไม่ใช่เพื่อมาปะทะกัน แต่ต้องมาหาคำตอบร่วมกัน”
“ที่สังคมเราวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้เพราะเกิดความไม่เป็นธรรมในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การเข้าถึงทรัพยากรและอีกมากมาย จึงเกิดความเหลื่อมล้ำและทำให้เกิดความขัดแย้ง ความขัดแย้งก็ทำให้เกิดความแตกแยกตามมา กลายเป็นวงจรอุบาทว์ เพราะฉะนั้นปฐมบทของทุกเรื่องคือความเป็นธรรม”
“ยุทธศาสตร์ที่ดีต้องมีคำสองคำคือ ยุทธศาสตร์ (strategic) และ ปฏิบัตินิยม (pragmatism) เราต้องมองยุทธศาสตร์ภาพใหญ่เชิงโครงสร้าง ไม่ต้องทำเยอะ แต่ทำแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมียุทธศาสตร์ และต้องปฏิบัติได้ ปัญหาบ้านเราคือเขียนแผนไปปฏิบัติไม่ได้ แต่เราก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้แล้วก็เขียนใหม่”
ขุนศึก ศักดินา ประชาธิปไตย: มองอำนาจและข้อเสนอปฏิรูปกองทัพ
กับ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
“ถ้าพูดถึงการปฏิรูปกองทัพ อย่างแรกที่ผมคิดว่าเป็นแกนหลักของการปฏิรูปคือการจัดความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์และกองทัพใหม่เสีย”
101 ชวนสำรวจอำนาจกองทัพไทยและข้อเสนอการปฏิรูปกองทัพให้ดำรงอยู่ท่ามกลางระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมีเสถียรภาพผ่านมุมมองของ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี สื่อมวลชนและนักวิจัยอิสระ ผู้เกาะติดเรื่องกองทัพ ความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน
“สังคมไทยตกอยู่ภายใต้ ‘ระบอบแบบแผนทางการเมืองที่สร้างบนฐานของสายสัมพันธ์ช่วงชั้นระหว่างสถาบันกษัตริย์และกองทัพ’ (Military-Monarchy Hierarchical Nexus) อย่างชัดเจน”
“ระบอบการเมืองดังกล่าวมีทั้ง hard power และ soft power ที่ครอบคลุมทั้งสังคมไทย โดยมีกองทัพเป็นกลไกหลักที่ใช้สร้างความแข็งแกร่งให้กับ ‘พระราชอำนาจนำ’ ทั้งในเชิงรากฐานทางอุดมการณ์ ความชอบธรรมตามประเพณีและกฎหมาย ตลอดไปถึงความนิยมของระบอบ”
“สังคมไทยในทุกวันนี้กำลังถูก ‘แทรกซึม’ อย่างที่อาจารย์พวงทอง (ภวัครพันธุ์) เสนอ ในความเห็นของผม [โครงการปกป้องสถาบันหลักของชาติ] คือการครอบงำ ปลูกฝัง กล่อมเกลาความคิด (Indoctrination) พยายามจะเปลี่ยนให้ประชาชนคิดแบบทหาร มีความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ประชาชนก็ต้องไม่ใช่ประชาชนธรรมดา แต่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่จงรักภักดี อยู่ในการอุปถัมภ์ของกษัตริย์ … ”
“เงื่อนไขอยู่ที่การเมืองเป็นหลัก ถ้าฝ่ายการเมืองเข้มแข็งพอ การปฏิรูปกองทัพก็เป็นไปได้”
“ประชาชนอาจจะเป็นอีกตัวแปรหนึ่งทำให้เกิดการปฏิรูปกองทัพได้ เมื่อประชาชนสามารถพูดได้ว่าพอกันทีระบอบทหาร พอกันทีกับพวกนายพลทั้งหลายที่ทำตัวเป็นเจ้าของประเทศ ผูกขาดความรักชาติ หวงอำนาจทางการเมืองแต่ไม่มีความสามารถจะบริหารประเทศเพื่อให้ประชาชนอยู่รอดปลอดภัยอยู่ดีมีสุขได้ ประชาชนทั้งหลายพึงรู้ว่าเราสิทธิอันชอบธรรมที่จะได้กองทัพที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันประเทศและปกป้องประชาชน ไม่ใช่กองทัพที่เอาแต่ข่มเหงรังแก ข่มขู่คุกคามประชาชนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”
ความสมจริงของ (หนัง) นางนาก
และความผิดปกติของสังคมไทยหลังพิษเศรษฐกิจ 2540
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ เขียนถึง ‘นางนาก’ (2542) ภาพยนตร์ที่กลายเป็นตัวแทนความภาคภูมิใจของสังคมไทยต่อสายตาชาวโลก หลังความหวังจะเป็นเสือเศรษฐกิจพังทลายในช่วงวิกฤต 2540
