กษิดิศ อนันทนาธร เรื่อง
พีเทอร์ ไมตรี อึ๊งภากรณ์ ภาพ
‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ คือใคร? อะไรคือป๋วย? คนที่ฟังคราวแรกอาจนึกถึงผักชนิดหนึ่ง หรือยาแก้ไอน้ำดำยี่ห้อหนึ่ง แต่ถ้าเขารู้จักธนาคารแห่งประเทศไทย หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ก็จะพอทราบว่าป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางที่ยาวนานที่สุดของไทย และเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นในห้วงเวลาที่วิกฤตที่สุด
คนที่สนใจประวัติศาสตร์ จะรู้จักป๋วยจากนิยาม “คนตรงในประเทศคด” และ “ผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน” ลูกศิษย์ในวงการจะจดจำป๋วยในฐานะ “บุคคลที่ซื่อสัตย์พอที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นซื่อสัตย์ตามได้”
นอกจากป๋วยจะรับราชการสำคัญหลายตำแหน่งทั้งในทางเศรษฐกิจและการศึกษา เขายังทำงานพัฒนาชนบท สนับสนุนวงการศิลปะ และอุทิศชีวิตให้กับเสรีภาพของบ้านเมืองและประชาธิปไตย นอกจากนั้น ป๋วยยังเป็นนักเขียนด้วย
ในวาระ 101 ปีชาตกาลของป๋วย จึงขอสุขสันต์วันเกิดให้เขาด้วยการเขียน 101 เรื่องของป๋วย ถึงมิติต่างๆ ในชีวิต ทั้งประวัติ ความคิด และการงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่า ชีวิตของคนเรานั้น ไม่สำคัญว่าจะมาจากไหน แต่สำคัญว่าจะทำอะไร และจะมุ่งไปสู่หนทางใด ป๋วยคงไม่ต้องการให้ผมมายกย่องเชิดชูเขา จึงขอเล่าถึงป๋วยแบบธรรมดาๆ ให้ผู้อ่านหานิยามของป๋วยจากมุมมองของคุณเอง
101 เรื่องป๋วย 101
- ป๋วยเกิดวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ.1916 ตามปฏิทินเก่าของไทยที่ขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายนนั้น จะนับว่าป๋วยเกิดปลายปี 2458 แต่ถ้านับอย่างปีปัจจุบันที่ขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม เขาจะเกิดในต้นปี 2459
- ชื่อ “ป๋วย” มาจากชื่อภาษาจีน (สำเนียงแต้จิ๋ว) ว่า “อึ้ง ป้วย เคียม” ถ้าอ่านโดดๆ ก็จะเป็นแซ่อึ๊ง ชื่อป๋วย ส่วนเคียมเป็นชื่อ generation ตามธรรมเนียมจีน โดยแปลตามศัพท์ได้ว่า “พูนดินที่โคนต้นไม้” และขยายความไปได้ว่า บำรุง หล่อเลี้ยง เพาะเลี้ยง เสริมกำลัง
- เมื่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เคยสัพยอกป๋วยว่า น่าจะเปลี่ยนชื่อที่เป็นเจ๊กเป็นจีนให้เป็นไทยได้สักที ป๋วยตอบปฏิเสธด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ (1) เตี่ยตั้งให้ จะเปลี่ยนก็ต้องให้เตี่ยเปลี่ยน แต่เตี่ยตายไปแล้ว เลยเปลี่ยนไม่ได้ และ (2) ที่ลำปางมีตำบลหนึ่งชื่อ “ปางป๋วย” ชะรอยป๋วยก็น่าจะเป็นคำไทยด้วย
- นามสกุล “อึ๊งภากรณ์” ของป๋วยใช้ตามสกุลของลุง คือขุนรักษาอากรกิจ (ปอ) ซึ่งได้รับพระราชทานจากกรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์มาในปี 2456 โดยนายปอติดตามเศรษฐีจีนมาค้าขายในเมืองไทยจนมีฐานะ จึงกลับไปชวนน้องๆ มาทำงานด้วยกัน ในบรรดาพี่น้องหลายคน มีนายซามาเพียงคนเดียว เตี่ยของป๋วยจึงไม่ได้มาเมืองไทยด้วยความยากลำบากแบบเสื่อผืนหมอนใบ แต่มาอย่างพอมีอันจะกิน
- นายซา พ่อของป๋วย เคยแต่งงานมาก่อนแล้วที่เมืองจีน แต่พออพยพมาเมืองไทย ภรรยาเก่าไม่ได้ตามมาด้วย จึงแต่งงานใหม่กับนางเซาะเซ็ง ประสาทเสรี แม่ของป๋วย มีบุตรด้วยกัน 7 คน ป๋วยเป็นคนกลาง
- นายซาทำอาชีพ merchant banking คือออกเงินให้ชาวประมงกู้ไปลงทุนแล้วรับซื้อปลาภายหลัง เป็นการให้กู้และเป็นคนกลางจำหน่ายปลาด้วย ป๋วยไม่ค่อยสนิทกับเตี่ย เพราะเตี่ยไปทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ กว่าจะกลับบ้านก็สองสามทุ่ม
- เมื่อนายซาตาย ป๋วยอายุเพียง 9 ขวบ เช้าวันนั้นป๋วยไม่ค่อยสบาย แต่เตี่ยก็เรียก “ป๋วย ไปซื้อโจ๊กให้กินหน่อยเถิด” ป๋วยอิดเอื้อนอยู่สักพักว่าทำไมเตี่ยถึงไม่ใช้คนอื่น แต่เมื่อแสดงฤทธิ์ด้วยการทำหน้างอกระฟัดกระเฟียดแล้ว ก็เดินไปซื้อที่สำเพ็งมาให้ บ่ายนั้นเองเตี่ยของป๋วยก็ตาย ป๋วยสรุปบทเรียนว่า “เสียดายโอกาส” เพราะในวันสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน แทนที่ป๋วยจะรับใช้ด้วยหน้าชื่นตาบาน กลับทำให้ท่านต้องหมองใจ
- ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ป๋วยก็ถูกเพื่อนล้อว่าเป็นเจ๊ก เพื่อนบางคนเรียกว่า “ไอ้ตี๋” ป๋วยจึงถูกปัญหาทั้งไทยและจีนอัดก๊อปปี้ แต่แม่ได้ให้คาถาว่า “เกิดเป็นไทย อยู่เมืองไทย ต้องเป็นไทย ต้องจงรักภักดีต่อไทย” แม้จะถูกเย้ยหยันต่อว่าว่าทิ้งขนบธรรมเนียมภาษาจีนไปก็ทนไหว หรือถูกล้อว่าเป็น “ฮ้วนเกี๊ย” เพราะพูดจีนไม่ชัดก็ตาม
- เมื่อเตี่ยตาย แม่ก็เลี้ยงลูกด้วยความลำบาก เธอเป็นหนี้หลายแห่ง เพราะต้องเลี้ยงดูลูกหลายคน จนเกือบหนีปัญหาด้วยการกระโดดน้ำตายเสียให้พ้นทุกข์ เผอิญงวดนั้นถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 2 เป็นเงิน 10,000 บาท เลยพ้นเคราะห์ไป
- นางเซาะเช็งเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็มีคุณธรรมหลายประการที่เป็นแบบอย่างให้ป๋วย คือ (1) ความมานะเด็ดเดี่ยว (2) ความรักในอิสรภาพและเสรีภาพ (3) ความซื่อสัตย์สุจริต และ (4) ความใจกว้างเมตตากรุณา และยังสอนไม่ให้นินทาใครและไม่ให้ใครดูถูกได้ ป๋วยบอกว่าเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วมีปัญหาถกเถียงกัน โดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพของบ้านเมือง ใครมาตอบเรื่องส่วนตัว ก็นึกเสียว่ามดกัด
- คุณยายของป๋วยชื่อ “เชย” ชอบให้ป๋วยอ่านหนังสือให้ฟัง แม้ไม่รู้หนังสือสักตัวเดียว แต่ก็คอยบอกให้ป๋วยได้เมื่อติดขัด จะนับเป็นครูภาษาไทยคนแรกของป๋วยก็ได้ เมื่อป๋วยอ่านหนังสือออกแล้วได้อ่าน รามเกียรติ์ อิเหนา พระอภัยมณี ซิยิ่นกุ้ย เต็กเช็ง นิราศต่างๆ ฯลฯ จากห้องสมุดของคุณยาย
- ป๋วยชอบกินข้าวเหนียวมะม่วง ตอนเด็ก ประมาณปี 2467 ถึงกับแต่งกลอนว่า
- ตอนเด็กๆ ป๋วยเรียนที่โรงเรียนสะพานเตี้ย แถวตลาดน้อย เป็นโรงเรียนกลางคืนที่วัดสัมพันธวงศ์ (วัดเกาะ) ได้เรียนภาษาอังกฤษครั้งแรกจากโรงเรียนนี้ โดยมีคุณครูเจริญ เกิดมณี เป็นผู้สอน ก่อนจะไปเข้า ม.1 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ โดยมหาสุข ศุภศิริ ซึ่งสอนภาษาไทยที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เป็นผู้นำป๋วยไปฝากกับภราดาฮีแลร์ ท่านภราดาบอกว่าเด็กปัญญาดี ต้องเรียนภาษาฝรั่งเศส