แม้ว่าเรื่องของนางนากจะถูกหยิบมาทำหลายเวอร์ชัน แต่ในเวอร์ชันนี้มีวิธีเล่าเรื่องและแก่นของหนังที่ต่างออกไป ซึ่งสอดคล้องกับบริบทสังคมในขณะที่หนังฉายได้อย่างน่าสนใจ
“…นางนากก็มิได้เป็นผีที่น่ารังเกียจสำหรับคนดู เพราะหนังได้ให้ภาพว่านางเป็นตัวแทนผู้หญิงที่รักและซื่อสัตย์กับผัวของตน ความร้ายกาจที่เกิดขึ้นก็มีเหตุผล เนื่องมาจากความพยายามปกป้องตนเองและปกปิดความจริง (ซึ่งแม้จะเป็นวิธีการที่ผิดอย่างฆ่าคนปิดปากก็ตาม) เพื่อครอบครัวที่สงบสุขของตน ดังที่มีคอลัมนิสต์บางคนเห็นประเด็นว่า ภาพสะท้อนของหนังได้เน้นไปที่ ‘ความรักความผูกพันที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อสามี’ ต่างจากเวอร์ชันเก่าๆ ที่หลอกหลอนและไล่ฆ่าชาวบ้านแบบไร้เหตุผล
“…นางนากก็มิได้เป็นผีที่น่ารังเกียจสำหรับคนดู เพราะหนังได้ให้ภาพว่านางเป็นตัวแทนผู้หญิงที่รักและซื่อสัตย์กับผัวของตน ความร้ายกาจที่เกิดขึ้นก็มีเหตุผล เนื่องมาจากความพยายามปกป้องตนเองและปกปิดความจริง (ซึ่งแม้จะเป็นวิธีการที่ผิดอย่างฆ่าคนปิดปากก็ตาม) เพื่อครอบครัวที่สงบสุขของตน ดังที่มีคอลัมนิสต์บางคนเห็นประเด็นว่า ภาพสะท้อนของหนังได้เน้นไปที่ ‘ความรักความผูกพันที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อสามี’ ต่างจากเวอร์ชันเก่าๆ ที่หลอกหลอนและไล่ฆ่าชาวบ้านแบบไร้เหตุผล
“ประเทศไทยเหมือนเพลงเชียร์ยูโร” ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม
“ผมเปรียบประเทศไทยเหมือนเพลงเชียร์ยูโร เป็นตัวแทนของการคิดอะไรแบบฉุกละหุก รู้ล่วงหน้าแค่วันเดียวว่าจะมีการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร เลยต้องใช้เวลาแค่วันเดียว ทั้งแต่ง บันทึกเสียง และทำมิวสิกวิดีโอออกมา ทำให้มีความก่งก๊ง ไม่เข้าที่เข้าทาง เหมือนสภาพประเทศไทยทุกวันนี้ที่มีเรื่องให้ตัดสินใจกันวันต่อวัน บางวันตัดสินใจเปลี่ยนไปมา วันละหลายรอบด้วยซ้ำไป…”
ในวันที่วงการบันเทิงถูกตั้งคำถามและเจอภาวะวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 101 ชวน ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม มามองความเปลี่ยนแปลงในวงการที่เจอโจทย์ท้าทายหลายด้าน และมองไปถึงก้าวย่างต่อไปของวงการบันเทิงที่จะต้องเติบโตไปพร้อมสังคม
แวดวงดนตรี-บันเทิงเป็นอย่างไรในยุคโควิด อุตสาหกรรมบันเทิงจะปรับตัวอย่างไรในสังคมที่เปลี่ยนไป ในฐานะสื่อ เขามองวงการสื่ออย่างไร ตลอดชีวิตในวงการเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ในฐานะที่เห็นคนรุ่นใหม่มาหลายรุ่น เขามองคนรุ่นใหม่อย่างไรในวันที่โลกจะเดินต่อ และชวนคุยไปถึงมุมมองทางสังคมการเมือง สังคมในฝันของป๋าเต็ดเป็นอย่างไร และการเมืองแบบไหนที่จะตอบโจทย์สังคมที่ดีได้จริง
“รัฐบาลชุดนี้มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน ไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นรัฐบาล ถ้าทำงานแบบนี้ ผมก็จะวิจารณ์แบบเดียวกัน และผมเชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่คิดแบบผม ประสิทธิภาพที่เห็นชัดเจนที่สุดคือประสิทธิภาพในการสื่อสาร ก่อให้เกิดปัญหามากมาย ทั้งการสื่อสารกันเองระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการสื่อสารกับประชาชน”
“…เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย สองพยางค์แรกก็ขึ้นคำว่า ‘ประชา’ มาก่อนแล้ว ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับประชาชนก่อนแล้วจะให้ความสำคัญกับใคร”
“รัฐใดสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ รัฐนั้นสามารถปกครองโลกได้”
มองภูมิศาสตร์การเมืองโลกใหม่ กับ จิตติภัทร พูนขำ
“ถ้ามองในระดับมหาอำนาจ ผมคิดคล้ายๆ ปูตินคือ โลกในอนาคตอาจจะเป็นโลกที่รัฐใดสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ รัฐนั้นสามารถปกครองโลกได้”
101 สนทนากับ รศ.ดร.จิตติภัทร พูนขำ อาจารย์ประจำสาขาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงโจทย์ภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งมองโจทย์ใหญ่อย่างการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และความสัมพันธ์ของรัฐกับกลุ่มทุน ปิดท้ายด้วยการชวน ‘ตั้งหลักใหม่’ มองยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทย
“ระบบสองขั้วอำนาจจะขยับไปสู่การแข่งขันทางความคิดและระบบคุณค่ามากขึ้น คุณค่า (values) จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทุกวันนี้ สิ่งสำคัญกลายเป็นการปะทะกันของระเบียบโลก (a clash of world orders) สองชุด ชุดแรกเป็นระบบที่วางอยู่บนฐานของเสรีนิยม ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และเศรษฐกิจแบบเสรี อีกชุดหนึ่งคือแบบที่เน้นรัฐเป็นสำคัญ ซึ่งบางคนอาจจะแซวเล่นๆ ว่าเป็นทุนนิยมที่มีลักษณะเป็นจีนหรือเอเชีย สองระบบที่แตกต่างกันนี้จะทำให้เกิดความลักลั่นขึ้นมาว่า ประเทศต่างๆ จะดำเนินนโยบายแบบไหน”
“สิ่งที่เราเห็นจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุค 4.0 คือเรื่องของทุน ทั้งทุนโดยรัฐหรือโดยเอกชน มีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งตรงนี้จะกระทบระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกด้วย เรากำลังเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงจากยุทธศาสตร์ offshore (การโยกย้ายฐานการผลิตไปบริเวณที่มีแรงงานราคาถูกทั่วโลกในประเทศกลุ่มใต้) มาสู่ยุทธศาสตร์ใหม่คือ reshoring โดยผ่านกลไกของปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือหุ่นยนต์ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์มากขึ้นในอนาคต”
“ผมอยากเสนอว่า [ไทย] อาจจะดำเนินยุทธศาสตร์แบบการนำจากรัฐขนาดกลาง ซึ่งจะช่วยให้เรามีจุดยืนและท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้น กล่าวคือไทยควรที่จะเล่นบทบาทเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคมากขึ้น และริเริ่มนวัตกรรมและชุดนโยบายด้านการเมืองการทูตในระดับภูมิภาคมากขึ้น รวมถึงควรที่จะพยายามกำกับพฤติกรรมของรัฐมหาอำนาจ ภายใต้กติกาหรือปทัสถานบางอย่างของภูมิภาคด้วย”
อ่านฉากทัศน์อนาคต ตั้งหลักใหม่ประเทศไทย
กับ มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด
โดย ภาวิณี คงฤทธิ์
“คนไทยไม่ได้พ่ายแพ้ที่ความสามารถ แต่พ่ายแพ้ที่วิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการจะนำประเทศไปข้างหน้า”