- เมื่ออยู่ ม.2 มีภราดาฟรานซิสโก เซเวียร์ (ฉายา หลิม) ชาวสเปน เป็นครูประจำชั้น ภาษาฝรั่งเศสสำเนียงท่านยากเกินป๋วยจะเข้าใจ พักกลางวันวันหนึ่ง ภราดาหลิมมานั่งทำงานที่โต๊ะครู ป๋วยซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าต่างเอามือไปปัดไม้ค้ำหน้าต่างตกไปข้างนอก ภราดาหลิมบอกให้เดินออกไปเก็บ ป๋วยไม่เข้าใจเลยปีนออกหน้าต่าง ท่านเห็นดังนั้นเลยเอ็ดว่าให้เก็บเสียแล้วเดินกลับมา ป๋วยไม่เข้าใจเห็นท่านโกรธเลยรีบปีนกลับมา พอเห็นภราดาหลิมโกรธอีก ป๋วยเลยปีนออกไปเก็บ ยื่นให้เพื่อน แล้ววิ่งเข้าโรงเล่นหนีไป ป๋วยถูกอธิการไมเคิลตีในเย็นนั้น เขาสรุปบทเรียนว่า “ถ้าเราฟังไม่ได้ศัพท์ ก็อย่าจับเอาไปกระเดียด”
- ป๋วยเรียนหนังสือเก่ง ในชั้น ม.8 สอบได้ที่ 1 ของโรงเรียน เมื่อเรียนจบจึงได้รับการชักชวนให้เป็นครูที่อัสสัมชัญ สอนอยู่ 4 ปี โดยสอนวิทยาศาสตร์ คำนวณ ภาษาไทย และภาษาฝรั่งเศส สมัยนั้นได้เงินเดือน 40 บาท
- จากประสบการณ์ที่เป็นนักเรียนและครูโรงเรียนอัสสัมชัญมานานปี ป๋วยเห็นว่าคณะครูในโรงเรียนนี้ได้พร่ำสอนเขาและทำเป็นตัวอย่างให้เห็นในเรื่องการจัดสรรเวลา ด้วยคุณสมบัติ 2 ข้อ คือ (1) คาดการณ์ล่วงหน้า และ (2) การจัดระเบียบ ทำอะไรอยู่ในลักษณะแบบแผน ไม่วุ่นวายรุงรัง ป๋วยเตือนไว้ด้วยว่า “เวลาก็เหมือนเงิน มีแต่เพียงจำกัด ถ้าผู้ใช้ไม่ตริตรองวางแผนว่าจะใช้อย่างไรจึงจะดีแล้ว ถึงมีมากก็เหมือนมีน้อย ถ้ามีน้อยก็จะขัดสนยิ่งขึ้น”
- ระหว่างเป็นครูที่อัสสัมชัญ ในปี 2477 ป๋วยเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิด สำเร็จการศึกษาเป็นธรรมศาสตร์บัณฑิตในปี 2479 แต่สอบได้ที่ 65 จาก 79 คน เพราะไม่มีเวลาดูหนังสือ หลังจากเรียนจบไม่นาน ก็ทำงานเป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสให้ศาสตราจารย์เอกู้ ได้เงินเดือน 70 บาท
- ป๋วยสอบชิงทุนกระทรวงการคลังได้ไปเรียนทางเศรษฐศาสตร์ ที่ London School of Economics and Political Science มหาวิทยาลัยลอนดอน จบปริญญาตรี ในปี 2484 เป็นที่ 1 ในบรรดาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยกัน ทำให้ได้ทุน Leverhulme เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านปริญญาโท
- ปลายปี 2481 พร้อม วัชระคุปต์ นักศึกษาวิชาโลหกรรมจากมหาวิทยาลัยลอนดอน ละล่ำละลักมาหาป๋วยบอกว่า แต่นี้ไปเมืองไทยจะแย่ เพราะหลวงพิบูลสงครามมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนพระยาพหลพลพยุหเสนา และมีแนวโน้มเป็นเผด็จการแบบเยอรมันและอิตาลี ป๋วยรับว่าไม่เคยคิดมาก่อน พร้อมซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นผู้ให้สติเรื่องเผด็จการและประชาธิปไตยแก่ป๋วยซึ่งเรียนในทางสังคมศาสตร์
- 9 มีนาคม 2483 ป๋วยอายุครบ 24 ปี เขาเขียนโคลงสี่สุภาพไว้ 3 บท ดังปณิธานแห่งชีวิตตนเองว่า
- ภาษิตที่ป๋วยนำมาเขียนเป็นโคลง คือ “วายเม เถว ยาวอตฺตสฺส นิปฺปทา” แปลว่า เป็นบุรุษพึงพยายามไปจนกว่าจะสำเร็จประโยชน์ ตรงกับคำที่อยู่ในตราของคณะภราดาเซนต์คาเบรียลที่ว่า Labor Omnia Vincit ซึ่งแปลว่า สิ่งทั้งปวงเอาชนะได้ด้วยอุตสาหะ และป๋วยก็ยึดมั่นในแนวทางนี้มาตลอด เขาเคยแสดงปาฐกถาโกมลคีมทองครั้งแรกเมื่อปี 2517 ตอนหนึ่งว่า “สิ่งที่ดีนั้นปฏิบัติได้ยาก ไม่ใช่ปฏิบัติไม่ได้ ต้องพยายามปฏิบัติให้ได้ สิ่งที่เลวนั้น จะปฏิบัติให้ง่ายสักปานใด ก็ดีขึ้นมาไม่ได้”
- เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยแล้ว ป๋วยได้ร่วมกับคณะ ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นในประเทศอังกฤษ วันที่ 7 สิงหาคม 2485 เข้าเป็นทหารในกองทัพบกอังกฤษ เพื่อรับใช้ชาติไทยโดยความร่วมมือจากอังกฤษ เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น และมีเจตนาแน่วแน่ที่จะสลายตัวไปเมื่อมหาสงครามยุติ โดยไม่เรียกร้องแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวในด้านลาภยศหรือด้านอื่นใด
- ม.จ.การวิก จักรพันธุ์ เล่าว่า เมื่อฝึกทหารกันในกองทัพอังกฤษแล้ว คณะได้พร้อมใจกันยกให้ป๋วยเป็นหัวหน้า เพราะเป็นแกนนำมาตั้งแต่ต้น เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ป๋วยได้เรียกประชุมคณะ และขอให้เลือกหัวหน้าคนใหม่ เพราะเขาไม่ต้องการเป็นหัวหน้าตลอดกาล
- เมื่อฝึกเตรียมการเข้ามาปฏิบัติงานติดต่อกับเสรีไทยในประเทศ ป๋วยใช้นามแฝงในขบวนการเสรีไทยว่า “เข้ม” ทศ พันธุมเสน เพื่อนเสรีไทยเล่าว่า เพราะป๋วยหมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่า ถ้าเข้ามาปฏิบัติภารกิจในประเทศ จะให้ประทาน เปรมกมล เป็นบอดี้การ์ด เมื่อ ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน ประทานชื่อ “แดง” เป็นนามแฝงแก่ประทานแล้ว ป๋วยจึงใช้ “เข้ม” เพื่อให้เข้าคู่กันเป็น “แดงเข้ม”
- กันยายน 2486 ป๋วยพยายามเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยเรือดำน้ำ แต่ไม่สำเร็จ เพราะสายที่จะต้องมารอรับ เดินทางล่าช้ากว่ากำหนด หลังจากนั้นในเดือนมีนาคม 2487 ได้เข้าประเทศไทยโดยเครื่องบิน แต่การมาครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จเพราะนักบินหาจุดปล่อยไม่เจอ หลังจากนั้น 1 สัปดาห์จึงเข้ามากระโดดร่มลงในประเทศไทยได้ แต่พลาดไปจากรอยต่อระหว่างจังหวัดตากและนครสวรรค์ เป็นชัยนาท
- ตอนถูกชาวบ้านจับที่ชัยนาท ป๋วยไม่คิดจะสู้ ยอมให้จับแต่โดยดี ทีแรกชาวบ้านจะยิงป๋วยให้ตายเพราะคิดว่าเป็นสายลับ เป็นอันตรายต่อประเทศ โชคดีที่นายบุญธรรม ปานแก้ว ขวางเอาไว้ โดยให้เหตุผลว่า บ้านเมืองกำลังคับขัน ดีชั่วอย่างไรควรให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงได้สอบสวนก่อนจะตัดสินใจอะไรโดยพลการ ตอนนั้นป๋วยคิดเหมือนกันว่าควรกินยาพิษที่เตรียมมาเพื่อฆ่าตัวตายหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญอะไรอีกบ้าง แต่เขาก็ไม่ทำเพราะเห็นว่า “ชีวิตเป็นสิ่งที่มีความสดชื่นและสวยงาม และตราบใดที่มีชีวิต ตราบนั้นยังมีหวัง”