หลังวิกฤตการณ์การเงินเมื่อปี 2540 ที่สร้างผลกระทบทางสังคมเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ คล้อยหลังมา 20 ปี ประเทศไทยต้องเจอกับวิกฤตอีกครา ซึ่งแม้จะมีต้นเหตุหลักมาจากวิกฤตสุขภาพ แต่ก็ส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจอย่างสาหัสสากรรจ์ เมื่อผนวกกับวิกฤตการเมืองที่ดำเนินมากว่าทศวรรษ ผลลัพธ์คือการที่สังคมไทยตกอยู่ในจุดที่ยากลำบากที่สุดอีกหน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สังคมไทยต้องการความรู้ ทักษะ พลังสร้างสรรค์ และนโยบายสาธารณะแบบใหม่ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ‘ตั้งหลัก’ คิดทบทวนอย่างเข้มข้น ลึกซึ้ง เพื่อมีส่วนในการสร้างและออกแบบนโยบายสาธารณะที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมทั้งในปัจจุบันและในอนาคต 101 ชวน ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ผู้อำนวยการสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ่านฉากทัศน์อนาคตประเทศไทย และตั้งหลักคิดใหม่เพื่อออกแบบนโยบายสาธารณะให้เท่าทันกับวันข้างหน้า
“หากย้อนกลับมาดูปัจจุบัน พบว่าฉากทัศน์ของประเทศไทยขยับไปในรูปแบบของซิมโฟนีปี่พาทย์ สิ่งที่เหมือนคือรูปแบบของสังคมที่กลายเป็นสังคมอุดมกฎเกณฑ์ โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ออกคำสั่ง ส่วนสิ่งที่ต่างคือผลลัพธ์ เนื่องจากยังเป็นช่วงต้นของการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ ทำให้ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าไทยจะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้จริงหรือไม่ เพราะการจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จจำเป็นต้องอาศัยฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลเช่นกัน”
“เศรษฐกิจไทยมีปัญหาอยู่ก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด ปัญหาหลักคือภาคอุตสาหกรรมที่เคยหวังว่าจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้ามีอัตราการเจริญเติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ในทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน แต่ภาคอุตสาหกรรมกลับไม่ได้เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยอย่างที่คาดหวังไว้…ในอีกด้านหนึ่ง ภาคการท่องเที่ยวกลายมาเป็นภาคเศรษฐกิจใหญ่ของไทย หลังวิกฤตต้มยำกุ้งภาคการท่องเที่ยวค่อยๆ เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม การพึ่งพิงภาคท่องเที่ยวมากเกินไปกลับทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเปราะบาง”
“วิสัยทัศน์และกลยุทธ์จำเป็นต้องอาศัยความรู้และความสามารถที่หลากหลาย แต่ปัญหาหลักของสังคมไทยคือรังเกียจการคิดต่าง ทั้งๆ ที่การยอมรับความแตกต่างหลากหลายและการบูรณาการเท่านั้นถึงจะทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้ การยึดมั่นความคิดอยู่เพียงอย่างเดียวถือเป็นวิธีคิดที่ล้าสมัยและจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายไม่ว่าจะในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง”
ศาสตร์แห่งความหดหู่ : จากมัลธัส มิลล์ ถึงเศรษฐศาสตร์มหภาค
โดย นรชิต จิรสัทธรรม
นรชิต จิรสัทธรรม เขียนถึงประวัติศาสตร์ของเศรษฐศาสตร์ในฐานะ ‘ศาสตร์แห่งความหดหู่’ – จากศาสตร์แห่งการปลดปล่อยทาสสู่ศาสตร์ที่เอาแต่สนใจตัวเลขและละเลยมิติทางสังคม
“การใช้คำว่า dismal science มีต้นตอมาจากข้อเขียนของโธมัส คาร์ไลล์ (Thomas Carlyle, 1795-1881) นักประวัติศาสตร์ชาวสกอตต์ ซึ่งปรากฏในบทความ “Occasional Discourse on the Negro Question” (1849) หรืออาจแปลไทยว่า “ปาฐกถาเฉพาะกาลเรื่องกระทู้นิโกร” ข้อเขียนนี้เกิดขึ้นในบริบทที่แรงงานทาสคนดำใน West Indies ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ผลที่ตามมาคือการขาดแรงงานเพื่อทำการผลิต แม้ว่าเหล่าเจ้าของไร่คนขาวจะเสนอค่าจ้างให้ก็ตาม แต่ดูเหมือนเหล่าอดีตทาสคนดำก็ไม่อยากทำงานภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่”
“คาร์ไลล์มองว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากความ ‘เกียจคร้าน’ ของเหล่าอดีตทาสคนดำ เขาแสดงความเห็นว่าถ้าหากไม่ยอมทำงานโดยสมัครใจเห็นทีก็ต้อง ‘บังคับ’ กันแล้วล่ะ”
“ฉะนั้นความ ‘หดหู่’ ของเศรษฐศาสตร์ในทัศนะของคาร์ไลล์ไม่ได้เกี่ยวกับมัลธัส แต่คือสภาพการณ์ที่ทฤษฎีเสรีภาพทางเศรษฐกิจของคลาสสิคบั่นทอนสถานะทางเศรษฐกิจของกลุ่มชนชั้นนำ ที่สามารถได้ประโยชน์จากการ ‘ขูดรีด’ กลุ่มชาติพันธุ์อื่นต่างหาก คาร์ไลล์จึงโต้ตอบด้วยการแก้ปัญหาแรงงานด้วยระบอบแห่ง ‘ภาวะจำยอม’ (servitude) ดังที่เห็น”
“แน่นอนว่าย่อมมีคนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill, 1806-1873) นักเศรษฐศาสตร์ในยุคนั้นเขียนโต้ตอบคาร์ไลล์ว่าสิ่งที่ทำให้มนุษยชาติพัฒนาไม่ได้มาจากการควบคุมด้วยทรราชย์ที่เข้มแข็ง หากแต่เป็นประวัติศาสตร์ที่ผู้คน ‘ลุกขึ้นสู้’ เหล่าทรราชย์ต่างหาก หรืออีกนัยหนึ่งคือมิลล์กำลังบอกว่ามันผิดที่คิดว่าคนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิในการบังคับคนอีกกลุ่มได้ เพราะสิทธิอันชอบธรรมต่างเป็นสิทธิของแรงงานทุกคนไม่ว่าจะผิวดำหรือขาว ใครจะมาบังคับใครไม่ได้ทั้งนั้น”
ทฤษฎีไขปัญหา ไขปัญหาทฤษฎี
การแก้ปัญหาในระบบแบบนักเทคนิค VS การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแบบนักวิพากษ์ อะไรคือฐานคิดทางทฤษฎีของความคิดทั้งสองแบบนี้ในโลกไออาร์
ศุภมิตร ปิติพัฒน์เขียนถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของ ‘ทฤษฎีไขปัญหา’ ในวิชาไออาร์ ซึ่งเป็นคู่แข่ง ‘ทฤษฎีเชิงวิพากษ์’ ที่กำลังมีอิทธิพลในหมู่นักเรียนไออาร์รุ่นใหม่
“นักทฤษฎีฝ่ายนี้เขาแย้ง/วิพากษ์กัน เขาจะเปิดประเด็นกับความชัดเจนและเพียงพอของแนวคิดในทฤษฎี เช่น ทฤษฎีมองอำนาจว่าเป็นขีดความสามารถ มองแบบนี้พอไหม หรือว่าต้องมองที่ความสัมพันธ์ หรือว่าต้องมองต่อไปให้เห็นเบื้องหลังความสัมพันธ์ตรงหน้าอีก อีกส่วนหนึ่งในการแย้ง/เปิดประเด็นวิพากษ์กัน คือที่การวิพากษ์ตัวฐานคิดที่ให้ทางพิจารณาสภาพความเป็นจริง เช่น มองความเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นๆ จากขั้นแรกไปสู่ขั้นที่สองและขั้นต่อไป แบบนี้พอฟังได้ไหม การมองแบบนี้ส่งผลแบบไหนต่อทางอธิบายของทฤษฎีนั้น”
“…ฝ่าย critical theory จะวิพากษ์เลยไปที่ ethical และ ideological presuppositions ของทฤษฎีความรู้ต่างๆ ด้วย ใครอย่าเผลอไปบอกว่าความรู้ของฉัน value-free หรือไม่มีอุดมการณ์มาเกี่ยวข้อง หรือเป็นกลางๆ ไม่เข้าใครออกใครทั้งสิ้น หรือพยายามที่จะทำให้ได้แบบที่ว่านี้ ถ้าพวก Critical เขารู้ เขาจะตรงมาขย้ำตรงจุดนี้ก่อนเลย แล้วก็จะลาก truth claims ที่อ้างว่าปลอดสารนั้น มาแสดงให้เห็นฤทธิ์ทางเคมีของเชื้อมูลทางอุดมการณ์ที่มีผสมอยู่ในนั้น…”
“…ดังนั้น ถ้าเรียกพวกแรกเป็นทฤษฎีไขปัญหา อาจเติมลงไปว่าเป็นการแก้ปัญหาให้ระบบที่เป็นอยู่ทำงานต่อไปได้ดีขึ้น ส่วนทฤษฎีฝ่าย Cox เป็นทฤษฎีวิพากษ์สภาพสภาวะที่เป็นอยู่ และวิพากษ์ความคิดทฤษฎีที่ช่วยรักษาระบบเดิม เพื่อหนุนพลังการเปลี่ยนแปลงไปหาระบบใหม่ที่เชื่อว่าจะดีกว่า หรือถึงยังเปลี่ยนไม่ได้ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มอำนาจให้คนที่ไม่มีอำนาจขาดสิทธิ์ขาดเสียง…”
เอาศอก ไม่เอาคืบ: โควิดยังไม่ไป
มหาวิทยาลัยต้องคืนค่าเทอม(ให้มากกว่านี้)!