- ป๋วยเล่าว่า ตอนที่มาปฏิบัติภารกิจเสรีไทย เขาไม่ถือปืนเข้ามา เพราะยึดมั่นในหลักอหิงสา และเขาเคยเสนอในที่ประชุมคณะเสรีไทยด้วยว่า ไม่ให้ใช้อาวุธประหัตประหารคนไทยด้วยกัน ถึงแม้จะต้องตายก็ไม่ควรสู้ ส่วนกับทหารญี่ปุ่น ป๋วยก็บอกว่าเขายิงไม่ลง จึงไม่พกปืนเข้ามา ไม่แปลกที่ต่อมาหลายสิบปี เมื่อป๋วยเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 2517 เขาจะเสนอเสรีภาพในมโนธรรมสำนึก ต่อต้านการเกณฑ์ทหาร เพราะขัดกับความเชื่อเรื่องสันติวิธี แม้ศีลข้อที่ 1 ก็ผิดแล้ว
- ตอนที่ป๋วยถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวไปสอบ เขาโชคดีที่ล่ามภาษาญี่ปุ่นของนายทหารเหล่านั้น คือนายฮาตาโน่ เพื่อนอัสสัมชนิกของป๋วย ที่เคยเล่นลูกหินในลานด้วยกัน เคยเที่ยวเตร่กัน และเคยรู้อกรู้ใจกันมาก่อน หลังสงครามฮาตาโน่ส่งจดหมายมาฟื้นความหลังกับป๋วยว่า “นึกขำในใจที่เห็นลื้อตีหน้าตอแหลพูดจนพวกนั้นเขาเชื่อหมด”
- ป๋วยเห็นว่า สงครามมีความเลวที่ทำให้คนต้องโกหกกัน “มุสาวาทาต้องมาก่อน” ดังที่ป๋วยต้องโกหกใครหลายต่อหลายคนในช่วงนั้น ไม่เว้นกระทั่งภราดาฮีแลร์ ที่ป๋วยเจอในอินเดีย ป๋วยบอกว่า “สมัยนี้ที่โรงเรียนอัสสัมชัญคงจะยังมีการสอนไม่ให้มีการกล่าวคำเท็จอยู่ สมัยที่ข้าพเจ้าเรียนก็ได้รับคำสั่งสอนเหมือนกัน แต่ในฐานะของข้าพเจ้าในครั้งนั้นจำเป็นต้องลุศีล มีแต่จะลุมากหรือลุน้อยเท่านั้น”
- เหตุที่ป๋วยร่วมเป็นชุดแรกที่เข้ามาปฏิบัติงานเพราะเขาอาสารับความเสี่ยงภัยสูงสุดในฐานะที่เป็นแกนนำ และเขามีความสัมพันธ์กับเสรีไทยในประเทศอยู่มาก กล่าวคือ หัวหน้าขบวนการเสรีไทยเป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยที่ป๋วยสำเร็จการศึกษา และเมื่อป๋วยจบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และได้คะแนนสูงสุดในรุ่นจาก LSE นายวิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการ มธก. ก็ได้เรียนผู้ประศาสน์การให้ทราบ ในอีกฐานะหนึ่งผู้ประศาสน์การก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เจ้าของทุนของป๋วยด้วย ป๋วยจึงเชื่อว่านายปรีดีจะจำเขาได้
- ด้วยความช่วยเหลือจากเสรีไทยในประเทศ ทำให้ป๋วยสามารถพบนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทยได้ เขาเป็นคนไทยคนแรกจากฝั่งสัมพันธมิตรที่สามารถติดต่อกับนายปรีดีได้ เป็นผู้ถือสารจากกองบัญชาการสัมพันธมิตรมาถึงหัวหน้าขบวนการเสรีไทย และนายปรีดีได้ติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรด้วยเครื่องส่งวิทยุจากป๋วย ซึ่งเป็นช่องทางเดียวที่สามารถสื่อสารออกไปได้ เป็นเวลาหลายเดือนกว่าที่พลร่มจากอังกฤษและอเมริกาจะสมทบตามมา
- หน้าที่ประการหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากนายปรีดี คือส่งโทรเลขไปแจ้งเตือนฝ่ายสัมพันธมิตรว่าขอให้ระมัดระวังในการทิ้งระเบิด โดยเฉพาะที่พระบรมมหาราชวัง วังของเจ้านายต่างๆ หรือกระทั่งที่พระราชวังบางปะอินที่พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ย้ายไปประทับที่นั่น คราวหนึ่งอังกฤษไปทิ้งระเบิดที่บางปะอิน ป๋วยถูกนายปรีดีต่อว่าอย่างรุนแรง และให้ส่งคำประท้วงอย่างดุเดือดไปถึงกองบัญชาการทหารอังกฤษทันที จนอังกฤษต้องขอโทษและรับรองว่าจะไม่เกิดซ้ำสอง
- มิถุนายน 2488 ก่อนมหาสงครามจะยุติ นายปรีดีให้ป๋วยกลับไปประเทศอังกฤษเพื่อขอร้องให้รัฐบาลอังกฤษรับรองสถานะเอกราชของไทยหลังสงคราม เพราะเวลานั้นรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศเข้ากับฝ่ายอักษะ ถ้าญี่ปุ่นแพ้ ไทยก็จะต้องเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม และอยู่ใต้อารักขาของประเทศสัมพันธมิตร ป๋วยจึงหาทางเจรจา โดยไปพบศาสตราจารย์ลัสกี้ ซึ่งสอนที่ LSE และเป็นประธานพรรคกรรมกร ที่มีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป อาจารย์ของเขาก็ช่วยติดต่อกับกระทรวงการต่างประเทศให้ แม้ในคราวนั้นจะไม่สำเร็จก็ตาม
- ในปี 2489 ป๋วยแต่งงานกับมาร์เกรท สมิธ (Margaret Smith) เพื่อนนักศึกษาใน LSE มีบุตรชาย 3 คนด้วยกัน คือ จอน ปีเตอร์ และใจ แม้เธอจะสอบได้ปริญญาตรีทางสังคมวิทยา แต่ก็อุทิศชีวิตให้ครอบครัว เลี้ยงดูลูก ทำงานบ้านเอง เช่น ซักผ้า ทำอาหาร ฯลฯ ต่อเมื่อลูกๆ โตแล้วจึงได้ออกไปทำงานด้านสังคมสงเคราะห์
- ป๋วยกับมาร์เกรท เคยเขียนหนังสือเป็นฉบับไทย-อังกฤษ ด้วยกัน 2 เล่ม คือ การสงเคราะห์ประชาชนในประเทศอังกฤษ และ เรียงความบางเรื่อง (ประกอบด้วย ทหารชั่วคราว และ การปกครองแบบรัฐสภาในประเทศบริเทน) โดยที่เล่มหลังพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พ.อ.สรรค์ ยุทธวงศ์ น้องเขย
- ในช่วงที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เคยพูดกับป๋วย 2-3 ครั้งว่า “คุณป๋วย ผมรู้ดอกว่าบ้านของคุณเป็นเรือนไม้เล็กๆ อยู่ไม่สบาย เอาไหม ผมจะสร้างตึกให้อยู่อย่างสบาย” ป๋วยปฏิเสธไปว่าสุขสบายดีแล้ว ครั้นถูกเซ้าซี้หนักเข้า จึงพูดทีเล่นทีจริงไปว่า มาร์เกรทไม่ชอบอยู่ตึก ถึงสร้างตึกให้เขาก็เข้าไปอยู่ไม่ได้
- ที่เมืองไทยบ้านของป๋วยกับมาร์เกรท ไม่มีโทรทัศน์ เหตุผลสำคัญคือไม่อยากให้ลูกๆ ติดโทรทัศน์ อยากฝึกนิสัยให้อ่านหนังสือมากกว่า ต่อเมื่อลูกๆ โตแล้วและอยู่ด้วยกันในอังกฤษ จึงได้ดูโทรทัศน์บ้าง ที่ป๋วยชอบดูคือข่าว และฟุตบอล
- ด้วยความที่ป๋วยเป็นเสรีไทย ทำให้ได้สิทธิพิเศษไม่ต้องกลับมารับราชการตามเงื่อนไข มีบริษัทฝรั่งหลายแห่งเสนอเงินเดือนให้สูงลิบ แต่ป๋วยปฏิเสธและกลับมารับราชการในกระทรวงการคลังตามเดิม เพราะสำนึกว่าตน “ได้รับทุนเล่าเรียนรัฐบาลไทย คือเงินของชาวนา ชาวเมืองไทย ไปเมืองนอกแล้วผูกพันใจว่าจะรับราชการไทยด้วย”
- ในปี 2491 ป๋วยสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกจาก LSE ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อเกี่ยวกับดีบุก ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยในเวลานั้น แต่พี่น้องทางกรุงเทพฯ เตือนยังไม่ให้กลับ เพราะมีเสียงลือว่าป๋วยจะกระโดดร่มเข้ามาช่วยคณะของนายปรีดี พนมยงค์ ต่อต้านคณะรัฐประหารที่ครองเมืองตั้งแต่ปี 2490 ป๋วยจึงไปเรียนศาสตราจารย์ Robbins ว่าขอให้ถ่วงเวลาประกาศผลสอบได้ออกไป ท่านว่าป๋วยนี่พิกล ตั้งแต่ตั้ง LSE มา มีแต่คนมาขอให้เร่งประกาศ ซึ่งท่านก็หน่วงไว้ให้หลายเดือน