โดย วริษา สุขกำเนิด
“เรื่องค่าเทอมเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันมีผลกับทุกอย่าง รวมไปถึงอนาคตของพวกเรา”
ท่ามกลางกระแสการเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยคืนค่าเทอมเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่กลับมาอีกครั้ง วริษา สุขกำเนิด คุยกับนักศึกษาผู้จัดทำแคมเปญล่ารายชื่อและอาจารย์ผู้สนับสนุน เกี่ยวกับเหตุผลและความสำคัญของสิ่งที่พวกเขาพยายามส่งเสียงถึงมหาวิทยาลัย
“ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดทำให้ผู้ปกครองเสียรายได้ พ่อแม่ของเพื่อนเราบางคนที่ทำอาชีพค้าขายก็ขายไม่ได้เหมือนแต่ก่อน การที่ต้องจ่ายค่าเทอมจำนวนเท่าเดิม ทำให้เขาต้องหาเงิน แต่ปัญหาก็คือเขาจะหาเงินจากไหน”
“คุณภาพและบรรยากาศการเรียนเป็นปัญหาหนักของการเรียนออนไลน์ เพราะในช่วงโควิดมา ทั้งห้องเรียนและห้องสมุดก็ปิด เพื่อนก็ไม่ได้เจอ การเรียนลำบากขึ้นกว่าในห้องเรียน ทำให้นักศึกษาหลายคนเกรดตก”
“หากเราเรียนออนไลน์แต่เรียนแบบไม่มีคุณภาพ เราก็จบไปเป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพด้วย ซึ่งถ้ารัฐใส่ใจจะไม่ปล่อยผ่านปัญหานี้”
“เพื่อนหลายคนคิดว่ามหาวิทยาลัยไม่ลดค่าเทอมเพราะพวกเขาจำเป็นต้องหากำไร แต่สำหรับผมแล้ว เป้าหมายของมหาวิทยาลัยและการศึกษาไม่ใช่การหากำไร แต่ต้องบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาคือกระจายการศึกษาให้ได้มากที่สุด”
“หากเป้าหมายหลักของมหาวิทยาลัยไม่ใช่การแสวงหากำไร มหาวิทยาลัยจะต้องคิดว่าตราบใดที่ทำหน้าที่พัฒนาบุคลากรและวิจัยได้ จะขาดงบดุลเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเด็กไม่สามารถเรียนได้ เพราะว่าต้องไปทำงานพิเศษสามงานเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม มหาวิทยาลัยก็ไม่อาจนับว่าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์หลักของตัวเองคือพัฒนาบุคลากร”
ความรับผิดของรัฐฆาตกร
ภาพศพนอนตายกลางถนน ข่าวคนไม่มีจะกินฆ่าตัวตายยกครอบครัว สลับกับข่าวสั่งวัคซีนซิโนแวค และเสียงขู่จากตำรวจใหญ่ห้ามใช้ถ้อยคำด้อยค่าวัคซีนหรือกล่าวหารัฐบาล เหล่านี้สะท้อนความผิดพลาดที่กำลังเกิดขึ้นในวิกฤต
แล้วประชาชนไทยมีช่องทางกฎหมายไหนบ้างที่จะเรียกร้องความรับผิดจากนายกรัฐมนตรีได้?
เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง ชวนคิดเรื่องความรับผิดของรัฐบาลทั้งทางแพ่งและอาญาภายใต้กลไกการเมืองที่เป็นอัมพาต
“การนำรัฐบาลมารับผิดชอบความผิดพลาด เป็นทั้งการกระทำให้ย้อนกลับไปในอดีต ลงโทษความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้ว และยังเป็นการกระทำที่มีผลไปข้างหน้า เพื่อเตือนใจผู้มีอำนาจมิให้ลุแก่อำนาจ”
“จริงอยู่ที่การรับมือกับภัยพิบัติใหม่อย่างโควิดนั้นยากที่จะไม่ผิดพลาดในตอนแรก…แต่ขอบเขตและระดับของความผิดพลาดครั้งนี้รุนแรงเกินกว่าความผิดพลาดครั้งไหนๆ เมื่อผิดพลาดแล้วไม่รีบแก้ไขให้ทันท่วงทีตามที่มีประชาชนทักท้วง กลับยืนยันดำเนินนโยบายเดิมที่เห็นชัดแล้วว่าล้มเหลวต่อมาเรื่อยๆ เช่นนี้น่าคิดว่าจะถือว่ามีเจตนาเล็งเห็นผลพอได้หรือไม่”
รายการและคลิปวิดีโอยอดนิยม เดือนกรกฎาคม 2564
ภารกิจในวาระสุดท้าย
“วัดที่เผาศพโควิดยังมีน้อย แต่ผู้เสียชีวิตยังเยอะและเพิ่มขึ้นทุกวัน”
“ต้องแล้วแต่ภาครัฐว่าจะยื่นอะไรเข้ามาช่วยเหลือ มันอยู่ในอก ก็พูดไม่ออกเหมือนกันเพราะตอนนี้เหมือนว่าเราต้องช่วยกันเองแล้ว”
ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2564 มีผู้เสียชีวิตจากโควิดเฉลี่ยวันละ 80 ราย ตอนนี้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมแล้วกว่า 2,700 ราย (ข้อมูลเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564) ทำให้เกิดวิกฤตในการจัดการร่างของผู้เสียชีวิตจากโควิด
ภาคเอกชนและประชาชนต้องเข้ามาจัดการขนย้ายร่างผู้เสียชีวิตไปทำพิธีที่วัดด้วยตัวเอง ในขณะที่จำนวนวัดก็ยังไม่เพียงพอต่อการรับผู้เสียชีวิต ขณะที่สังคมยังคงตั้งคำถามว่าภาครัฐควรเข้ามาจัดการดูแลประชาชนอย่างไรในสถานการณ์พิเศษเช่นนี้
101 พูดคุยกับ จักรกฤษณ์ แต่งตั้ง ผู้ก่อตั้งโครงการส่งผู้เสียชีวิตฟรีทั่วประเทศ ที่อาสารับภารกิจส่งร่างผู้เสียชีวิตจากโรงพยาบาล-บ้านจนถึงเตาเผาในวาระสุดท้ายของชีวิต
เมื่อ ‘ชุดตรวจโควิด’ ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน
ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นทุกวันและภาพการต่อคิวข้ามวันข้ามคืนของประชาชนเพื่อรอตรวจเชื้อโควิด-19 ตอกย้ำสภาพวิกฤตที่คนไทยกำลังเผชิญ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงการตรวจในห้วงเวลาที่ระบบสาธารณสุขล้นเช่นนี้ การตรวจเชื้อด้วยตนเองผ่านชุดตรวจโควิดเร่งด่วน (Antigen Test Kit) จึงเป็นหนึ่งในคำตอบที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจอย่างรวดเร็ว และอาจนำไปสู่การรักษาได้ทันท่วงที
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขปลดล็อกให้ประชาชนสามารถซื้อชุดตรวจโควิดได้ตามร้านขายยาทั่วไป เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงการตรวจเชื้อ เพราะยิ่งตรวจเยอะ ยิ่งตรวจเร็ว และแยกผู้ติดเชื้อออกมาได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อได้มากเท่านั้น
แม้ว่าชุดตรวจโควิดจะเริ่มวางขายตามร้านขายยา แต่ราคาเฉลี่ยต่อชุดที่สูงถึง 300-400 บาท ทำให้ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงโดยง่าย ยิ่งเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของคนไทยที่ 305-310 บาทต่อวัน ก็ทำให้เห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลของราคาที่ต้องจ่าย ทั้งที่เป็นสินค้าจำเป็นในภาวะวิกฤตเช่นนี้
101 พูดคุยกับนิมิตร์ เทียนอุดม คณะทำงานโควิดชุมชน และกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้ชุดตรวจโควิดมีราคาแพง รวมไปถึงหลักการที่ควรจะเป็น ตลอดจนวิพากษ์การบริหารจัดการในภาวะวิกฤตของภาครัฐ
มานุษยวิทยาต้องรอด กับ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์
“ความเป็นมนุษย์คืออะไร และเราจะเข้าใจความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?”
เมื่อราวสองศตวรรษก่อน ศาสตร์ที่มุ่งทำความเข้าใจมนุษย์อย่าง ‘มานุษยวิทยา’ ได้ถือกำเนิดขึ้น ผลิดอกออกยอดความรู้ใหม่ควบคู่ไปกับพัฒนาการของสังคมมนุษย์ พร้อมทั้งขยายบทบาทจนมีการนำมานุษยวิทยาไปประยุกต์ใช้ในการทำงานแบบข้ามศาสตร์ ส่งเสียงให้โลกโอบรับความแตกต่างหลากหลายในยุคที่แนวคิดพลเมืองโลกเริ่มปรากฏ
ทว่ามานุษยวิทยาก็ต้องเผชิญกับคำถามท้าทายหลายประการ ทั้งการย้อนกลับมาพินิจตัวศาสตร์ ไปจนถึงประเด็นท้าทายอย่างคำถามที่ว่า มานุษยวิทยาทำงานล้มเหลวหรือไม่ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และทำความเข้าใจมนุษย์ ในเมื่อความเกลียดชังและการป้ายความเป็นอื่นยังแพร่กระจายในสังคมราวกับโรคร้าย
ในช่วงที่โลกคล้ายจะเรียกร้องการทำความเข้าใจมนุษย์ที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา 101 สนทนากับ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับพัฒนาการและองค์ความรู้แบบมานุษยวิทยา แก่นหลักของศาสตร์ โจทย์ท้าทายอย่างมานุษยวิทยาแห่งความหวังในห้วงยามที่เกือบจะไร้หวัง ไปจนถึงเสน่ห์ของมานุษยวิทยา
และแม้เราจะยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดให้กับคำถามข้างต้น แต่ในบางครั้ง การทำความเข้าใจคนอื่นและยอมรับความหลากหลายอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมากไปกว่าการนำ ‘ความเป็นมนุษย์’ ของเราเข้าไปสัมผัส โอบกอด และทำความเข้าใจสิ่งที่เราเคยคิดว่าแตกต่างจากเรามากมาย แต่ท้ายจริงแล้วอาจจะคล้ายและถูกร้อยด้วยความเป็นมนุษย์แบบเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
…เท่านั้นก็อาจจะเพียงพอแล้วในโลกที่เริ่มบิดเบี้ยวใบนี้
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ : How to be human เปิดบทเรียนความเป็นมนุษย์ (ที่ดีกว่าเดิม) กับ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์
Rest(aurent) Memories – ความทรงจำสุดท้ายจาก (เจ้าของ) ร้านอาหาร ในวันที่ล้มจนไม่อาจลุก
“เสียใจและขอบคุณ – เสียใจที่ไม่มีความสามารถในการพยุงร้านให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ขอบคุณที่คอยเป็นกำลังใจให้เรา เพราะถึงร้านจะไม่มีชีวิต แต่สำหรับเรา…เขามีชีวิต”
การ (กึ่ง) ล็อกดาวน์กรุงเทพฯ กลับมาอีกครา พร้อมกับการห้ามนั่งรับประทานอาหารในร้าน แต่สำหรับเจ้าของร้านอาหารหลายคน ช่วงเวลานี้เปรียบเสมือน ‘นาทีตัดสิน’ ที่ไม่อาจจะย้อนกลับ เมื่อบาดแผลที่แบกมาตั้งแต่การล็อกดาวน์รอบก่อนๆ บีบให้หลายคนต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่า ควรจะไปต่อหรือพอแค่นี้?
การบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลบังคับให้ประชาชนผู้ประกอบอาชีพสุจริตต้องตัดสินใจเลือกว่าจะรักษาสิ่งใดไว้ระหว่าง ‘ร้านที่เป็นดั่งชีวิต’ กับ ‘ชีวิตที่อุทิศเรี่ยวแรงทั้งหมดให้กับร้าน’ ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนเจ็บปวดไม่แพ้กันทั้งสิ้น
101 ชวนคุณท่องไปในความทรงจำครั้งสุดท้ายของ 3 (เจ้าของ) ร้านอาหาร ที่จำใจต้องปิดกิจการลงด้วยพิษโควิด-19 ทั้งในรูปแบบปิดชั่วคราวและปิดถาวร ในวันที่ร้านล้มจนไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกต่อไปแล้ว ใน Rest(aurent) Memories – ความทรงจำสุดท้ายจาก (เจ้าของ) ร้านอาหาร ในวันที่ล้มจนไม่อาจลุก
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ : Rest(aurant) Memories – ความทรงจำสุดท้ายจาก (เจ้าของ) ร้านอาหาร ในวันที่ล้มจนไม่อาจลุก
101 One-on-One Ep.231 ‘เศรษฐศาสตร์การเมืองไทยในระบอบประยุทธ์’ กับ พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
จากวิกฤตสาธารณสุข สู่วิกฤตเศรษฐกิจ ถึงวิกฤตการเมือง สังคมไทยภายใต้ระบอบประยุทธ์กำลังเผชิญความท้าทายที่แหลมคมที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ
ภายใต้มรสุมที่ถาโถม ระบอบประยุทธ์กลับถูกมองว่าไร้น้ำยาและกำลังจะนำพาประเทศไทยไปสู่ภาวะรัฐล้มเหลว
101 ชวน รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมืองของระบอบประยุทธ์ และภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ-การเมืองไทย ในวันที่คนไทยกำลังทุกข์ยากที่สุด
ดำเนินรายการโดย จิรัฐิติ ขันติพะโล
101 One-on-One Ep.232 สู่ศตวรรษใหม่ พรรคคอมมิวนิสต์จีน
กับ สิทธิพล เครือรัฐติกาล
1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศจีนจัดงานเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริก ในวาระครบรอบ 100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์ หลังผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย จนกระทั่งพาจีนทะยานขึ้นสู่ความเป็นหนึ่งในมหาอำนาจชั้นนำของโลกได้อย่างทุกวันนี้
ในห้วงเวลา 1 ศตวรรษ พรรคคอมมิวนิสต์จีนยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นหลายเท่าตัว แต่นั่นก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ใหญ่หลวงขึ้นทั้งจากภายในและภายนอก
101 ชวน รศ.ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา และอาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาพูดคุยถึงพัฒนาการตลอด 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พร้อมมองอนาคต ความท้าทาย และความฝันอันทะเยอทะยานของพรรค ก่อนเดินหน้าสู่ศตวรรษใหม่
ดำเนินรายการโดย วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา
101 One-on-One Ep.233 อนาคตประชาธิปัตย์ รัฐบาล
และประชาธิปไตยไทย กับ อันวาร์ สาและ
ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากรัฐบาล อันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการรับมือวิกฤตของรัฐบาลปัจจุบัน หนึ่งในคลื่นที่กระทบรัฐนาวาระหว่างมรสุมครั้งนี้คือการลาออกจากตำแหน่งของรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
นอกจากกระแสความคิดอันแตกต่างที่เกิดขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึง ‘คลื่นใต้น้ำ’ ในรัฐบาลปัจจุบันที่ยังไม่เปิดเผยตัว
พรรคประชาธิปัตย์จะหยัดยืนต่อไปอย่างไรท่ามกลางรัฐบาลที่ล้มเหลวในการบริหาร รัฐบาลจะฝ่าวิกฤตอย่างไรท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ยุบสภา และประชาธิปไตยไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรหลังจากนี้
101 ชวน อันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี ผู้ประกาศลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พูดคุยถึงความหวังของเขาในการพลิกฟื้นพรรคประชาธิปัตย์เพื่อสร้างศรัทธาจากประชาชน และทางออกจากวิกฤตที่สังคมกำลังเผชิญหน้าร่วมกัน
ดำเนินรายการโดย ยิ่งชีพ อัชฌานนท์