- ป๋วยเข้ารับราชการครั้งแรก ในปี 2492 ที่กรมบัญชีกลาง ต่อมาจึงได้เป็นผู้เชี่ยวชาญกระทรวงการคลัง ตั้งแต่ช่วงนี้เอง ที่ป๋วยเริ่มเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยบรรยายในวิชาต่างๆ เช่น การคลัง และปัญหาพลเมือง กับบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวิชาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้ง 3 วิชานี้ ต่อมาบรรดาลูกศิษย์และผู้ร่วมงานได้ช่วยกันถอดเทปเรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือตำราของป๋วยจำนวน 3 เล่ม ตั้งแต่ปี 2495
- ป๋วยนับถือนายดิเรก ชัยนามมาก ป๋วยบอกว่าตอนเกิดรัฐประหาร 2490 นายดิเรกเป็นเอกอัครราชทูตที่อังกฤษ ท่านไม่มีความจำเป็นต้องลาออกแต่ประการใด แต่ท่านขอลาออกทันที โดยบอกป๋วยว่าคนเรานั้น “สำคัญที่เกียรติ” ท่านจะลอยหน้าเป็นทูตอยู่ต่อไปไม่ได้ ในขณะที่พรรคพวกในประเทศถูกเล่นงาน ถูกทหารรังแก แม้นายดิเรกจะมีความสุขสบายอยู่ในต่างแดน แต่ท่านถือว่าไม่มีเกียรติที่จะลอยหน้าเป็นทูตต่อไป เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยและอังกฤษจะไว้ใจท่านเพียงใด เนื่องจากท่านเป็นคนสนิทของรัฐบาลเก่า
- ในช่วงที่อยู่ในกระทรวงการคลัง ป๋วยมีบทบาทสำคัญในการเจรจาขอกู้เงินจากธนาคารโลก เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย เช่น การสร้างเขื่อนเจ้าพระยา การซ่อมแซมสถานีรถไฟหัวลำโพง และยังเจรจากับ USOM และอเมริกาให้สร้างถนนมิตรภาพขึ้นในเส้นทางสระบุรี-นครราชสีมา เพื่อเป็นตัวอย่างของถนนที่ได้มาตรฐาน โดยที่รัฐบาลไทยไม่ต้องเสียเงินเลยแม้สตางค์เดียว
- ปี 2496 ป๋วยเป็นรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ 7 เดือน ก็ถูกย้าย เพราะไปขวางอิทธิพลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่จะซื้อสหธนาคารกรุงเทพ ซึ่งกำลังจะต้องเสียค่าปรับแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเงินหลายล้านบาท สฤษดิ์และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ขอให้ป๋วยยกเลิกค่าปรับ แต่ป๋วยปฏิเสธและยืนกรานจะเสนอเรื่องไปตามเดิม จึงถูกย้าย
- สิงหาคม 2497 ป๋วยเล่นมุขในการบรรยายเรื่อง หลักการคลัง ให้ข้าราชการพลเรือน ตอนหนึ่งว่า “การจะเลื่อนจากชั้นตรีเป็นชั้นโทนี้ ลำบากยิ่งกว่าไก่ เพราะไก่ถ้าจะรับประทานได้ดีละก็เพียงแต่อบเท่านั้น แต่ท่านต้องทั้งอบทั้งรม และนอกจากทั้งอบและรมแล้ว จะต้องมารมควันหลักวิชาการคลังซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็นวิชาที่ไม่สนุกนัก”
- ปี 2499 ป๋วยไปขวางผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจอีกครั้ง คราวนี้ เผ่า ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ต้องการเปลี่ยนโรงพิมพ์ธนบัตรจากโทมัสเดอลารูเป็นบริษัทใหม่ในสหรัฐอเมริกา ป๋วยเห็นว่าบริษัทใหม่ไม่น่าเชื่อถือ จึงเสนอว่าไม่ควรเปลี่ยน และยืนยันต่อคณะรัฐมนตรีว่าถ้าเปลี่ยนไปใช้โรงพิมพ์ที่ไม่น่าเชื่อถือแล้ว เห็นจะรับราชการต่อไปไม่ได้ จอมพล ป. นายกรัฐมนตรีถึงกับกล่าวกับพลเอก พระบริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า “ไอ้ลูกศิษย์คุณพระนี่มันจองหองจริง คำหนึ่งมันก็จะลาออก สองคำมันก็จะลาออก”
- ช่วงปี 2498-2499 ป๋วยรู้สึกว่าเป็นที่เกลียดชังของจอมพล ป. สฤษดิ์ และเผ่า 3 ผู้มีอิทธิพลในบ้านเมือง คิดจะลาออกจากราชการไปทำวิจัยที่ Chatham House ในกรุงลอนดอน แต่เมื่อความทราบถึงคุณพระบริภัณฑ์ฯ ท่านไม่อยากให้ป๋วยออกจากราชการ จึงตั้งตำแหน่งใหม่ให้ป๋วยไปเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน และเป็นผู้แทนไทยในคณะมนตรีดีบุก
- เมื่อรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ตั้งสำนักงบประมาณขึ้นในปี 2502 ป๋วยได้รับเรียกกลับมาให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการคนแรก ผลงานชิ้นสำคัญคือการปรับปรุงระเบียบวิธีการงบประมาณของประเทศเสียใหม่ จากที่ไม่เคยทำอย่างเป็นระบบให้มีความชัดเจนขึ้น จนสามารถออก พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
- ในเวลาที่ป๋วยเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ มีนายสิริ ปกาสิต เป็นรองผู้อำนวยการ ป๋วยกล่าวยกย่องเพื่อนร่วมงานว่า “ผมวางหลักการไว้ คุณสิริต่อเติมเนื้อหนังให้ ผมเพ่งเล็งในหลักเศรษฐกิจ คุณสิริวางแนวปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักนั้นๆ ผมรู้แต่วิธีการงบประมาณของต่างประเทศ คุณสิริจูงเข้าแนววิธีการของไทย … ถ้าราชการงบประมาณ 3 ปีแรกของสำนักงบประมาณเป็นไปโดยดีและมีประโยชน์ อานิสงส์ส่วนใหญ่ต้องได้แก่คุณสิริ”
- ในปี 2502 ช่วงที่ป๋วยประชุมคณะมนตรีดีบุกอยู่ที่ลอนดอน สฤษดิ์โทรเลขไปหาเรียกร้องให้ป๋วยรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทนคนเดิมที่มีเรื่องอื้อฉาว ป๋วยปฏิเสธไปทันที โดยให้เหตุผลว่า ได้สาบานไว้ตอนเป็นเสรีไทยว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ จนกว่าจะเกษียณอายุราชการ เพื่อยืนยันว่าการเข้าเป็นเสรีไทยไม่ใช่เพราะเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว สฤษดิ์ขอร้องอีกว่า “เห็นมีแต่คุณที่จะช่วยผมได้” ป๋วยยืนกรานไปว่าท่านนายกรัฐมนตรีคงไม่ต้องการรัฐมนตรีที่ทวนคำสาบานเป็นแน่
- เมื่อกลับมาจากการประชุมคราวนั้น จอมพลสฤษดิ์จึงตั้งให้ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากคนเดิมคือคนเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่มีปัญหาอื้อฉาว ป๋วยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยยาวนานที่สุดถึง 12 ปี 2 เดือน 4 วัน วางรากฐานให้องค์กรแห่งนี้มีความมั่นคง น่าเชื่อถือ และสร้างบุคลากรผ่านการให้ทุนการศึกษาจำนวนมาก จนเป็นหลักสำคัญของประเทศจนถึงทุกวันนี้
- ในการเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยของป๋วย นอกจากจะออก พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ริเริ่มการให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อซื้อวัตถุดิบไปใช้ในกิจการอุตสาหกรรม การก่อตั้งสถาบันเป็นศูนย์กลางวางแผนเศรษฐกิจ การจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตร การพัฒนาตลาดธนบัตรและตั๋วเงินคลัง ฯลฯ แล้ว ป๋วยยังทำงานในด้านการพัฒนาจนรวมถึงเรื่องการวางท่อระบายน้ำและท่อน้ำโสโครกในกรุงเทพฯด้วย
- หลังจากเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่นาน ป๋วยยังคงเป็นผู้แทนไทยในคณะมนตรีดีบุกอยู่ มีเรื่องให้พิจารณาถึงกรณีที่ไทยลักลอบส่งออกดีบุกนอกโควตาอย่างอุกอาจที่ภูเก็ต ด้วยความเซ่อของป๋วย เขาจึงไม่ทราบว่าจอมพลสฤษดิ์คือหัวหน้าของขบวนการนี้ ป๋วยได้ทำเรื่องร้องเรียนมายังหัวหน้ารัฐบาลคือสฤษดิ์ให้ทำการสอบสวนเพื่อส่งรายงานต่อที่ประชุม จนเวลาล่วงไป 2 ปี ก็ยังไม่มีความคืบหน้า เมื่อถูกเร่งหนักเข้า สฤษดิ์จึงสั่งให้ป๋วยเดินออกจากที่ประชุมเลย ป๋วยคัดค้านและเสนอให้ทำตามวิถีทางที่ถูกต้องชอบธรรมจนสฤษดิ์ยินยอมเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ โดยป๋วยตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าคัดค้านไม่สำเร็จจะลาออกจากตำแหน่งผู้แทนไทย และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการประท้วง
- อีกครั้งหนึ่ง ตอนจอมพลสฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นกำหนดนโยบายการเงิน ป๋วยจึงแจ้งต่อหลวงวิจิตรวาทการ ปลัดบัญชาการว่า เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีคณะกรรมการทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว การตั้งคณะกรรมการใหม่จะทำให้ความรับผิดชอบพร่าไป และเน้นย้ำว่า ถ้ารัฐบาลจะตั้งขึ้นมาจริง ป๋วยก็เห็นจะต้องลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาติ ท้ายที่สุดคณะกรรมการนี้ก็ไม่ได้ตั้ง
- ปี 2505 ป๋วยรับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เป็นคนแรก ทำหน้าที่ทางวิชาการ เป็นมันสมองให้กระทรวง เสมือนเป็นเสนาธิการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการศึกษาแนวโน้มและกิจการสำคัญต่างๆ ให้คำแนะนำทางวิชาการ และนโยบายด้านการคลังต่อรัฐมนตรี
- ในเวลาที่ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เขามักจะใช้เวทีงานเลี้ยงอาหารค่ำประจำปีของสมาคมธนาคารไทย กล่าวเรื่องทักท้วงรัฐบาล เช่นในปี 2507 หลังจากจอมพลถนอมประกาศไม่ให้คณะรัฐมนตรีถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวกับการค้า ป๋วยแสดงสุนทรพจน์เป็นกลอนสุภาพทั้งหมดโดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
แม้หลังจากการแสดงสุนทรพจน์ในวันนั้น จอมพลถนอมจะลาออกจากธนาคารต่างๆ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ารัฐมนตรีคนอื่นเอาอย่างแต่ประการใด
- ปี 2508 ป๋วยได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาการทำงานภาครัฐ ในฐานะที่เป็นข้าราชการดีเด่นผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ดังสดุดีป๋วยว่า “การปฏิบัติงานของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นเครื่องยืนยันว่า บุคคลเพียงผู้เดียวเท่านั้นก็สามารถจะเป็นกำลังสำคัญในอันที่จะนำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศตนได้” โดยเงินรางวัลเรือนแสนบาทที่ได้มา เขาบริจาคให้องค์กรการกุศลทั้งหมด อีก 40 ปีต่อมา จอน อึ๊งภากรณ์ บุตรชายคนโตของป๋วย ได้รับรางวัลเดียวกันในสาขาเดียวกัน
- ในการให้ข้อคิดเรื่องเศรษฐกิจและการพัฒนา ป๋วยมักยกข้อความของรามอน แมกไซไซ ที่ว่า “ใครเกิดมามีน้อย กฎหมายบ้านเมืองควรอำนวยให้มาก” มาแสดงอยู่เนืองๆ ดังป๋วยมักจะเอ่ยถึงการดูแลคนชายขอบอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาชนบท หรือการเกษตร นอกจากนี้ป๋วยยังได้รับข้อคิดสำคัญจาก ม.จ.สิทธิพร กฤดากรว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง”
- ป๋วยเป็นเจ้าของทฤษฎีลูกโป่งสามลูกสูบ ซึ่งใช้อธิบายการรักษาเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง โดย 3 ลูกสูบนั้นได้แก่ (1) การคลัง (2) การเงินภายในประเทศ (3) การเงินต่างประเทศ
- ในเวลาที่เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ป๋วยเป็นผู้เสนอให้ตั้งธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEACEN) ขึ้น เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจทางด้านการเงิน การธนาคาร เศรษฐศาสตร์ของธนาคารสมาชิก กับกระตุ้นและส่งเสริมความร่วมมือในการวิจัยและฝึกอบรม
- ป๋วยชอบเป่าขลุ่ย ในธนาคารแห่งประเทศไทยเขาได้สนับสนุนให้มีวงดนตรีไทยของพนักงานขึ้น และมักไปร่วมเล่นด้วยอยู่เนืองๆ เพลงที่เขาชอบคือ นกขมิ้น และเขมรพวง นอกจากเล่นแล้ว ป๋วยยังชอบเพลงฟังไทยเดิมด้วย ในห้องทำงานของเขามักจะเปิดอยู่เสมอ
- ป๋วยชอบช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ไม่ว่าในทางสังคมหรือเศรษฐกิจ คราวหนึ่งในปี 2508 มีหญิงตาบอดส่งจดหมายมาขอเงินจากป๋วย เขาให้เลขานุการออกไปสำรวจ เมื่อพบว่าจริงก็มอบเงินให้ครั้งละหลายร้อยบาท จนเรื่องมาแดงเมื่อเธอไปลักขโมยแล้วถูกตำรวจจับ จึงโวยวายอ้างว่ารู้จักสัมพันธ์กับป๋วย นั่นทำให้รู้ว่าป๋วยผู้ใจดี ถูกหล่อนต้มเอาเสียแล้ว
- หลังเลิกงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย บางวันป๋วยจะเดินไปสั่งเบียร์เย็นๆ ส่วนมากยืนดื่มที่เคาน์เตอร์กับเพื่อนพนักงาน ถ้าใครอยู่ใกล้ป๋วยจะเรียกให้ช่วยดื่มเพราะ “ช่วยผมดื่มหน่อย ดื่มคนเดียวไม่หมดหรอก” หรืออย่างตอนอยู่ที่ธรรมศาสตร์หลังเลิกงาน ก็มักจะชวนเพื่อนอาจารย์จิบบรั่นดี
- ป๋วยชอบกินอาหารพื้นๆ ที่ชอบมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน เช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง ข้าวต้มกุ๊ย สำหรับของหวานที่โปรดปรานเป็นพิเศษได้แก่ เต้าฮวย แม้ตอนไปอยู่ที่อังกฤษก็ชอบทำข้าวต้มกุ๊ยเลี้ยงแขก คราวหนึ่งนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ไปหาป๋วย ป๋วยถามว่าอยากกินอะไร สุลักษณ์บอกอยากกินอาหารฝรั่ง ป๋วยว่าดัดจริต แล้วทำข้าวต้มให้กิน
- ตอนป๋วยเป็นผู้ว่าการฯ พนักงานบางคนแซวว่า นายปิ่น กลัมพะวนิช คนขับรถประจำตัวของป๋วย มีฐานะดีกว่าเจ้านายเสียอีก เพราะปิ่นออกเงินให้ใครๆ กู้ คิดดอกเบี้ยในอัตราสูง ส่วนป๋วยมักน้อย ถ้าได้เงินพิเศษจากการประชุมหรือบรรยายที่ไหน ก็จะเที่ยวแจกจ่ายเพื่อนร่วมงานที่มีบทบาทช่วยเหลือ หากจ่ายไม่หมดจำนวนที่ได้มาก็จะกลุ้มใจ
- ป๋วยเป็นคนเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา เวลาทักทายใครก็ไม่ใช่แบบขอไปที เช่น คราวหนึ่งทักทายพนักงาน ธปท. ว่า “เป็นไงท้องไส้ปกติดีแล้วหรือ?” เพราะจำได้ว่าเมื่อเกือบ 3 เดือนก่อน ตอนที่ป๋วยทักว่า สบายดีหรือ ผู้ใต้บังคับบัญชาเขาตอบว่ากำลังมีปัญหาเรื่องท้องเสีย
- ป๋วยเป็นคนให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน ครั้งหนึ่งผู้ว่าการธนาคารชาติฟิลิปปินส์ส่งจดหมายมาให้พร้อมแสตมป์ภาพประธานาธิบดีแมกไซไซ โดยเขียนในจดหมายว่าส่งมาให้ป๋วยในวันแรกจำหน่ายแสตมป์ดวงนี้ แต่ปรากฏว่าซองจดหมายที่พนักงานแนบมานั้น แสตมป์หายไปแล้ว แทนที่ป๋วยจะตำหนิว่าร้าย กลับเขียนบันทึกข้อความสั้นๆ ไปถึงลูกน้องว่า “ใครเอาแสตมป์หน้าซองนี้ไป คืนให้ผมเถอะ เขาเจาะจงให้ผมน่ะ”
- ปี 2507 กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญให้ป๋วยมารับตำแหน่งเป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ เสด็จในกรมนึกว่าจะต้องเชิญหลายทีเพราะเห็นป๋วยมีภารกิจมาก เวลานั้นเขาเป็นทั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แต่ป๋วยตอบรับทันที เพราะอยากอุทิศชีวิตให้กับการศึกษา ดังเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ในการแก้ปัญหาของประเทศในระยะยาวนั้น การทอผ้าผืนใหม่ย่อมดีกว่าการคอยปะชุนผ้าที่ขาดอยู่ร่ำไป
- ป๋วยเป็นคณบดีตั้งแต่ปี 2507–2515 ปรับปรุงคณะเศรษฐศาสตร์จนเปลี่ยนโฉมเหมือนเป็นคนละคณะจากเดิม ทั้งปรับปรุงหลักสูตรใหม่ สร้างห้องสมุด หาทุนให้คณาจารย์ไปศึกษาต่อในประเทศต่างๆ สร้างตึกคณะหลังใหม่ ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยผ่านกลไกกรรมการต่างๆ ในคณะ และกวดขันให้นักศึกษามีความซื่อสัตย์สุจริต ดังประกาศว่า การทุจริตในห้องสอบ มีโทษไล่ออกสถานเดียว
- สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) แต่เมื่อเป็นพระราชวรมุนีเคยกล่าวว่า เมื่อได้อ่านบทความเรื่อง เศรษฐศาสตร์บัณฑิตจงเจริญ (2511) พบว่าป๋วยอ้างพุทธพจน์ที่กล่าวถึงพละ 4 ประการ คือ (1) ปัญญา (2) ความเพียร (3) กิจการที่ไม่มีโทษ และ (4) ความสงเคราะห์ อันแสดงให้เห็นว่าป๋วยรู้เรื่องธรรมะมากอยู่ เพราะธรรมหมวดนี้ ท่านก็ยังไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ จึงเป็นความประทับใจอันหนึ่งซึ่งจำติดมา
- ป๋วยตระหนักว่าการจัดระบบเศรษฐกิจให้เรียบร้อยอย่างที่พยายามทำนั้นยังไม่สามารถบันดาลให้ผู้ยากไร้ในประเทศไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในชนบทแร้นแค้น อีกนัยหนึ่งคือไม่ได้เฉลียวถึงความยุติธรรมในสังคม จึงพยายามแก้ด้วยวิธีพัฒนาชนบทอย่างจริงจัง เริ่มจากการก่อตั้งมูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในปี 2510 ที่จังหวัดชัยนาท
- ปี 2512 ป๋วยก่อตั้งโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร รับบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาเรียนรู้เรื่องการพัฒนาชนบท ลงไปทำงานกับชาวบ้านในพื้นที่จริงเพื่อแก้ไขปัญหา ป๋วยอุทิศวันสุดสัปดาห์ให้กับการออกไปเยี่ยมบัณฑิตในต่างจังหวัด ถึงกับเคยกล่าวไว้อย่างกินใจว่า “สมมติว่าจะให้ผมออกจากตำแหน่งบางตำแหน่ง ให้เหลือน้อยตำแหน่ง ผมพูดได้ว่าบัณฑิตอาสาสมัครนี่จะเป็นตำแหน่งที่ผมสงวนเอาไว้ต้องทำ … เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นได้ว่าผมรักโครงการนี้แค่ไหน”
- เดช พุ่มคชา บัณฑิตอาสาสมัครคนหนึ่งเล่าว่า วันหนึ่งเขามานอนที่ป้อมยามของธรรมศาสตร์ กลางดึกหลังจากปิดประตูมหาวิทยาลัยแล้ว ป๋วยซึ่งเป็นอธิการบดีอยู่ในเวลานั้น ขับรถมาแล้วออกไปไม่ได้ จึงลงมาเคาะประตูแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ยามครับๆ เปิดประตูให้ทีครับ” เมื่อเดชเปิดมาเจอป๋วย จึงทักทายกัน แล้วป๋วยจึงชวนไปกินข้าวต้มที่บางลำพู ร้านโปรดของเขา
- คราวหนึ่งป๋วยขับรถออสตินคู่ใจคันเก่าที่นำกลับมาจากประเทศอังกฤษจะไปประชุมที่แบงก์ชาติ แล้วเกิดไปชนท้ายรถคันหน้าเข้า ปรากฏว่ารถคู่กรณีมีคนขับคือนายไววิทย์ ชัยสูตร ลูกนางเง็ก น้องสาวนางเซาะเช็ง แม่ป๋วย ป๋วยเลยพูดว่า “ขอโทษที กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ เลยเหยียบเบรกไม่ทัน รถเป็นอย่างไรบ้าง? จะเอาค่าซ่อมก็ไปเอาที่แม่อี้ [คุณน้า]ก็แล้วกัน เฮียจะรีบไปประชุม”
- มกราคม 2512 ป๋วยปาฐกถาเรื่อง ศีลธรรมและศาสนาในการพัฒนาชาติ กล่าวถึงหลักความเจริญแห่งสังคมว่าสังคมจะเจริญพัฒนาได้ต้องอาศัยหลัก 4 ประการ คือ (1) หลักสมรรถภาพ (2) หลักเสรีภาพ (3) หลักยุติธรรม และ (4) หลักเมตตากรุณา และในตอนท้ายป๋วยกล่าวเตือนผู้ใหญ่ว่า “ผู้ใหญ่ต้องทำเป็นตัวอย่างให้เห็น ไม่ใช่บอกว่าผู้ใหญ่ทำได้อย่างหนึ่งแต่เด็กต้องทำอีกอย่างหนึ่ง … ความประพฤติชั่วของเด็กและเยาวชนนั้นไม่ใช่เกิดจากการละเมิดศีลธรรมของเด็ก แต่มีสาเหตุมาจากการละเมิดศีลธรรมของผู้ใหญ่เป็นสำคัญ”
- ปี 2513 เมื่อนายปรีดี พนมยงค์ ย้ายการลี้ภัยจากประเทศจีนมาฝรั่งเศส ป๋วยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนแรก ที่กล้าไปพบนายปรีดีที่เป็นปีศาจการเมืองของสังคมไทยในเวลานั้น ด้วยกตัญญุตาต่อท่านผู้ประศาสน์การและหัวหน้าขบวนการเสรีไทยของเขา และไม่แต่พบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ป๋วยยังติดต่อกับปรีดีอย่างต่อเนื่อง และรับใช้อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เช่น เรื่องการซื้อบ้านอองโตนี การตามหาฟิล์มภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก การติดต่อสำนักพิมพ์และเป็นบรรณาธิการหนังสือให้อาจารย์ปรีดี ฯลฯ และในจดหมายลงวันที่ 26 สิงหาคม 2513 ป๋วยเขียนถึงปรีดีว่า “ผมเองเชื่อแน่ว่า (ก) ท่านอาจารย์ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ (ข) ท่านอาจารย์เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองอย่างเดียว (ค) ท่านอาจารย์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตเลย”
- ปี 2513-14 ป๋วยเป็นศาสตราจารย์รับเชิญที่มหาวิทยาลัยพรินสตัน สหรัฐอเมริกา ต่อมาในปี 2514-16 เป็นศาสตราจารย์รับเชิญที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เพื่อค้นคว้าทางวิชาการ และดูการจัดการอุดมศึกษาในต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาสนใจ เพราะป๋วยมีความฝันว่าอยากเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- มีนาคม 2514 ป๋วยเขียนบทความ ข้อคิดจากสหรัฐอเมริกา ชวนคิด 2 ข้อ คือ (1) อุดมคติเมื่อยังเป็นนักเรียนหรืออยู่เมืองนอกนั้น เราจะยึดมั่นกันเพียงใด เพราะเมื่อกลับมาทำงานในเมืองไทยแล้ว สังคมไทยเป็นสังคมที่กลืนอุดมคติเก่ง รวดเร็ว และแนบเนียน และ (2) นักเรียนมหาวิทยาลัยทั้งในและนอกจะมีบทบาทอย่างไรเกี่ยวกับประชาธิปไตยและความอยู่รอดของประเทศ
- ป๋วยเชื่อว่า “คนเท่ากัน” ดังให้สัมภาษณ์ใน รัฐศาสตร์นิเทศ (เมษายน-มิถุนายน 2514) ว่า “ประชาชนชาวไทยไม่ใช่จะไร้ความคิดเสียทีเดียว แม้แต่คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เท่าที่เราเห็นมา เขาเลือกผู้แทนฯได้ดีๆ นับแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา … ข้อห่วงใยของราษฎรแต่ครั้งกระโน้น หรือแม้กระทั่งบัดนี้ว่าในเมื่อราษฎรไทยเรายังไม่มีการศึกษาที่ดีแล้วก็ไม่ควรจะให้สิทธิเต็มที่ตามระบอบประชาธิปไตย ข้ออ้างนี้ผมไม่เห็นด้วย”
- ปี 2514 ขณะที่พำนักอยู่เมืองเคมบริดจ์ นายอภิชัย พันธเสนได้ไปแวะเยี่ยมหา เย็นวันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารเย็นที่ป๋วยทำข้าวต้มเลี้ยงแล้ว ป๋วยก็ชวนว่า “วันนี้ไปดูหนังโป๊กันหน่อยไหม” แล้วเดินพาไปดูหนังโรงของมหาวิทยาลัย เรื่อง Deep End ซึ่งเป็นหนังเรท R ที่ไม่ได้โป๊มาก ตรงกับที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เล่าว่าป๋วยก็เคยชวนเขาไปดูหนังโป๊เช่นกัน นอกจากนี้บางคนยังกล่าวถึงอารมณ์ขันของป๋วยด้วยว่า เขาเก่งมากในการเล่นคำผวนทะลึ่งๆ
- กุมภาพันธ์ 2515 ป๋วยใช้นามปากกา “เข้ม เย็นยิ่ง” เขียนจดหมายถึง “นายทำนุ เกียรติก้อง” ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ เรียกร้องให้มีการคืนกติกาหมู่บ้าน และให้เสรีภาพกับคนในหมู่บ้าน เพื่อคัดค้านการรัฐประหารตัวเองของจอมพลถนอม กิตติขจร ในเดือนพฤศจิกายน 2514 ทำให้ผู้ครองอำนาจในเวลานั้น ไม่ไว้ใจป๋วยเป็นอย่างมาก จนการกลับเมืองไทยของท่านเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายทีเดียว นายจิตติ ติงศภัทิย์ถึงกับฝากคนไปแจ้งกับป๋วยว่า “อย่าเพิ่งกลับมาเลย ตอนนี้มันเป็นระยะที่ไว้ใจใครไม่ได้เลย” แม้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2516 คือ 1 ปีหลังจากเขียนจดหมาย ป๋วยกลับมาร่วมงานเปิด AIT ที่เขาเป็นกรรมการอยู่ เขาก็ต้องระวังตัว ดังเล่าว่า “แต่ละคืนเพื่อนฝูงพาไปนอนบ้านทั้งนั้น เราจะว่าขี้ขลาดก็ขลาด แต่ไม่ควรจะบ้าบิ่น”
- อาจมีผู้สงสัยว่า ทำไมรัฐประหารเกิดในเดือนพฤศจิกายน 2514 แต่รออีก 3 เดือน กว่าป๋วยจะเขียนประท้วง ป๋วยเคยให้สัมภาษณ์ว่า “เกิดรัฐประหารขึ้นก็เลยไม่ค่อยพอใจ จึงแวบเข้ามาดูราวเดือนธันวาคม ก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ กลับไปตั้งใจเขียนจดหมายนายเข้มขึ้นทันที ทีนี้เขียนไม่ทัน ไปถึงก็เป็นไข้หวัดอย่างแรง กว่าจะได้เขียนก็ตอนฟื้นไข้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ”
- ป๋วยนับเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนแรกที่ออกมาคัดค้านการรัฐประหาร สำหรับนิสิตนักศึกษาที่ต้องการประชาธิปไตย จดหมายของนายเข้มเปรียบเหมือนคบเพลิงนำทางให้เขา แต่สำหรับผู้มีอำนาจเดิม นี่เป็นการท้าทายจากข้าราชการคนสำคัญแห่งยุคทีเดียว เดิมที ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนลง สยามรัฐ ปฏิเสธว่า นี่ไม่ใช่จดหมายจากป๋วยเพื่อลดปฏิกิริยาต่อต้านรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นตามมา จนป๋วยต้องเขียนชี้แจงว่าเขาเขียนเองจริงๆ
- เมษายน 2515 ป๋วยเขียนบทความชิ้นสำคัญเรื่อง บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี เสนอว่าประชาธิปไตยเป็นคำที่ใช้กันจนเฝือ จึงเสนอประชาธรรมมาแทนที่ ซึ่งต่อมาขยายความว่ามีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ (1) สิทธิเสรีภาพของคนในสังคม และ (2) การมีส่วนร่วมในการกำหนดโชคชะตาของสังคมที่พวกเราอาศัยอยู่ ในข้อสรุปป๋วยเสนอหลักการที่เรียกว่า “สันติประชาธรรม” กล่าวคือไม่มีวิธีการใดจะได้มาซึ่งประชาธรรมถาวรนอกจากสันติวิธี
- หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ร้องขอให้ป๋วยเข้าไปช่วยทำงานในรัฐบาล ป๋วยต่อรองขอรับเพียงตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เพราะตำแหน่งนี้ไม่นับเป็นตำแหน่งทางการเมือง ไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ที่เขาให้ไว้ตั้งแต่เป็นเสรีไทย
- มิถุนายน 2516 ป๋วยปาฐกถาในหัวข้อ ข้อคิดเรื่องการพัฒนาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับ ค.ศ.1980 ที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในตอนท้ายได้เขียนภาคผนวกในชื่อ การกินดีอยู่ดีของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งต่อมาปรับปรุงแก้ไขจนรู้จักทั่วไปในชื่อบทความ “คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”
- ตุลาคม 2516 ป๋วยเขียนบทความ เสียชีพ อย่าเสียสิ้น รำลึกถึงวีรชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เสนอให้ตั้งสมาคมพิทักษ์เสรีภาพและประชาธิปไตย โดยถือคติว่าผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ตายเปล่า คือหาทางป้องกันระบอบประชาธิปไตยจากผู้ที่คอยปองร้าย เช่น ถ้ามีผู้ทำรัฐประหาร สมาชิกของสมาคมซึ่งประกอบอาชีพต่างๆ จำนวนมากมายมารวมตัวกันประท้วงโดยสันติวิธี ไม่ร่วมมือกับคณะรัฐประหาร ก็น่าจะพอสู้ได้บ้าง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สมาคมที่ว่านี้ซึ่งต่อมาเกิดขึ้นในชื่อ สหภาพเพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
- หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ป๋วยอยู่ในสถานะที่ใครหลายคนชักชวนและสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เขาปฏิเสธ พรรคการเมืองบางพรรคโกรธมากที่เขาไม่ยอมรับเป็นหัวหน้าพรรคให้ กล่าวคือป๋วยยึดมั่นในคำสาบานสมัยเป็นเสรีไทย และเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้เพราะการเป็นนายกรัฐมนตรีต้องประนีประนอมกับสิ่งที่ขัดแย้งกันให้ได้ แต่การประนีประนอมบางอย่างป๋วยทำไม่ได้ อนึ่ง ป๋วยเคยเปรยกับผู้ใกล้ชิดว่า อยากเป็นผู้ว่า กทม. ที่มาจากการเลือกตั้ง และเคยให้สัมภาษณ์เปิดเผยว่า ถ้าไม่บังคับ ส.ส. สังกัดพรรคการเมือง บางทีหลังเกษียณ ป๋วยจะสนใจลงสมัครรับเลือกตั้ง
- ต้นปี 2517 ป๋วยเริ่มโครงการพัฒนาชนบทแบบผสมผสานลุ่มน้ำแม่กลองขึ้นด้วยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล กินพื้นที่ 7 จังหวัด ราว 8.8 ล้านไร่ เพื่อบูรณาการการพัฒนาชนบทให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในทางการเกษตร การสาธารณสุข และการแก้ปัญหาการถือครองที่ดิน รวมถึงระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพในท้องที่ต่างๆ น่าเสียดายที่เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้นก่อนที่โครงการนี้จะเสร็จสมบูรณ์
- ป๋วยชอบสนับสนุนงานศิลปะ นอกจากการริเริ่มให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสะสมงานศิลปะแล้ว เขายังรับเป็นรองประธานมูลนิธิหอศิลป พีระศรี และมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งหอศิลป พีระศรี ขึ้นเป็นหอศิลป์แห่งแรกในประเทศไทยด้วย
- พฤศจิกายน 2517 ป๋วยซึ่งเวลานั้นเป็นศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ทำหนังสือถึงคณบดีขอลาในเดือนธันวาคมเพื่อพักผ่อนและทำธุระเรื่องครอบครัว ในหนังสือฉบับดังกล่าว ป๋วยทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดจะทำ โดยเขียนว่า “โปรดเสนอมหาวิทยาลัยอย่าจ่ายเงินเดือนประจำเดือนธันวาคม 2517 ให้แก่ผม เพราะจะไม่ได้ทำงาน”
- มกราคม 2518 ป๋วยได้รับเลือกให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นับเป็นศิษย์เก่าคนแรกที่ได้กลับมาเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แม้จะดำรงตำแหน่งเป็นเวลาเพียง 1 ปี 8 เดือน 8 วัน แต่ป๋วยได้สร้างคุณูปการให้ธรรมศาสตร์หลายประการ เช่น การวางแผนขยายวิทยาเขตไปศูนย์รังสิต การปรับปรุงหลักสูตรพื้นฐานโดยพยายามประสานให้สาขาวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์สอดคล้องกัน ริเริ่มแนวคิดมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และโครงการรับนักศึกษาเรียนดีจากชนบท ฯลฯ
- มีนาคม 2519 ป๋วยแสดงปาฐกถาเรื่อง เหลียวหลัง แลหน้า กล่าวย้ำถึงอุดมคติประจำใจ 3 ประการ คือ ความจริง ความงาม และความดี กล่าวโดยย่อความจริงหมายถึงสัจธรรมและหลักวิชา ความงามหมายถึงเรื่องทางศิลปวัฒนธรรมและกีฬา ความดีหมายถึงความไม่เบียดเบียนต่อกัน ความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ย่อมจะเป็นคนที่สมบูรณ์ไม่ได้
- อาจารย์ป๋วยมักจะคลายเครียดด้วยการเล่นบริดจ์ แม้เมื่อเป็นอธิการบดีแล้ว ก็จะเดินมาเล่นบริดจ์ที่คณะเศรษฐศาสตร์ ห้อง 403 ในตอนเย็น บางครั้งเหมือนหนีเสือปะจระเข้ เพราะกลุ่มอาจารย์ที่เล่นบริดจ์จัดอยู่ในพวกมือใหม่ คือเล่นแบบไม่ค่อยคำนึงถึงกฎ กติกา มารยาท ทำให้บางครั้งป๋วยต้องปวดหัวไปอีกแบบหนึ่งที่ต้องมาสอนมารยาทการเล่นให้ด้วย
- 6 ตุลาคม 2519 ป๋วยแทบเอาชีวิตไม่รอดจากเหตุการณ์ความรุนแรงและรัฐประหารในวันนั้น อันเป็นผลมาจากการโจมตีจากฝ่ายขวา เช่น อุทาร สนิทวงศ์ อุทิศ นาคสวัสดิ์ สมัคร สุนทรเวช และทมยันตี ว่าป๋วยเป็นคอมมิวนิสต์ นายตำรวจคนหนึ่งถึงกับไปตามราวีเขาที่สนามบินดอนเมือง ก่อนที่เขาจะลี้ภัยออกจากประเทศที่เขารักไป
- ป๋วยก่อตั้งกลุ่มมิตรไทยขึ้นที่ประเทศอังกฤษ แล้วเดินทางรอบโลกไปเผยแพร่ความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้โลกได้รับรู้ ดังได้กล่าววลีอมตะในสหรัฐอเมริกาว่า “ผมมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นในระบอบประชาธิปไตยและในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทุกคน … ผมเกลียดชังเผด็จการไม่ว่าจะมีรูปแบบสีสันอย่างใดก็ตาม ผมมีความเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยควรจะได้มาอย่างสันติวิธี”
- หลังจากที่ป๋วยต้องลี้ภัย การติดต่อกับบุคคลในประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก เขาต้องใช้นามแฝงอื่นในการลงท้ายจดหมาย เช่น “Richard Evans” และ “สัจจะ ธรรมรักษา” คราวหนึ่งลงชื่อสัจจะเขียนกลับมาว่า “ถึงแม้ความหวังนั้นจะไม่สำเร็จในช่วงชีวิตของเรา แต่เราก็ต้องทิ้งความคิดไว้ให้คนรุ่นหลังทำต่อ”
- กรกฎาคม 2520 นายปรีดี พนมยงค์ เดินทางจากฝรั่งเศสมาแสดงปาฐกถาในงานประชุมสามัคคีสมาคมของนักเรียนไทยในอังกฤษ ป๋วยได้รับเชิญมาพูดด้วยเช่นกัน และนายจริย์วัฒน์ สันตะบุตร ได้ถ่ายภาพที่ปรีดีและป๋วยนั่งคู่กันบนม้านั่งที่หอพัก Beit Hall ของ Imperial College กรุงลอนดอน จนเกิดเป็นภาพประวัติศาสตร์ของ “สองมหาบุรุษ”
- ในปี 2521 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้เศรษฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่ป๋วย แต่เขาปฏิเสธที่จะรับ เพื่อแสดงท่าทีประท้วงสภาพการเมืองไทยที่ไร้เสรีภาพ และไม่เป็นประชาธิปไตย
- ในปี 2530 ป๋วยได้รับเกียรติเป็นธรรมศาสตราจารย์คนแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขายกเงินที่ได้มาทั้งหมดให้สำนักหอสมุดเพื่อใช้พัฒนาห้องสมุดสำหรับนักศึกษาและอาจารย์ต่อไป ดังที่เขาเคยปาฐกถาไว้ตั้งแต่ปี 2511 ว่า “คนเราขาดห้องสมุดไม่ได้ เพราะหนังสือเป็นอาหารของสมองและจิตใจ”
- ป๋วยล้มป่วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก ในเดือนกันยายน 2520 ทำให้สมองในส่วนที่สั่งการเรื่องการพูดใช้การไม่ได้ เข้าอยู่ในโลกแห่งความเงียบถึง 22 ปี จนจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2542 โดยอาศัยอยู่ในบ้านพักชานกรุงลอนดอนเป็นหลัก มีกลับมาเยี่ยมประเทศไทยบ้าง 3-4 ครั้ง
- ในวาระ 100 ปี ชาตกาล 9 มีนาคม 2559 องค์การ UNESCO ยกย่องให้ป๋วยเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ โดยได้กล่าวยกย่องไว้ว่าป๋วยเป็น “บิดาแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจไทยยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2” และเป็น “ข้าราชการที่โดดเด่น มีจริยธรรมอย่างหาที่ติมิได้”